Merz Aesthetics ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์ม Ultherapy PRIME นวัตกรรมใหม่แห่งการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด

Logo

Ultherapy PRIME เป็นเทคโนโลยีอัลตราซาวนด์ล่าสุดที่ได้รับการรับรองจาก FDA พร้อมการถ่ายภาพแบบเรียลไทม์ ที่ให้การยกกระชับเฉพาะบุคคลและยาวนานอย่างแท้จริงซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดสําหรับคนไข้แต่ละราย

ราลี นอร์ทแคโรไลนา


Xsolla แต่งตั้ง Zoran Vasiljev เป็นรองประธาน อาวุโสด้านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลก

Logo

Vasiljev พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตไปทั่วโล ด้วยประสบการณ์ที่กว้างขวางและวิสัยทัศน์กว้างไกล

ลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–24 กันยายน 2024

Xsolla บริษัทด้านการค้าวิดีโอเกมระดับโลก ประกาศแต่งตั้งคุณ Zoran Vasiljev เป็นรองประธานอาวุโสด้านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม คุณ Zoran เข้าร่วม Xsolla ด้วยประสบการณ์ที่กว้างขวางและประวัติการทำงานอันโดดเด่นในด้านการสร้างรายได้ผ่านช่องทางดิจิตอลและความเป็นผู้นำทางธุรกิจระหว่างประเทศ

(Graphic: Xsolla)

(ภาพ: Xsolla)

คุณ Zoran Vasiljev เป็นผู้บริหารระดับสูงมากประสบการณ์และผู้ประกอบการต่อเนื่องที่ได้รับการยกย่องในด้านการนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการปรับเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลและการสร้างรายได้ ด้วยประสบการณ์ทำงานที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจทั้ง 6 แห่ง และการดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง เขาได้ช่วยขับเคลื่อนตลาดต่างๆ ให้เติบโตและดำเนินการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ คุณ Zoran Vasiljev ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Centili และ Apigate และเคยดำรงตำแหน่งผู้นำคนสำคัญใน Vega IT, Axiata Digital, StarHub, Arthur D. Little, Value Partners และ Peppers & Rogers Group

คุณ Zoran สั่งสมประสบการณ์พร้อมความรู้ความสามารถในการสร้างรายได้จากประสบการณ์ดิจิตอล โมเดลธุรกิจแพลตฟอร์ม ตลอดจนกลยุทธ์การสื่อสารโทรคมนาคมและสื่อนวัตกรรมรูปแบบใหม่ๆ จนขึ้นแท่นเป็นบุคลากรชั้นนำ โดยได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในผู้บริหารอันดับต้นๆ จากการจัดอันดับผู้บริหาร 100 รายที่น่าจับตามองของ FinTech Magazine ซึ่งสะท้อนให้เห็นน็นถึงอิทธิพลของเขาที่มีต่ออุตสาหกรรม

คุณ Shurick Agapitov ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Xsolla กล่าวว่า “การแต่งตั้งคุณ Zoran Vasiljev เป็นรองประธานอาวุโสด้านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลก ถือเป็นย่างก้าวแห่งการพัฒนาที่สำคัญต่อ Xsolla ประสบการณ์อันกว้างขวางและความเป็นผู้นำที่ผ่านการพิสูจน์แล้วในภาคส่วนดิจิตอลและโทรคมนาคมของเขาสอดรับกับวิสัยทัศน์ของเราในการพัฒนาธุรกิจการค้าเกมและขยายธุรกิจของเราไปสู่ระดับโลกอย่างลงตัว เรามั่นใจว่าคุณ Zoran จะมีบทบาทที่สำคัญยิ่งในการยกระดับแนวทางด้านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเราและขับเคลื่อนธุรกิจของเราให้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมเกม”

“การเข้าร่วม Xsolla ถือเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นในการเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่มีศักยภาพในด้านการค้าเกมที่น่าเชื่อถือและทีมงานที่ยอดเยี่ยม” คุณ Zoran Vasiljev กล่าว “ระบบการเล่นเกมบนมือถือที่มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องและทางเลือกในการชำระเงินที่เปลี่ยนแปลงไปนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ที่น่าจับตามอง Xsolla มีบทบาทที่โดดเด่นในการช่วยวางแนวทางให้พันธมิตรของเราพัฒนาไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและสร้างผลกำไรได้ ในขณะที่เราย่างก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกม เราจะมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรทั่วโลก และส่งมอบคุณค่าที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ค้าและผู้บริโภค”

การแต่งตั้งคุณ Zoran สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Xsolla ในการยกระดับเครือข่ายทั่วโลกและพัฒนาโซลูชันด้านการค้าเกม ความรอบรู้ในอุตสาหกรรมและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของเขาจะผลักดันให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องและขยายกิจการไปทั่วโลก

เกี่ยวกับ Xsolla

Xsolla เป็นบริษัทด้านการค้าวิดีโอเกมระดับโลกที่มีชุดเครื่องมือและบริการอันมีประสิทธิภาพและทรงพลังซึ่งออกแบบมาเพื่ออุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะ นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 ทาง Xsolla ได้ช่วยเหลือผู้พัฒนาเกมและผู้เผยแพร่ทุกขนาดจำนวนหลายพันรายในการระดมทุน ทำการตลาด เปิดตัว และสร้างรายได้จากเกมของตนเองทั่วโลกและบนหลายแพลตฟอร์ม ภารกิจของ Xsolla ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมในการค้าเกม คือการแก้ปัญหาความซับซ้อนที่มีอยู่แต่เดิมจากการจัดจำหน่าย การตลาด และการสร้างรายได้ทั่วโลก เพื่อช่วยให้พันธมิตรของเราเข้าถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ได้มากขึ้น สร้างรายได้มากขึ้น และสร้างความสัมพันธ์กับนักเล่นเกมทั่วโลก โดย Xsolla มีสำนักงานใหญ่และจดทะเบียนในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีสำนักงานในมอนทรีออล, ลอนดอน, เบอร์ลิน, ปักกิ่ง, กวางโจว, โซล, โตเกียว, กัวลาลัมเปอร์, ราลี และเมืองต่างๆ ทั่วโลก เพื่อสนับสนุนบริษัทเกมหลักๆ อย่าง Valve, Take-Two, KRAFTON, Nexters, NetEase, Playstudios, Playrix, miHoYo และอื่นๆ อีกมากมาย

เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยไปที่ xsolla.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/54126209/en

ข้อมูลติดต่อ

Derrick Stembridge
Global Director of Public Relations, Xsolla
d.stembridge@xsolla.com

แหล่งที่มา: Xsolla

ผลสำรวจ FICO เผย ผู้บริโภคชาวไทยยอมรับ “การขอสินเชื่อด้วยข้อมูลเท็จ” ในระดับที่น่ากังวล

Logo

คนไทยเกือบ 1 ใน 4 คิดว่าการจงใจให้ข้อมูลผิดๆ เพื่อขอสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่ออื่นๆ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้

กรุงเทพ–(BUSINESS WIRE)–24 กันยายน 2024

FICO (NYSE: FICO):

23% of Thais thought it was OK for people to exaggerate income on a loan application with a further 16% saying it was normal for people to do this. (Graphic: FICO)

คนไทย 23% คิดว่าการให้ข้อมูลรายได้เกินจริงเมื่อสมัครขอสินเชื่อเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ในขณะที่อีก 16% ระบุว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ (กราฟิก: FICO)

ประเด็นสำคัญ

  • คนไทยจำนวน 2 ใน 5 (คิดเป็น 39%) คิดว่าการให้ข้อมูลรายได้ของตนที่มากเกินจริงเมื่อสมัครขอสินเชื่อเป็นเรื่องปกติหรือยอมรับได้
  • คนไทยจำนวน 1 ใน 7 (คิดเป็น 14%) มองว่าการให้ข้อมูลรายได้ของตนอย่างไม่ถูกต้องเมื่อสมัครขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องปกติ
  • การปลอมแปลงใบเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันเป็นรูปแบบการฉ้อโกงที่คนไทยรับไม่ได้ที่สุด โดยคนไทยจำนวน 2 ใน 3 (คิดเป็น 68%) มองว่าเป็นการกระทำที่ไม่อาจยอมรับได้

FICO ซึ่งเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์เพื่อการวิเคราะห์ระดับโลกในปัจจุบันได้เปิดเผยผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการฉ้อโกงของผู้บริโภคทั่วโลก ซึ่งเผยให้เห็นทัศนคติที่น่าตกใจเกี่ยวกับการฉ้อโกงทางการเงินของบุคคลที่หนึ่งทั้งในตลาดทั่วโลกและตลาดในประเทศไทย

ผลการสำรวจพบว่า แม้ว่าผู้ทำแบบสำรวจชาวไทยส่วนใหญ่มองว่าการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จเมื่อสมัครผลิตภัณฑ์ทางการเงินและเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ แต่ประชากรจำนวนมากกลับไม่คิดเช่นนั้น

ชาวไทยจำนวน 2 ใน 5 คิดว่าการให้ข้อมูลรายได้ของตนอย่างไม่ถูกต้องเมื่อขอเปิดบัญชีธนาคาร (คิดเป็น 39%) สมัครขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย (คิดเป็น 39%) และสมัครขอสินเชื่อรถยนต์ (คิดเป็น 39%) เป็นเรื่องปกติหรือยอมรับได้ในบางกรณี นอกจากนี้ ชาวไทยจำนวน 2 ใน 5 (คิดเป็น 39%) ยังมองว่าการให้ข้อมูลรายได้ที่มากเกินจริงเมื่อสมัครขอสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นเรื่องปกติหรือยอมรับได้

มุมมองเหล่านี้สอดคล้องกับทัศนคติของผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก โดยผลการสำรวจเปิดเผยว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (คิดเป็น 56%) ปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อแนวคิดในการให้ข้อมูลรายได้ที่มากเกินจริงเมื่อสมัครขอสินเชื่อ โดยมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่อาจยอมยอมรับได้เป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ผู้บริโภคจำนวน 1 ใน 4 (คิดเป็น 24%) คิดว่าเป็นการกระทำที่ยอมรับได้ในบางสถานการณ์ และผู้บริโภคจำนวน 1 ใน 7 (คิดเป็น 15%) มองว่าเป็นเรื่องปกติ

“ผู้บริโภคต้องเข้าใจว่าการให้ข้อมูลผิดๆ เมื่อสมัครผลิตภัณฑ์ทางการเงินอาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงตามมาได้ แม้ว่าจะให้ข้อมูลผิดๆ โดยไม่ตั้งใจก็ตาม” คุณ Aashish Sharma หัวหน้าส่วนงานด้านการจัดการวงจรความเสี่ยงและการตัดสินใจประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ FICO กล่าว “ธนาคารสามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงเกี่ยวกับ “การขอสินเชื่อด้วยข้อมูลเท็จ” ได้โดยปรับปรุงความสามารถในการตรวจจับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันหนี้เสีย และในขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้ลูกค้ากระทำการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.fico.com/en/latest-thinking/ebook/consumer-survey-2023-digital-banking-customer-preferences-and-fraud-controls

การยอมรับการสมัครขอสินเชื่อที่ส่อทุจริตสร้างความวิตกกังวลให้กับบรรดาผู้ให้กู้

ผลสำรวจของ FICO เปิดเผยว่าผู้บริโภคชาวไทยจำนวน 1 ใน 4 (คิดเป็น 25%) มองว่าการให้ข้อมูลเท็จเมื่อสมัครขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในบางกรณี ในขณะที่ผู้บริโภคจำนวน 1 ใน 5 (คิดเป็น 14%) มองว่าเป็นเรื่องปกติ ข้อมูลนี้สอดคล้องกับปัญหาการผิดนัดชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ตามรายงานของสถาบันข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ที่เน้นย้ำถึงความท้าทายด้านการประเมินความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สถาบันการเงินในประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

แม้ว่าข้อมูลในใบสมัครขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้าเดิมจะดูถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็อาจมีการใช้ความสัมพันธ์ด้านการธนาคารที่มีมาแต่เดิมเพื่อกระทำการฉ้อโกงได้เช่นกัน ผู้สมัครสามารถบิดเบือนกระบวนการกู้ยืมด้วยการให้ข้อมูลรายได้ที่สูงกว่าความเป็นจริง เช่น ใส่ข้อมูลรายรับจากการประกอบอาชีพอิสระหรือเงินโบนัสที่มากเกินจริง รวมถึงไม่ใส่ข้อมูลหนี้สินหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินส่วนตัวที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ให้กู้ตรวจพบข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ได้ยากหากไม่มีมาตรการตรวจสอบความถูกต้องในเชิงรุกและละเอียดถี่ถ้วน

“ธนาคารจำเป็นต้องยกระดับกลยุทธ์การประเมินความเสี่ยงเพื่อรับมือกับการสมัครขอสินเชื่อที่ส่อทุจริต” คุณ Sharma กล่าว “กลยุทธ์นี้ควรประกอบไปด้วยการบูรณาการการวิเคราะห์ข้อมูลที่ครอบคลุม การนำการวิเคราะห์การตรวจหาความผิดปกติมาใช้ และเพิ่มความสามารถในการตรวจหาสัญญาณเริ่มต้นของการฉ้อโกงแบบบัญชีฉ้อฉลหรือการฉ้อโกงที่กำลังจะเกิดขึ้น”

การปลอมแปลงใบเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันเป็นการฉ้อโกงที่รับไม่ได้ที่สุด

งานวิจัยของ FICO ระบุว่า การปลอมแปลงใบเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นรูปแบบการฉ้อโกงที่หลายคนรับไม่ได้ที่สุด โดยผู้บริโภคทั่วโลกประมาณ 2 ใน 3 คิดว่าการแจ้งมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกขโมยสูงเกินจริงหรือเพิ่มรายการสิ่งเรียกร้องสินไหมทดแทนเท็จเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งมุมมองนี้สอดคล้องกับความเห็นของผู้บริโภคชาวไทยจำนวน 2 ใน 3 (คิดเป็น 68%)

ทัศนคติเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ที่เปลี่ยนไปก็สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกเช่นกัน โดยผู้บริโภคที่โลกครึ่งหนึ่งรวมถึงผู้บริโภคชาวไทยกว่าครึ่งหนึ่งมีความเห็นว่าการให้ข้อมูลรายได้เกินจริงเมื่อทำสัญญาโทรศัพท์มือถือ (คิดเป็น 55%) หรือการสมัครขอสินเชื่อรถยนต์ (คิดเป็น 57%) เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้

“ผลสำรวจของ FICO เผยให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากปรับเปลี่ยนมุมมองที่ตนมีต่อการฉ้อโกงการสมัครขอสินเชื่อตามแต่สถานการณ์” คุณ Sharma กล่าว “สถาบันการเงินต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ป้องกันการฉ้อโกงอยู่เสมอ เพื่อให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างเท่าทัน ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจว่าลูกค้าจะไม่ถูกชักจูงให้ทำกิจกรรมที่ผิดจริยธรรมหรือผิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ”

การสำรวจนี้จัดทำขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2023 โดยบริษัทวิจัยอิสระซึ่งปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการวิจัย โดยมีชาวไทยในวัยผู้ใหญ่ 1,002 คนทำแบบสำรวจนี้ รวมถึงผู้บริโภครายอื่นๆ อีกราว 12,000 คนในแคนาดา สหรัฐอเมริกา บราซิล โคลอมเบีย เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย สหราชอาณาจักร และสเปน

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54124883/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Lizzy Li
RICE for FICO
+65 9034 7768
lizzy.li@ricecomms.com

Saxon Shirley
FICO
+65 9171 0965
saxonshirley@fico.com

ที่มา: FICO.

NIPPON KINZOKU: ท่อดึงแบบเชื่อมตะเข็บที่เหนือกว่าท่อไร้ตะเข็บ การแนะนําซีรีส์ “FINE PIPE”

Logo

“พื้นผิวด้านในที่มีความแม่นยําสูง” ท่อเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็ก “FINE PEEK-ST”

โตเกียว

Mary Kay ขยายธุรกิจไปยังประเทศคีร์กีซสถาน ยกระดับความงาม และสร้างเสริมพลังให้กับผู้คนทั่วโลก

Logo

DALLAS–(BUSINESS WIRE)–20 กันยายน 2024

Mary Kay Inc. ผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง มีความภูมิใจที่จะประกาศการขยายธุรกิจสู่ประเทศคีร์กีซสถาน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การเติบโตระดับนานาชาติที่มีการดำเนินการอยู่ การพัฒนาที่น่าตื่นเต้นนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Mary Kay ที่จะเสริมสร้างพลังให้ผู้หญิงและจัดหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและความงามคุณภาพสูงอย่างสร้างสรรค์สู่ทั่วโลก

Mary Kay’s expansion into Kyrgyzstan marks another step forward in the company’s mission to enrich women’s lives around the world, offering top-tier beauty products and unparalleled business opportunities. (Photo: Mary Kay Inc.)

การขยายธุรกิจของ Mary Kay ไปยังประเทศคีร์กีซสถานถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในพันธกิจของบริษัท เพื่อเสริมสร้างชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ความงามชั้นยอดและโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีใครเทียบ (ภาพถ่าย: Mary Kay Inc.)

ตลาดความงามและการดูแลส่วนบุคคลกำลังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ โดยปริมาณการขายในหมวดหมู่เหล่านี้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าตลาดความงามจะมีมูลค่า 580,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027 โดยการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 6 เปอร์เซนต์ต่อปี 1 ในขณะที่ขนาดของตลาดขายตรงคาดว่าจะสูงถึง 286,700 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 20282 การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้เกิดจากการที่มีผู้คนมากมายหันมาเป็นผู้ประกอบการและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจที่ยืดหยุ่นและคุ้มค่า เมื่อตระหนักถึงแนวโน้มขาขึ้นนี้ Mary Kay จึงขยายธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ไปสู่ประเทศคีร์กีซสถานเพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ความงามระดับพรีเมียม และเพิ่มโอกาสสำหรับผู้ประกอบการในประเทศ

“ฉันมั่นใจว่า การขยายธุรกิจของเราไปยังประเทศคีร์กีซสถานจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงเป็นจำนวนนับไม่ถ้ววน และช่วยให้พวกเขาสามารถค้นพบพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลของ Mary Kay และเสริมสร้างตำแหน่งของเราในฐานะแบรนด์ขายตรงอันดับ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางในโลก 3Tara Eustace ประธาน Mary Kay ประจำภูมิภาคยุโรป กล่าว “Mary Kay Ash มักพูดเสมอว่า เราไม่ได้เพียงจำหน่ายเครื่องสำอางเท่านั้น แต่เรายังเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตด้วย ความเชื่อนี้เป็นหัวใจสำคัญของทุกสิ่งที่เราทำ และฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลที่เรามีต่อผู้หญิงในประเทศคีร์กีซสถาน”

การดำเนินงานของ Mary Kay Kazakhstan มีการบริหารจัดการจากสำนักงาน Mary Kay Kazakhstan ที่เมือง Almaty เพื่อให้แน่ใจว่า การบูรณาการและการสนับสนุนตลาดใหม่จะเป็นไปด้วยความราบรื่น Konstantin Kulinitch ผู้จัดการทั่วไปของ Mary Kay Kazakhstan แบ่งปันความกระตือรือร้นของเขาว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ขยายการดำเนินงานของเราไปยังประเทศคีร์กีซสถาน ซึ่งเรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตอย่างมหาศาล ทีมงานของเราที่ Almaty มีความมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนที่ดีที่สุดแก่ที่ปรึกษาความงามอิสระของเราในประเทศคีร์กีซสถาน เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจ และบรรลุความฝันของพวกเขา”

เพื่อเฉลิมฉลองการขยายตัวครั้งสำคัญนี้ Mary Kay ได้จัดงานกิจกรรมต่างๆ ขึ้นที่ Bishkek เมืองหลวงของประเทศคีร์กีซสถาน โดยมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง และน้ำหอมอันเลื่องชื่อของแบรนด์ให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงโอกาสทางธุรกิจที่ไม่เหมือนใครที่ Mary Kay นำเสนอ จะช่วยให้บุคคลต่างๆ สามารถควบคุมอนาคตของตัวเองได้

การขยายธุรกิจของ Mary Kay ไปยังประเทศคีร์กีซสถานถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในพันธกิจของบริษัท เพื่อเสริมสร้างชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ความงามชั้นยอดและโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีใครเทียบ

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานระดับโลก ความเป็นผู้นำ พันธกิจ และความมุ่งมั่นของ Mary Kay ในการเสริมสร้างชีวิตของผู้หญิง โปรดไปที่ www.marykayglobal.com

เกี่ยวกับ Mary Kay

ก่อนหน้านี้ เดี๋ยวนี้ และตลอดไป Mary Kay Ash ผู้ก่อตั้งแบรนด์ความงามตามความฝันของเธอในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานขึ้นเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลา 60 ปีแล้วที่โอกาสจาก Mary Kay ได้ส่งเสริมให้ผู้หญิงสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริม และน้ำหอมที่ล้ำสมัย Mary Kay เชื่อมั่นในการอนุรักษ์โลกของเราไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการล่วงละเมิดในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนเดินตามความฝัน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com ค้นหาเราได้ที่ FacebookInstagram และ LinkedIn หรือติดตามเราได้ที่ X (formerly Twitter)

_______________________
1 McKinsey and Company. (May 22, 2023). The beauty market in 2023: A special State of Fashion report 
2 Grand View Research, Inc. (July 11, 2022). Direct Selling Market Size Worth $286.7 Billion by 2028 
3 “Source Euromonitor International Limited; Beauty and Personal Care 2024 Edition, value sales at RSP, 2023 data”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/54124254/en

ติดต่อ

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom 
972.687.5332 or media@mkcorp.com

แหล่งข้อมูล: Mary Kay Inc.

มูลนิธิ DFINITY ลงนามในหนังสือแสดงเจตจํานงกับกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของกัมพูชา

Logo

ความร่วมมือจะสํารวจการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สําคัญ

สิงคโปร์ –(BUSINESS WIRE)–19 กันยายน 2024

มูลนิธิ DFINITY  องค์กรไม่แสวงหากําไรของสวิสที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และนักเข้ารหัสชั้นนํา และผู้สนับสนุนหลักด้าน Internet Computer Blockchain (ICP) และกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของกัมพูชา (MISTI) ประกาศความสําเร็จในการลงนามในหนังสือแสดงเจตจํานง (LOI) ในช่วง Singapore Blockchain Week ความร่วมมือที่กําลังจะมีขึ้น ซึ่งจะรวมถึงการวิจัย การฝึกอบรม และการสนับสนุนระบบนิเวศของผู้ประกอบการ มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับสถานะของกัมพูชาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยีบล็อกเชน AI และเทคโนโลยีคลาวด์อธิปไตย

ความร่วมมือนี้จะมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีคลาวด์อธิปไตย โดยจะสํารวจการใช้งานจริงสําหรับโครงสร้างพื้นฐานของเมืองอัจฉริยะ รวมถึงความโปร่งใส ความสามารถในการปรับขนาด และความปลอดภัยผ่านโซลูชันบล็อกเชนแบบกระจายอํานาจของ ICP ความพยายามในการทํางานร่วมกันหลายแง่มุมนี้ยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานในกัมพูชา ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในระดับโลกและระดับท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมโครงการวิจัยและนวัตกรรมร่วมกัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีบล็อกเชนชั้นนําของโลก

H.E. Dr. Try Sophal อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับมูลนิธิ DFINITY ซึ่งถือเป็นก้าวสําคัญในเส้นทางสู่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีของกัมพูชา ด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติของเรา เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาโซลูชันที่ปลอดภัย โปร่งใส และปรับขนาดได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเร่งให้เกิดเมืองอัจฉริยะของเราเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลในวงกว้างอีกด้วย ความร่วมมือนี้จะสร้างโอกาสใหม่ๆ สําหรับการวิจัย นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และการเติบโตของผู้ประกอบการ โดยส่งเสริมระบบนิเวศที่กัมพูชาสามารถเติบโตในฐานะผู้นําระดับภูมิภาคในด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านบล็อกเชนและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความร่วมมือนี้ เราไม่เพียงแต่มองเห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาภูมิทัศน์ดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถให้กับเศรษฐกิจและสังคมของเราในอีกหลายปีข้างหน้าด้วย”

Dominic Williams ผู้ก่อตั้งและหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ DFINITY กล่าวถึงความสําคัญของจดหมายแสดงเจตจํานงว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจที่ได้พัฒนาความร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชาที่มีแนวคิดก้าวหน้า Internet Computer และเทคโนโลยี ICP โดยทั่วไปจะมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของกัมพูชา แพลตฟอร์ม ICP โฮสต์เว็บแอปพลิเคชัน ระบบสารสนเทศ และโมเดล AI ที่มีภูมิคุ้มกันต่อการโจมตีทางไซเบอร์ และไม่สามารถขัดข้องได้ และสิ่งนี้จะช่วยให้กัมพูชาบรรลุภารกิจในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ปลอดภัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนของพวกเขาในฐานะผู้นําระดับภูมิภาคด้านการนําเทคโนโลยีที่มีแนวคิดก้าวหน้ามาใช้”

LOI กับกัมพูชาเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของ DFINITY ในการสนับสนุนนวัตกรรมและการแบ่งปันความรู้กับรัฐบาล หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเกี่ยวกับศักยภาพของเทคโนโลยีคลาวด์อธิปไตย เพื่อรับรองอธิปไตยของข้อมูล นอกจากนี้ DFINITY ยังมุ่งเน้นไปที่การมีส่วนร่วมกับผู้ประกอบการและองค์กรที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เกี่ยวกับกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของกัมพูชา

กระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (MISTI) เป็นหน่วยงานรัฐบาลที่สําคัญในกัมพูชา ซึ่งมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของประเทศ และขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกภาคส่วน ภารกิจของ MISTI คือการวางตําแหน่งกัมพูชาให้เป็นผู้นําระดับภูมิภาคในด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ รวมถึงบล็อกเชน AI และคลาวด์อธิปไตย โดยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันภาครัฐ องค์กรเอกชน และพันธมิตรระดับโลก ผ่านความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์และโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถ MISTI มุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนซึ่งสนับสนุนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการพัฒนาเศรษฐกิจ

https://www.misti.gov.kh/en/about-ministry

เกี่ยวกับมูลนิธิ DFINITY

มูลนิธิ DFINITY ก่อตั้งขึ้นในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2016 นับตั้งแต่นั้นมา มูลนิธิได้กลายเป็นผู้ว่าจ้างด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนรายใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และภูมิภาค DACH โดยมีบุคลากรที่มีความสามารถจากองค์กรทั้งในและต่างประเทศ เช่น IBM Research, Google Research, Meta เป็นต้น มูลนิธิ DFINITY เป็นผู้สร้างและผู้สนับสนุนหลักของ Internet Computer ซึ่งเป็นบล็อกเชนรุ่นที่สามที่ขยายการทํางานของอินเทอร์เน็ตจากเครือข่ายที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ทั่วโลกไปยังแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ที่โฮสต์ระบบและบริการโดยตรงบนบล็อกเชน

https://dfinity.org/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

DFINITY@CW8-Communications.com

ที่มา: มูลนิธิ DFINITY

NIQ มีการเปิดตัวเครื่องมือ AI ใหม่ล่าสุดสำหรับแบรนด์ CPG ที่งาน FastCompany Innovation Festival 2024 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเชิงลึกฝีมือมนุษย์แต่ด้วยความเร็วของ AI

Logo

แนะนำโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของ CPG โมเดลแรกของโลก รวมถึง BASES AI ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้จริงเพื่อสร้างกลุ่มผู้บริโภคจำลองสำหรับการทดสอบแนวคิด

โมเดลภาษาใหม่มีการทำงานอัตโนมัติที่ดีกว่าโมเดลสาธารณะกว่า 7 เท่า สามารถระบุหา จัดระเบียบ และจัดประเภทผลิตภัณฑ์ซึ่งฝึกโดยใช้ข้อมูลขนาด 160 เพตะไบต์

BASES AI จะสร้างกลุ่มผู้บริโภคสำหรับสำรวจจำลองขึ้นมาซึ่งใช้ทดสอบและเปรียบเทียบไอเดียโดยใช้เวลาและค่าใช้จ่ายเพียงน้อยนิด

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2024

NielsenIQ (NIQ) บริษัทข้อมูลข่าวกรองของผู้บริโภคชั้นนำระดับโลก ได้ประกาศการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่สองอย่างเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ซึ่งจะยิ่งแสดงให้เห็นว่า NIQ เป็นบริษัทชั้นนำที่แท้จริง BASES AI และโมเดลภาษาขนาดใหญ่โมเดลแรกของอุตสาหกรรม CPG จะช่วยให้ลูกค้า NIQ สามารถใช้พลังของ AI อย่างมีความรับผิดชอบเพื่อกระตุ้นสร้างนวัตกรรมและขยายส่วนแบ่งตลาดได้ นอกจากนี้ NIQ จะพูดคุยเรื่องแนวโน้ม AI เกี่ยวกับข้อมูลข่าวกรองการซื้อสินค้าของผู้บริโภคและนวัตกรรมที่เวทีงานในวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน เวลา 14:20 ET หัวข้อชื่อ “AI รู้ว่าเราต้องการอะไรจริงหรือไม่ เหตุผลที่ผู้ตอบแบบสอบถามจำลองเป็นตัวขัดขวางการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์

BASES AI เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตจากผู้บริโภคเกี่ยวกับรูปแบบการบริโภคของครัวเรือนกว่าแสนครัวเรือนเพื่อนำมาเลียนแบบพฤติกรรมของผู้บริโภค แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ ช่วยให้สามารถสร้างกลุ่มผู้บริโภคจำลองที่ตอบแบบสอบถามเพื่อลองใช้เทคนิคและวิธีการการวิจัยด้านตลาดที่เป็นผู้คนวางใจได้โดยใช้เวลาเพียงน้อยนิด BASES AI สามารถมอบการวิเคราะห์ศักยภาพแนวคิดได้ภายใน 10 นาทีเท่านั้น แทนที่จะใช้เวลาเป็นวันหรือสัปดาห์เพื่อรวบรวมข้อมูลความเห็นจากมนุษย์ ซึ่งบริษัทเครือ CPG สามารถใช้คะแนนเหล่านี้ รวมถึงคำแนะนำที่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับปัจจัยกระตุ้นความสนใจและความเป็นเอกลักษณ์เพื่อที่จะทำการปรับเปลี่ยนไอเดียก่อนที่จะนำไปผ่านการทดสอบกับผู้บริโภคที่เป็นมนุษย์จริง การที่ BASES AI มีความเร็วและคุณภาพนั้นทำให้สามารถประเมินไอเดียจำนวนมหาศาลได้ขณะที่ยังสามารถร่นระยะเวลาโดยรวมของนวัตกรรมไปด้วยได้ สิ่งที่มาคู่กับการเปิดตัว BASES AI ให้ผู้ทดสอบใช้งานเบต้าได้ใช้งานในอเมริกาเหนือนั้น คือการเปิดตัวโมเดลภาษาของ NIQ ที่เจาะจงสำหรับ CPG โมเดลแรก ซึ่งช่วยขับเคลื่อนความสามารถด้านการแบ่งส่วนผลิตภัณฑ์ขั้นสูงของ Discover ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการวัดผลการค้าปลีกระดับเรือธงของ NIQ เนื่องจากมีการใช้ฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์กว่า 160 ล้านรายการของ NIQ ทำให้โมเดลมีประสิทธิภาพมากกว่าโมเดล LLM สาธารณะกว่า 7 ในเรื่องความสามารถในการสร้างรหัสรายการสินค้าอย่างรวดเร็วและแม่นยำ และเนื่องจากสามารถใช้ตัวเร่งใหม่ๆ ได้ โมเดลจะสามารถพัฒนาเรื่องความสามารถและความซับซ้อนขึ้นได้ตลอด ช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถใช้ Full View™ กับตลาดและผู้บริโภคของตัวเองได้โดยอิงจากข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพกว่าโมเดลอื่น

“ในฐานะที่อยู่ในแวดวงข้อมูลข่าวกรองของผู้บริโภค เราก็ได้ปลดล็อกข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ที่สำคัญต่อภารกิจของเราครับ” กล่าวโดย Ramon Melgarejo ประธานฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์และข้อมูลเชิงลึกที่ NIQ “ในสภาพแวดล้อมที่ดำเนินอย่างรวดเร็ว ตลาดผู้บริโภคจะเน้นไปที่นวัตกรรมที่อิงจากแนวโน้ม ข้อมูลที่มีคุณภาพสูงจะเป็นสิ่งที่สำคัญ และความสามารถในการใช้ประโยชน์และการดึงข้อมูลเชิงลึกจากข้อมูลเหล่านั้นจะสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก การเปิดตัวเหล่านี้เป็นตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าการใช้งานขุมพลังวิเคราะห์ของเราในชุดข้อมูลชั้นนำในตลาดเพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพกว่าโมเดลอื่นที่จะช่วยบริษัทเครือ CPG ได้มีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก”

ชุดผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ NIQ มีพลังฝีมือของวิศวกรกว่า 2,000 คนโดยเน้นไปที่การวิเคราะห์การใช้จ่ายของผู้บริโภคมูลค่ากว่า 7.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงข้อมูลจากบริษัทพาร์ทเนอร์ด้านการขายปลีกกว่า 3,200 รายที่ไม่ซ้ำกัน ด้วยชุดแหล่งข้อมูลมหาศาลที่ครอบคลุมหลายประเทศและเหล่านักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่มุ่งเน้นพัฒนาโซลูชันข้อมูลข่าวกรองธุรกิจพลัง AI ที่มีความรับผิดชอบเหมาะสมนี้ ทำให้ NIQ คงสถานะเป็นผู้นำในตลาดในเรื่องการสร้าง รักษา และกระตุ้นการมีส่วนแบ่งตลาดใหม่ๆ ให้กับลูกค้า

BASES AI และโมเดลภาษา CPG ของ NIQ เป็นโซลูชันพลัง AI ล่าสุดในหมู่ชุดผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มากมายของ NIQ เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทได้ประกาศการผสานรวมข้อมูลกลุ่มผู้บริโภคและการวัดผลการค้าปลีกใน แพลตฟอร์ม NIQ Discover ซึ่งเป็นการพลิกโฉมภูมิทัศน์ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคผ่านการใช้โมเดลวิเคราะห์ขั้นสูงและความสามารถที่ทำงานตลอดเวลาที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่ปรับแต่งได้แก่ลูกค้าหากลูกค้ามีคำขอที่สำคัญต่อภารกิจของตน แพลตฟอร์มบนคลาวด์เป็นหนึ่งในเครื่องมือพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งมีทั้งการผสานรวมตลาด Microsoft Azure, การทำงานร่วมร้านค้า Tik Tok และการบริการ NIQ Spacemanสำหรับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง SPAR International การประกาศทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเนื่องจากบริษัทมีการใช้เครื่องมือ Generative AI (AI ช่วยสร้าง) ที่มีคุณสมบัติการค้นหาทั่วโลก การวิเคราะห์ข้อมูลแบบปรับให้เหมาะสำหรับแต่ละคน และการแนะนำเพื่อให้มีการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ซึ่งก็คือ NIQ Ask Arthur ที่ได้เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้

“พลังขับเคลื่อนให้สร้างนวัตกรรมและเป็นเลิศนั้นอยู่ในสายเลือดของ NIQ มานานนับศตวรรษแล้ว” กล่าวเพิ่มเติมโดย Mohit Kapoor ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีที่ NIQ “การผสานรวม GfK ที่ดำเนินไปได้อย่างสำเร็จของเราได้สร้างลูกค้ากว่า 25,000 รายแก่บริษัท โดยที่มีการวิเคราะห์ธุรกรรมกว่า 2.48 ล้านล้านรายการต่อสัปดาห์ ความสามารถพิเศษของ NIQ ในการมอบ Full View™ ซึ่งให้มุมมองพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่สมบูรณ์และชัดเจนที่สุดในโลกโดยใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์พลัง AI ทำให้เราสามารถทำการทดลองกับพารามิเตอร์จำนวนมากขึ้นไปอีกได้ ใช้วิธีที่ไม่เหมือนที่ใดในการเตรียมความพร้อมให้เราสามารถคว้าโอกาสในตลาดในอีก 100 ปีข้างหน้า”

นอกจากนี้ NIQ ยังให้ข้อมูลที่ไม่ซ้ำแหล่งใดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ตามแนวโน้มของผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมออีกด้วย ซึ่งรวมถึงรายงาน SpendZ ของบริษัทที่เป็นการแจกแจงข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่ายของคนกลุ่ม Gen Z และรายงานแนวโน้มผู้บริโภคที่ออกเป็นประจำซึ่งมีการวิเคราะห์แนวโน้ม พฤติกรรม และความรู้สึก

เกี่ยวกับ NIQ
NielsenIQ (NIQ) เป็นบริษัทข้อมูลข่าวกรองของผู้บริโภคชั้นนำของโลก ผู้ให้บริการข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคอันมาจากความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ที่สุด และช่วยเบิกทางใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจ NIQ ได้รวมทำกิจการกับ GfK ในปี 2023 ทำให้กลายเป็นบริษัทผู้นำอุตสาหกรรมที่สามารถเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือกว่า ในปัจจุบันนี้ NIQ ดำเนินการในมากกว่า 95 ประเทศครอบคลุม GDP ในอัตรา 97% NIQ อ่านค่าด้านการค้าปลีกและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ละเอียดที่สุด ซึ่งส่งมอบโดยใช้ระบบวิเคราะห์ขั้นสูงในแพลตฟอร์มที่ล้ำสมัยอย่าง Full View™

หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่www.niq.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สื่อ:
Sweta Patra
sweta.patra@nielseniq.com

แหล่งที่มา: NielsenIQ

Medidata ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำในการประเมิน PEAK Matrix® ด้านการเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรกของ Everest Group

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 กันยายน 2024

Medidata ซึ่งเป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes และเป็นผู้ให้บริการโซลูชันการทดลองทางการแพทย์ชั้นนำในอุตสาหกรรมชีวการแพทย์ ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำในการประเมิน PEAK Matrix® ของกลุ่ม Everest Group สำหรับการจับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ในด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพเป็นครั้งแรก

รายงานซึ่งประเมินผู้ให้บริการ 20 รายได้เน้น Medidata Rave EDC สำหรับการบูรณาการที่ไร้รอยต่อกับอุปกรณ์สวมใส่ เซ็นเซอร์ และ EHRs รวมถึงความสามารถขั้นสูงในการตรวจสอบข้อมูลต้นทาง การจัดการข้อซักถามที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการจัดการเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ Rave EDC ได้รับการยกย่องสำหรับการออกแบบที่ใช้งานง่ายและลดการเขียนโค้ด ทำให้การปรับปรุงโปรโตคอลเป็นไปอย่างรวดเร็วและการสร้างแบบฟอร์มรายงานกรณีอิเล็กทรอนิกส์ (eCRFs) เป็นเรื่องง่าย พร้อมกับรักษาคุณภาพและความถูกต้องของข้อมูลสำหรับผู้สนับสนุนการทดลองทางการแพทย์ด้วย

“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำในด้าน EDC โดยกลุ่ม Everest” Anthony Costello ซีอีโอของ Medidata กล่าว “Rave EDC ซึ่งเป็นมาตรฐานทองคำในอุตสาหกรรม ได้เป็นผู้นำในการจับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ด้วยภูมิทัศน์ด้านการดูแลสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราจึงยังคงมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการทดลองแบบกระจายศูนย์ ทำให้ผู้สนับสนุนสามารถใช้ข้อมูลเรียลไทม์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและประสิทธิภาพในการพัฒนาการรักษาที่สามารถช่วยชีวิตได้”

รายงานของกลุ่ม Everest เน้นถึงการมีอยู่ของแบรนด์ Medidata ที่แข็งแกร่งในกลุ่มบริษัทเภสัชกรรมขนาดใหญ่และขนาดกลาง รวมถึงความร่วมมือที่กว้างขวางกับองค์กรที่ให้บริการวิจัยทางการแพทย์ (CROs) และผู้ให้บริการเทคโนโลยีการทดลองทางคลินิก การรับรองนี้ช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของ Medidata ในการขับเคลื่อนอนาคตของการทดลองทางการแพทย์ดิจิทัล

ไปที่ เว็บไซต์ ของเราเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata สนับสนุนการรักษาที่ชาญฉลาดและสุขภาพที่ดีขึ้นผ่านโซลูชันดิจิทัลที่สนับสนุนการทดลองทางคลินิก ฉลองครบรอบ 25 ปีของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำในการทดลองมากกว่า 34,000 รายการและผู้ป่วย 10 ล้านคน Medidata เสนอความเชี่ยวชาญชั้นนำในอุตสาหกรรม ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ และชุดข้อมูลทางคลินิกระดับผู้ป่วยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านคนจากลูกค้าประมาณ 2,200 รายไว้วางใจแพลตฟอร์มที่ไร้รอยต่อและครบวงจรของ Medidata เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วย เร่งการค้นพบทางคลินิก และนำการบำบัดเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น Medidata เป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes brand (Euronext Paris: FR0014003TT8, DSY.PA) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก และได้รับการยกย่องเป็นผู้นำโดยกลุ่ม Everest และ IDC ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามเราได้ที่ @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับความก้าวหน้าของมนุษย์ เราจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่ร่วมมือกันให้กับธุรกิจและผู้คนเพื่อจินตนาการถึงนวัตกรรมที่ยั่งยืน โดยการสร้างประสบการณ์เสมือนจริงของโลกจริงผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน 3DEXPERIENCE ของเรา ลูกค้าของเราสามารถนิยามกระบวนการสร้าง การผลิต และการจัดการวงจรชีวิตของข้อเสนอของพวกเขาใหม่ และมีผลกระทบที่มีความหมายในการทำให้โลกยั่งยืนมากขึ้น ความสวยงามของเศรษฐกิจประสบการณ์คือการที่มันเป็นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นมนุษย์เพื่อประโยชน์ของทุกคน ทั้งผู้บริโภค ผู้ป่วย และพลเมืองทั่วไป Dassault Systèmes นำคุณค่าให้กับลูกค้ามากกว่า 350,000 รายจากทุกขนาดในทุกอุตสาหกรรม มากกว่า 150 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม www.3ds.com

© Dassault Systèmes สงวนลิขสิทธิ์ 3DEXPERIENCE, โลโก้ 3DS, ไอคอนเข็มทิศ, IFWE, 3DEXCITE, 3DVIA, BIOVIA, CATIA, CENTRIC PLM, DELMIA, ENOVIA, GEOVIA, MEDIDATA, NETVIBES, OUTSCALE, SIMULIA และ SOLIDWORKS เป็นเครื่องหมายการค้าเชิงพาณิชย์หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Dassault Systèmes บริษัทจากยุโรป (Societas Europaea) ที่จดทะเบียนตามกฎหมายฝรั่งเศส และจดทะเบียนกับทะเบียนการค้าและบริษัทของ Versailles ภายใต้หมายเลข 322 306 440 หรือบริษัทในเครือของบริษัทในสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดเป็นของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง การใช้เครื่องหมายการค้าของ Dassault Systèmes หรือบริษัทในเครือต้องได้รับการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัทเท่านั้น

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ประชาสัมพันธ์ Medidata
Medidata.PR@3ds.com

นักวิเคราะห์สัมพันธ์
medidata.AR@3ds.com

ที่มา: Medidata

SMART Modular Technologies เปิดตัวแฟลชไดรฟ์หน่วยความจำพร้อมระบบการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) สำหรับแอปพลิเคชันใช้งานจากระยะไกล

Logo

เทคโนโลยีการลดปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) จะช่วยให้สามารถลดต้นทุนการบริการได้เป็นอย่างมากในแอปพลิเคชันเครือข่าย โทรคมนาคม และเอดจ์เซิร์ฟเวอร์ที่มีความต้องการสูง

NEWARK, Calif.–(BUSINESS WIRE)–17 กันยายน 2024

SMART Modular Technologies, Inc. (“SMART”) ซึ่งเป็นภาคส่วนใน SGH (Nasdaq: SGH) และเป็นผู้นำระดับโลกในด้านโซลูชันหน่วยความจำ โซลิดสเตตไดรฟ์ และหน่วยความจำขั้นสูง ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เพื่อการลดผลกระทบด้านลบสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) ในระบบที่ใช้หน่วยความจำแฟลชที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง ผลิตภัณฑ์ MP3000 NVMe SSD ของ SMART Modular พร้อมระบบการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) จะช่วยลดอัตราความล้มเหลวต่อปีที่สูงถึง 17.5k/Mu (ล้านหน่วย) ลงเหลือน้อยกว่า 10/Mu และสามารถประหยัดต้นทุนการบริการที่อาจเกิดขึ้นได้หลายแสนเหรียญสหรัฐ โดยการรับประกันเวลาใช้งานโดยไม่มีการหยุดชะงักได้หลายร้อยชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการปรับใช้งานแบบระยะไกลที่ยากในการซ่อมแซม

SMART’s MP3000 PCIe/NVMe and ME2 SATA product portfolios include SEU mitigation technology to protect against system failures in the field. (Photo: Business Wire)

กลุ่มผลิตภัณฑ์ MP3000 PCIe/NVMe และ ME2 SATA ของ SMART รวมถึงเทคโนโลยีการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) เพื่อปกป้องระบบเกิดความล้มเหลวในการดำเนินการ (ภาพถ่าย: Business Wire)

“ไดรฟ์บูต SATA และ PCIe ซึ่งเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมของเราสามารถช่วยลดอัตราความล้มเหลวต่อไปได้สูงถึง 99.7% โดยการกู้คืนข้อมูลจากข้อผิดพลาดเล็กน้อยเนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว” Satya Iyer รองประธานฝ่ายหน่วยความจำพิเศษของ SMART กล่าว “ในแอปพลิเคชันเครือข่ายและโทรคมนาคมในสถานที่ห่างไกลและยากในการเข้าถึงบริการ การแก้ไขปัญหาสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) และความสามารถในการกู้คืนข้อมูลจากข้อผิดพลาดเล็กน้อยสามารถสร้างความแตกต่างสำหรับระบบที่มีความต้องการสูงและต้องพร้อมใช้งานตลอดเวลา 24/7 ทุกวัน”

SEU เป็นการเปลี่ยนแปลง “สถานะบิต” ที่เกิดขึ้นในระบบดิจิทัล เมื่อนิวตรอนพลังงานสูง หรืออนุภาคอัลฟ่า เข้าโจมตีแบบสุ่มและทำให้บิตในหน่วยความจำ ซึ่งเป็นส่วนประกอบทางตระกะ พลิกเปลี่ยนสถานะ โดยอนุภาคพลังงานสูงเหล่านี้สามารถก่อกำเนิดจากพื้นดินหรือนอกโลก เช่น รังสีคอสมิก SEU สามารถนำไปสู่การทำงานที่ผิดปกติของระบบดิจิทัลหรือทำให้ระบบทั้งหมดล้มเหลว ความสามารถในการจัดการกับข้อผิดพลาดหรือความขัดข้องเหล่านี้ภายใน SSD จะช่วยให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นค้องรีบูตทั้งระบบ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินงานที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดชะงัก

เทคโนโลยีการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) นั้นเหนือกว่าโซลูชันอื่นๆ ที่ ECC สำหรับ SRAM ภายใน ด้วยความสามารถในการรีบูตตัวเองโดยไม่ต้องรีบูตระบบโฮสต์ SSD ยังสามารถรับมือกับบิตที่เปลี่ยนแปลงในส่วนประกอบอื่นๆ ภายใน SSD ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดความล้มเหลวได้เพิ่มเติม 10% โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบมาสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการเวลาพร้อมใช้งานสูงสุด ไดร์ฟบูตพร้อมการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหล่านี้มาพร้อมความจุในการจัดเก็บข้อมูลตั้งแต่ 60GB ถึง 1.92TB และมีพร้อมจำหน่ายในเกรดอุณหภูมิเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม

ไดร์ฟ ME2 SATA M.2 และ mSATA พร้อมการแก้ไขปัญหา SEU มาพร้อมความจุในการจัดเก็บข้อมูลขนาด 60GB ถึง 1.92TB และพร้อมจำหน่ายในเกรดเชิงพาณิชย์ (อุณหภูมิการทำงาน: 0 ถึง 70°C) และเกรดอุตสาหกรรม (อุณหภูมิการทำงาน: -40 ถึง 85°C) M.2 2280 ยังรองรับการป้องกันข้อมูลสูญเสียพลังงาน SafeDATA™

ไดรฟ์ MP3000 NVMe PCIe พร้อมการแก้ไขปัญหา SEU มาพร้อมความจุในการจัดเก็บข้อมูลขนาด 80GB ถึง 1.92TB ในรุ่นแฟคเตอร์ M.2 2280, M.2 22110 และ E1.S และพร้อมจำหน่ายในเกรดอุณหภูมิเชิงพาณิชย์ (อุณหภูมิการทำงาน: 0 ถึง 70°C) และเกรดอุณหภูมิอุตสาหกรรม (อุณหภูมิการทำงาน: -40 ถึง 85°C) รวมถึงการรองรับการป้องกันข้อมูลสูญเสียพลังงาน SafeDATA™ ด้วยเช่นกัน สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ของ SMART

รูปแบบตัวหนังสือ “S” และ “SMART” รวมถึง “SMART Modular Technologies” เป็นเครื่องหมายการค้าและ/หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ SMART Modular Technologies, Inc. เครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนอื่นๆ ทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับ SMART Modular Technologies, Inc.

เป็นเวลากว่า 30 ปีมาแล้วที่ SMART Modular Technologies ได้ช่วยเหลือลูกค้าทั่วโลกในการคงความสามารถการปฏิบัติงานด้านการประมวลผลที่สูงผ่านการออกแบบ การพัฒนา และบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับโซลูชันหน่วยความจำแบบพิเศษ ผลงานที่โดดเด่นของเราครอบคลุมทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยในปัจจุบันไปจนถึงผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลแฟลชและ DRAM แบบมาตรฐานและรุ่นเก่า โดยเรามีการนำเสนอโซลูชันหน่วยความจำและการจัดเก็บข้อมูลมาตรฐาน ทนทาน และปรับตามความต้องการเฉพาะ เพื่อตอบสนองความต้องการของแอปพลิเคชันที่หลากหลายในตลาดที่มีการขยายตัวสูง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/54122695/en

ติดต่อ

ผู้ติดต่อฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์
Ed Cuellar
SMART Modular Technologies
Director, Flash Product Marketing
39870 Eureka Dr., Newark, CA 94583
ed.cuellar@smartm.com

ติดต่อฝ่ายสื่อ
John Crook
SMART Modular Technologies
Marketing Communications
+1 (510) 474 8326
john.crook@smartm.com

Maureen O’Leary
SGH/Penguin Solutions
Director, Communications
+1 (602) 330-6846
pr@sghcorp.com

แหล่งข้อมูล: SMART Modular Technologies, Inc.

MidOcean Energy ของ EIG จะซื้อกรรมสิทธิ์ Peru LNG เพิ่มเติม 15% จาก Hunt Oil Company

Logo

Aramco นักลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ MidOcean จัดหาเงินทุนเพื่อการลงทุน

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2024

MidOcean Energy (“MidOcean” หรือ “บริษัท”), บริษัทก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก และ Hunt Oil Company (“Hunt”) ประกาศในวันนี้ว่าพวกเขาได้ทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายโดย MidOcean จะกรรมสิทธิ์ Peru LNG (“PLNG”) เพิ่มเติม 15% จาก Hunt

หลังจากปิดธุรกรรม กรรมสิทธิ์ PLNG ของ MidOcean จะเพิ่มขึ้นจาก จะเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 35% Aramco มีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบสถานะทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ที่สำคัญ ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักในการอนุมัติธุรกรรม การทำธุรกรรมนี้จะได้รับเงินทุนทั้งหมดจาก Aramco ซึ่งจะเพิ่มกรรมสิทธิ์ MidOcean ของตนเป็น 49% การลงทุนเพิ่มเติมของ Aramco ใน MidOcean จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของ MidOcean และ Aramco ในตลาด LNG ทั่วโลก และจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสสัมผัสโครงการส่งออก LNG แห่งเดียวในอเมริกาใต้เพิ่มเติม สัดส่วนการถือหุ้นทางอ้อมของ Aramco ใน PLNG จะเท่ากับ 17.2% นอกจาก EIG และ Aramco แล้ว Mitsubishi Corporation ยังลงทุนใน MidOcean ท่ามกลางนักลงทุนระดับบลูชิปรายอื่นๆ

กรรมสิทธิ์ PLNG ของ Hunt จะลดลงจาก 50% เป็น 35% และ Hunt จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการของ PLNG หลังการทำธุรกรรม Hunt ยังคงถือกรรมสิทธิ์ 25.2% ในโครงการต้นน้ำ Camisea ในเปรู Hunt ลงทุนในเปรูมาตั้งแต่ปี 2000 และมุ่งมั่นที่จะสานต่อประวัติศาสตร์อันยาวนานของการลงทุนในเปรู และความเป็นเลิศในการดำเนินงานในโครงการ PLNG

PLNG เป็นเจ้าของและดำเนินการโรงงานส่งออก LNG แห่งเดียวในอเมริกาใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Pampa Melchorita ห่างจากกรุงลิมา ประเทศเปรู ไปทางใต้ 170 กิโลเมตร สินทรัพย์ของ PLNG ประกอบด้วยโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวที่มีกำลังการผลิต 4.45 ล้านตันต่อปี ท่อส่งก๊าซความยาว 408 กิโลเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ PLNG โดยสมบูรณ์ซึ่งมีกำลังการผลิต 1,290 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ถังเก็บขนาด 130,000 ลูกบาศก์เมตรจำนวน 2 ถัง ท่าเรือทางทะเลความยาว 1.4 กิโลเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ PLNG โดยสมบูรณ์ และสถานที่บรรทุกสินค้าด้วยรถบรรทุกที่มีความจุสูงถึง 19.2 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดย PLNG จะได้รับการดำเนินการโดย Hunt และเป็นหนึ่งในโรงงานผลิต LNG เพียงสองแห่งในละตินอเมริกา

De la Rey Venter ผู้เป็น CEO ของ MidOcean กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน PLNG ซึ่งเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ MidOcean ในการสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลก ที่หลากหลาย และมีความยืดหยุ่น ความเชื่อของเราต่อพื้นฐานระยะยาวของตลาด LNG และในจุดแข็งของจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ของ PLNG ในฐานะโรงงานส่งออก LNG เพียงแห่งเดียวในอเมริกาใต้ที่ยังคงแน่วแน่ เราตั้งตารอที่จะกระชับความร่วมมือของเรากับ Hunt Oil และผู้ร่วมทุน PLNG รายอื่นๆ และยังคงสนับสนุนผลกระทบเชิงบวกของโครงการต่อตลาดพลังงานของเปรูต่อไป”

Mark Gunnin ผู้เป็น CEO ของ Hunt กล่าวว่า “เรามุ่งเน้นไปที่การเตรียมโครงการ PLNG สำหรับอนาคต และโอกาสในการนำ MidOcean เข้ามาเป็นพันธมิตรถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”

Morgan Stanley ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ MidOcean ในการทำธุรกรรมครั้งนี้ และ Latham & Watkins ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย Bracewell LLP ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของ Hunt

เกี่ยวกับ EIG
EIG คือนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ซึ่งกำลังบริหารเงินลงทุนจำนวน 24.9 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2024 โดย EIG เชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในตลอดช่วงระยะเวลา 42 ปี EIG ได้ทุ่มเงินกว่า 48.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการ 413 โครงการหรือบริษัทใน 42 ประเทศในหกทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยกองทุนเงินบำนาญ บริษัทประกันภัย กองทุนการกุศล มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งชั้นนำหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ MidOcean Energy
MidOcean Energy ซึ่งป็นบริษัท LNG ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งมั่นที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลกที่มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น คุ้มทุน และเป็นคู่แข่งกับคาร์บอนได้ เป้าหมายของ MidOcean Energy สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของ EIG ที่มีต่อ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน และความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ LNG ในฐานะทรัพยากรพลังงานเชิงกลยุทธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ MidOcean Energy นำโดย De la Rey Venter ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานเป็นเวลา 26 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงหัวหน้าฝ่าย LNG ระดับโลกของ Shell Plc

เกี่ยวกับ Hunt Oil Company
Hunt ก่อตั้งขึ้นในปี 1934 โดยเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซอิสระที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา พื้นที่ปฏิบัติการหลักของบริษัทตั้งอยู่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ในเปรู สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเคอร์ดิสถานของอิรัก รวมถึงโครงการสำรวจในตูนิเซียและโมร็อกโก Hunt เป็นบริษัทสำรวจระดับนานาชาติที่กระตือรือร้น และได้ขุดเจาะในทุกทวีปนอกเหนือจากทวีปแอนตาร์กติกา

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com หรือเว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

ข้อมูลติดต่อ EIG
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

ข้อมูลติดต่อ Hunt
Paul Schulze
+1 214-978-8534
publicaffairs@huntconsolidated.com

แหล่งที่มา: EIG

The Bangkok Reporter