Panda High Plains Hemp Gin ดำเนินการขั้นสุดท้ายในการเปิดตัวโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับโลกตะวันตกทางออนไลน์

Logo

DALLAS–(BUSINESS WIRE)–12 ธันวาคม 2023

Panda Biotech ประกาศในวันนี้ว่า การก่อสร้างอาคารได้เสร็จสมบูรณ์ และขั้นตอนการเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเพื่อเปิดตัวโครงการ Panda High Plains Hemp Gin™ (the “Panda Hemp Gin”) สู่ตลาดออนไลน์จะเริ่มต้นในช่วงต้นไตรมาสที่ 4 กระบวนการทดสอบการใช้งานเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2024 ในโรงงานขนาด 500,000 ตารางฟุตในเมือง Wichita Falls รัฐเท็กซัส Panda Hemp Gin จะดำเนินการแปรรูปกัญชาระดับอุตสาหกรรมเป็นปริมาณ 10 เมตริกตันต่อชั่วโมง เพื่อใช้ในการผลิตเส้นใยเกรดสำหรับสิ่งทอ กากใยผสม กากใยผสมแบบสั้น และผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่อุดมด้วยสารอาหาร ซึ่งจะมีการนำมาอัดเป็นก้อน โรงงานแห่งนี้คาดว่าจะเป็นศุนย์แปรรูปกัญชาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับโลกตะวันตก และเป็นหนึ่งในศูนย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

Inside the Panda Hemp Gin, a 500,000 square foot industrial hemp processing facility in Witchita Falls, Texas scheduled to begin commercial operations Q1 2024. (Photo: Business Wire)

ภายใน Panda Hemp Gin ซึ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชาขนาด 500,000 ตารางฟุตในเมือง Wichita Falls รัฐเท็กซัส มีกำหนดจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2024 (ภาพถ่าย: Business Wire)

“ในแต่ละส่วนของสายการผลิต Panda Hemp Gin รวมถึงท่อลมเหนือศีรษะความยาวสามไมล์ การกลั่น การผสม ระบบทอฝ้ายเชิงกล การบรรจุถุงและจัดเก็บ การอัดก้อน และอื่นๆ จะมีการเริ่มการทำงาน ตรวจสอบ ปรับสมดุล และทดสอบการใช้งานแยกกัน” Scott Evans รองประธานบริหารของ Panda Biotech กล่าว “ปัจจุบัน อุปกรณ์ทั้งหมดได้รับการนำเข้าระบบออนไลน์เพื่อให้บริการอย่างเป็นทางการโดยแยกแต่ละอุปกรณ์”

กระบวนการทางวิศวกรรมและการผลิตที่ Panda Hemp Gin ได้รับการรับรองโลกสีเขียวจาก Mid-South Engineering Company โดยมีการใช้เฉพาะแหล่งพลังงานหมุนเวียน ตามหลักการ Green Bond ของ International Capital Market Association โดย Panda Biotech ยังมีการร่วมมือกับ Oritain ซึ่งเป็นบริษัทตรวจสอบย้อนกลับทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำกัญชาที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้สูงสุดที่ปลูกในสหรัฐอเมริกา 100 เปอร์เซนต์ออกสู่ตลาด

นอกเหนือจากนี้ Panda Biotech มีการลงนามในสัญญากับผู้ผลิตเพื่อปลูกต้นกัญชงสำหรับฤดูการปลูกในปี 2024 รวมถึงการซื้อเส้นใยป่านกัญชาที่ได้รับการเก็บเกี่ยวหรือแปรรูปแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทได้เปิดตัวโปรแกรมการจ่ายเพื่อปลูกที่ไม่มีใครเทียบได้สำหรับผู้ผลิตเพื่อเริ่มปลูกกัญชาจาก Panda ด้วยเงินรับประกันล่วงหน้าและการสนับสนุนด้านพืชไร่ ผู้ผลิต Panda ยังได้รับเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการทดสอบและผ่านการพิสูจน์แล้วโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และประสบความสำเร็จในการลดความเสี่ยงที่ผู้ผลิตอาจประสบและเน้นย้ำความมุ่งมั่นและคำมั่นสัญญาจาก Panda ในการสนับสนุนชุมชนเกษตรกรรม ประโยชน์ในการปลูกกัญชานั้นมีมาก เนื่องจากเป็นพืชหมุนเวียนที่ดีเยี่ยม ซึ่งช่วยในการปรับสภาพดินและให้อัตรากำไรที่สูง หากสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม สามารถใช้แบบสอบถามสำหรับผู้ปลูกได้ที่ pandabiotech.com

เกี่ยวกับ PANDA BIOTECH

Panda Biotech, LLC เป็นบริษัทเอกชน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Dallas รัฐเท็กซัส และเป็นผู้บุกเบิกรายแรกในอุตสาหกรรมเส้นใยป่านกัญชาและกากใย Panda Biotech มีประสบการณ์ด้านการบริหารระดับผู้นำในการพัฒนา จัดหาเงินทุน ก่อสร้าง และดำเนินการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่สำหรับพลังงานสะอาด โดยมีการพัฒนาโครงการ 22 โครงการด้วยเงินทุน 12 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยประมาณ ปัจจุบัน บริษัทกำลังพัฒนาโรงงานผลิตเหล้าจินจากกัญชาเชิงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โครงการแรกของ Panda คือ Panda High Plains Hemp Gin™ LLC (Panda Hemp Gin) โดยเป็นความร่วมมือกันกับ Aka-Ag, LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Southern Ute Indian Tribe Growth Fund โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ Wichita Falls รัฐเท็กซัส โดยเป็นโรงงานแปรรูปกัญชาขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับโลกตะวันตก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pandabiotech.com และ @pandabiotech บน Instagram, Twitter หรือ LinkedIn

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Beth Gebhard
SVP, Marketing and Public Relations
beth.gebhard@pandabiotech.com

แหล่งข้อมูล: Panda Biotech

เทศบาลเขตทูวุมบาปรับปรุงเส้นทางสู่บริการดิจิทัลด้วย Boomi

Logo

รัฐบาลท้องถิ่นของรัฐควีนส์แลนด์ปรับปรุงข้อมูลเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยและสนับสนุนโครงการ Internet of Things (IoT)

ซิดนีย์และบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย–(BUSINESS WIRE)–12 ธันวาคม 2023

Boomi™ ซึ่งเป็นผู้นำด้านการเชื่อมต่ออัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ ได้ประกาศในวันนี้ว่าเทศบาลเขตทูวุมบาได้ใช้แพลตฟอร์ม Boomi platform เพื่อปรับปรุงการให้บริการดิจิทัลให้กับผู้อยู่อาศัย และขับเคลื่อนความคิดริเริ่มที่สำคัญ เช่น โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำของ Internet of Things (IoT)

Toowoomba Regional Council Enhances Route to Digital Services With Boomi (Graphic: Business Wire)

เทศบาลทูวุมบาปรับปรุงเส้นทางสู่บริการดิจิตอลด้วย Boomi (กราฟิก: Business Wire)

เทศบาลเขตทูวุมบา (TRC) นั้นตั้งอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย มีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 180,000 คน ขณะนี้เทศบาลได้กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ โดยใช้ข้อมูลในการปรับปรุงบริการดิจิทัลสำหรับผู้อยู่อาศัย นับตั้งแต่คำขอบำรุงรักษา การจ่ายน้ำ ไปจนถึงการจัดการแอปพลิเคชันการพัฒนา

“บริการชุมชนจะต้องส่งเสริมชีวิตดิจิทัลของคนในท้องถิ่น” Mark Godfrey นักพัฒนาบูรณาการอาวุโสของ TRC กล่าว “พวกเขาจำเป็นต้องเข้าถึงได้อย่างทันเวลาและเข้าถึงได้โดยผู้อยู่อาศัย ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่เทศบาลก็สามารถดูแลได้ง่าย เราพยายามที่จะใช้กรอบข้อมูลที่จะสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วทั้งเขต เพื่อให้กระบวนการต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องยุ่งยาก และช่วยให้เราตอบสนองต่อชุมชนได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงขององค์กร”

TRC แทนที่การบูรณาการแบบจุดต่อจุดด้วยตนเองด้วยการใช้แพลตฟอร์ม Boomi ซึ่งเชื่อมต่อแอปพลิเคชันที่สำคัญทางธุรกิจ รวมถึงระบบการจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ERP ผู้คน ทรัพย์สิน และซอฟต์แวร์ด้านกฎระเบียบ พอร์ทัลการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ระบบที่จอดรถอัจฉริยะ และระบบบริการขยะ เมื่อขจัดข้อมูลที่บริหารจัดการแบบแยกส่วนกัน (Data silo) และความซ้ำซ้อนของข้อมูลแล้ว TRC ได้ปรับปรุงกระบวนการที่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะหลายประการ รวมถึงเอกสารประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

“ในอดีต ผู้อยู่อาศัยได้รายงานว่าเอกสารหายไปทางออนไลน์ ซึ่งทำให้ทีมไอทีต้องตรวจสอบและแก้ไขระบบด้วยตนเองทันทีโดยใช้เวลาหลายชั่วโมง ตอนนี้เราไม่อนุญาตให้กระบวนการที่ล้าสมัยส่งผลกระทบต่อการมีส่วนร่วมของเรากับผู้อยู่อาศัยอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้มันขัดขวางการปกครองของเรา” Godfrey กล่าว

เขากล่าวเสริมว่า "ด้วย Boomi เราสามารถตอบสนองข้อกำหนดของรัฐบาลโดยรับรองว่าเอกสารการพัฒนาพร้อมสำหรับการบริโภคของสาธารณะ ในขณะเดียวกัน เราเข้าใจได้อย่างดีขึ้นว่าผู้อยู่อาศัยมีปฏิสัมพันธ์กับเราอย่างไร ตั้งแต่การรวบรวมตัวชี้วัดในคำขอสาธารณะไปจนถึงการออกการแจ้งเตือน เราสามารถตอบสนองความต้องการด้านเอกสารและปัญหาได้แบบเรียลไทม์ สิ่งนี้ทำให้การปรับปรุงเทคโนโลยีของเรามีความหมาย ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าในห้องไอทีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความก้าวหน้าสำหรับบุคลากรและกระบวนการด้วย”

ในฐานะส่วนหนึ่งของกลยุทธ์โครงสร้างพื้นฐานที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น TRC ยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำครั้งใหญ่อีกด้วย

Godfrey กล่าวว่า "เรากำลังนำมิเตอร์น้ำสำหรับบ้านและธุรกิจมากกว่า 64,000 มิเตอร์ออก และจะแทนที่โครงสร้างพื้นฐานเก่าด้วยมิเตอร์อัจฉริยะในอีกสามปีข้างหน้า แทนที่จะอาศัยการอ่านมิเตอร์แบบแมนนวล แพลตฟอร์มอัจฉริยะและเป็นแบบLow-code ของ Boomi จะประสานกับบริการของ Iota ซึ่งเป็นพันธมิตร IoT ของเรา เพื่อดึงข้อมูลมิเตอร์และรับรองว่าข้อมูลจะไหลไปในที่ที่ต้องการ”

เมื่อมองไปข้างหน้า TRC จะใช้ Flow ซึ่งเป็นโซลูชันเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติของ Boomi เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้อยู่อาศัยโดยรวม ซึ่งจะรวมถึงการพัฒนาแบบฟอร์มออนไลน์ เช่น คำขอหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ ในปัจจุบัน ผู้อยู่อาศัยจะต้องดาวน์โหลด ลงนาม และสแกนคำขอที่ใช้กระดาษ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพิจารณาคำขอเหล่านี้ด้วยตนเอง Boomi Flow จะปรับปรุงกระบวนการโดยการทำให้การลงนามแบบดิจิทัลเป็นไปได้ และทำให้การตรวจสอบภายในเป็นแบบอัตโนมัติ

โครงการ Flow อื่นๆ จะเห็น TRC สร้างมุมมองข้อมูลที่อยู่อาศัยแบบ 360 องศาภายในอินเทอร์เฟซเดียว ด้วยมุมมองที่สมบูรณ์ของทุกสิ่ง ตั้งแต่รายการสัตว์เลี้ยงและทรัพย์สินที่จดทะเบียน ไปจนถึงการชำระค่าอัตรา พนักงานของ TRC จะสามารถตอบคำถามของพลเมืองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีความเข้าใจความต้องการของพวกเขามากขึ้น

“ชาวออสเตรเลียคาดหวังบริการดิจิทัลคุณภาพสูงจากองค์กรต่างๆ และนั่นขยายไปถึงเทศบาลที่ดูแลสถานที่อยู่อาศัยของพวกเขา” Nathan Gower ผู้อำนวยการออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ของ Boomi กล่าว “กระบวนการที่ซับซ้อนนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ Boomi ช่วยให้ TRC สามารถกำจัดความไร้ประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการเฉพาะของภูมิภาคได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็รักษาความรับผิดชอบต่อเงินภาษีที่ผู้เสียภาษีใช้จ่ายไปได้อย่างครบถ้วน”

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Boomi
Boomi มีเป้าหมายที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้นด้วยการเชื่อมโยงทุกคนเข้ากับทุกสิ่งและทุกที่ Boomi เป็นผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มบูรณาการบนคลาวด์ในรูปแบบบริการ (iPaaS) และปัจจุบันเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่ให้บริการ (SaaS) ชั้นนำระดับโลก โดยเป็นฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้จำหน่ายแพลตฟอร์มบูรณาการและเครือข่ายพันธมิตรทั่วโลกประมาณ 800 ราย – รวมถึง Accenture, Capgemini, Deloitte, SAP และ Snowflake องค์กรระดับโลกหันมาใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับรางวัลของ Boomi เพื่อค้นหา จัดการ และประสานข้อมูล ขณะเดียวกันก็เชื่อมต่อแอปพลิเคชัน กระบวนการ และผู้คนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและเร็วขึ้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมที่ boomi.com

© 2023 Boomi, LP. Boomi, โลโก้ 'B' และ Boomiverse เป็นเครื่องหมายการค้าของ Boomi, LP หรือบริษัทในเครือหรือบริษัทในเครือ สงวนลิขสิทธิ์. ชื่อหรือเครื่องหมายอื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53866243/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ฝ่ายสื่อ:
Jasmine Ee
หัวหน้าฝ่ายสื่อและนักวิเคราะห์สัมพันธ์ APJ
jasmine.ee@boomi.com

แหล่งที่มา: Boomi, LP

12Go เผยจุดหมายปลายทางปีใหม่ยอดนิยมในเอเชียประจำปี 2024

Logo

กรุงเทพมหานคร–(BUSINESS WIRE)–12 ธันวาคม 2023

12Go เปิดเผยรายชื่อจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวในเอเชียที่ดีที่สุดสำหรับช่วงฤดูหนาวแล้ว โดยรายชื่อนี้อ้างอิงตามข้อมูลตั๋วภายในที่รวบรวมโดย 12Go  หลังจากการวิเคราะห์ตั๋วที่ขายตลอดทั้งปี 12Go ได้ระบุจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมที่เหมาะสำหรับนักเดินทางกลุ่มต่างๆ รวมไปถึงนักเดินทางคนเดียว คู่รัก ครอบครัว และเพื่อนฝูง ซึ่งประเทศที่โดดเด่นจำนวน 10 อันดับได้แก่ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินเดีย กัมพูชา อินโดนีเซีย ศรีลังกา ลาว มาเลเซีย และญี่ปุ่น

ประเทศไทยได้อันดับหนึ่ง โดยมีเชียงใหม่และกรุงเทพฯ นำเสนอที่เที่ยวยอดเยี่ยมให้กับนักเดินทางทุกคน สถานที่ยอดนิยมสำหรับนักเดินทางคนเดียวคือเกาะพะงัน ในขณะที่ผู้เดินทางแบบครอบครัวนิยมไปเที่ยวเกาะสมุยกัน

เวียดนามคว้าอันดับ 2 โดยมีดานัง ฮานอย และโฮจิมินห์ซิตี้ ที่มอบการตกแต่งเมืองสุดครึกครื้น การจัดแสดงต่างๆที่เป็นศิลปะ และความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ซาปาเป็นสถานที่พักผ่อนช่วงฤดูหนาวที่แนะนำสำหรับผู้เดินทางแบบครอบครัว ในขณะที่ถนนอันพลุกพล่านของฮานอยรอคอยนักผจญภัยที่เดินทางตัวคนเดียว

ฟิลิปปินส์ครองอันดับ 3 นำเสนอการฉลองปีใหม่ที่ยาวนานและไม่เหมือนใคร กรุงมะนิลาและเอลนิโดเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักเดินทางทุกคน ในขณะที่นักเดินทางคนเดียวมักเลือกเลกัซปี ส่วนนักท่องเที่ยวแบบเพื่อนฝูงและคู่รักมักจะถูกใจโครอน และผู้ที่ท่องเที่ยวแบบเป็นครอบครัวมักมองว่า เอล บาเกียวเป็นสถานที่ที่น่าเที่ยว

อินเดียอยู่ในอันดับที่ 4 โดยที่อัครา ชัยปุระ และเดลี เป็นตัวเลือกหลักสำหรับการเดินทางช่วงปีใหม่ในหมู่นักเดินทางทุกประเภท อย่างไรก็ตาม หลายครอบครัวเลือกที่จะสำรวจรัฐกัวในช่วงฤดูกาลนี้เช่นกัน

ประเทศกัมพูชาจองอันดับ 5 โดยสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับการเฉลิมฉลองปีใหม่ ได้แก่ พนมเปญ สีหนุวิลล์ และเสียมราฐ

อันดับที่ 6 ได้แก่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ได้แก่ บาหลีและหมู่เกาะกีลี นักเดินทางคนเดียวและครอบครัวมักไปที่ซานูร์ ในขณะที่นูซา เปอนีดาเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเพื่อนและคู่รัก

ศรีลังกาได้อันดับที่ 7 สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวด้วยจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างเอลลา แคนดี และนูวารา เอลิยา ส่วนโคลัมโบเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางคนเดียว ในขณะที่ นูวาราเอลิยา เหมาะสำหรับคู่รักและครอบครัวนักเดินทาง

ประเทศลาวคว้าอันดับที่ 8 มาด้วยวังเวียง เวียงจันทน์ และหลวงพระบาง

ประเทศมาเลเซียมีจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง และลังกาวี ต่างก็นำเสนอวันหยุดพักผ่อนที่ไม่เหมือนใคร นำมาซึ่งตำแหน่งอันดับที่ 9

ส่วนอันดับที่ 10 ได้แก่ ญี่ปุ่น – โอซาก้า โตเกียว และเกียวโต ต่างก็เป็นตัวเลือกยอดเยี่ยมสำหรับการพักผ่อนช่วงปีใหม่ที่ดึงดูดนักเดินทางแทบทุกคน

ที่มา: 12Go 12go.com/en/articles/top-new-year-destinations

เกี่ยวกับ: 12Go เป็นแพลตฟอร์มการเดินทางชั้นนำที่นำเสนอบริการจองการเดินทาง ช่วยให้นักเดินทางจองรถบัส เรือเฟอร์รี่ รถไฟ รถรับส่งสนามบิน และเที่ยวบินต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Tetiana But ฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาด tetiana.but@12go.asia

ที่มา: 12Go

Capcom ประกาศเปิดตัว Monster Hunter Wilds

Logo

เกมล่าสุดนี้มีกำหนดจะเข้าร่วมซีรีส์ที่มียอดขายสะสม 95 ล้านชุดในปี 2025

โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–12 ธันวาคม 2023

บริษัท Capcom Co., Ltd. (TOKYO:9697) ได้ประกาศในวันนี้ว่า Monster Hunter Wilds ซึ่งเป็นเกมถัดไปในซีรีส์ Monster Hunter ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมนั้น มีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2025

Monster Hunter Wilds is scheduled for release in 2025 (Graphic: Business Wire)

Monster Hunter Wilds มีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2025 (กราฟิก: Business Wire)

Monster Hunter Wilds เป็นเกมล่าสุดในซีรีส์นี้และยังเป็นเกมหลักเกมใหม่ทั้งหมดนับตั้งแต่ Monster Hunter Rise ได้เปิดตัวไปเมื่อปี 2021 Monster Hunter Wilds มีกำหนดการวางจำหน่ายในปี 2025 และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยมีเป้าหมายเพื่อมอบประสบการณ์ที่จะสร้างความพึงพอใจให้ทั้งกับแฟนของเกมซีรีส์เรื่องนี้มาอย่างยาวนานและกับผู้เล่นใหม่ด้วย

Capcom ยังคงมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดโดยใช้ประโยชน์จากความสามารถในการพัฒนาเกมชั้นนำของอุตสาหกรรมเพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมที่สนุกสนานยิ่งขึ้นไปอีก

เกี่ยวกับ Monster Hunter

ซีรีย์ Monster Hunter series ประกอบด้วยเกมแอ็คชั่นการล่าสัตว์ที่ให้ผู้เล่นต่อสู้กับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม เริ่มต้นด้วยชื่อแรกในปี 2004 ซีรีส์นี้ได้สร้างวิดีโอเกมประเภทใหม่ที่ผู้เล่นจะต้องทำงานร่วมกันกับเพื่อน ๆ เพื่อล่าสัตว์ประหลาดที่ดุร้าย ซีรีส์ Monster Hunter ได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกด้วยยอดขายสะสมเกิน 95 ล้านชุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2023

เกี่ยวกับ CAPCOM

Capcom คือผู้พัฒนา ผู้จัดพิมพ์ และผู้จัดจำหน่ายความบันเทิงแบบโต้ตอบชั้นนำระดับโลกสำหรับเกมคอนโซล พีซี อุปกรณ์พกพา และอุปกรณ์ไร้สาย โดยบริษัทได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1983 และได้สร้างเกมจำนวนหลายร้อยเกม รวมถึงแฟรนไชส์สุดล้ำอย่าง Resident Evil™ Monster Hunter™ Street Fighter™ Mega Man™ Devil May Cry™ และ Ace Attorney™ Capcom มีการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และโตเกียว โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Capcom ได้ที่ https://www.capcom.co.jp/ir/english/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: 

https://www.businesswire.com/news/home/53868342/en

ติดต่อ

แผนกประชาสัมพันธ์และนักลงทุนสัมพันธ์ของ Capcom
Daniel Levine
+81-6-6920-3623
daniel-levine@capcom.com

Yoshiko Ikeda
+81-6-6920-3623
yoshiko-ikeda@capcom.com

ที่มา: Capcom Co., Ltd.


Aurora, PTT Station และ Royal Umbrella เป็นหนึ่งในผู้ชนะเลิศคว้ารางวัล 2023 – 2024 World Branding Awards

Logo

LONDON–(BUSINESS WIRE)–8 ธันวาคม 2023

World Branding Awards ครั้งที่ 17 ยกย่องความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายสำหรับกลุ่มแบรนด์ที่ดีที่สุดของโลก ในฐานะผู้ชนะเลิศระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก 2023 – 2024 World Branding Awards มีแบรนด์เข้าร่วมมากกว่า 1,500 แบรนด์จากกว่า 40 ประเทศที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น “แบรนด์แห่งปี” ในจำนวนนี้ มีไม่ถึง 200 แบรนด์ที่เป็นหนึ่งในผู้ชนะเลิศ

พิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้จัดขึ้นที่ต้นกำเนิดของรางวัลนี้ นั่นคือ พระราชวังเคนซิงตัน สหราชอาณาจักร โดยได้ต้อนรับแขกกว่า 100 คนทั่วโลก และดำเนินรายการโดย David Croft ผู้จัดรายการโทรทัศน์ชื่อดัง

ผู้ชนะเลิศระดับโลกที่ได้พิสูจน์ความเป็นเลิศและการสร้างแบรนด์อย่างไร้ที่ติในอุตสาหกรรม ได้แก่ Sunsilk (สหราชอาณาจักร), LURPAK (เดนมาร์ก), Marriott International (สหรัฐอเมริกา), และ IKEA (สวีเดน)

ผู้ชนะเลิศจากประเทศไทย ได้แก่ Thai Life Insurance, PTT Station, M-150, Café Amazon, Royal Umbrella, Aurora, VITADAY, TrueOnline, Farmhouse, และ TOPS ผู้ชนะเลิศจากประเทศอื่นๆ ได้แก่ FERN- D (ฟิลิปปินส์), Frank & Co. (อินโดนีเซีย), Chow Tai Fook (ฮ่องกง), Sokos Hotels (ฟินแลนด์), Mercadona (สเปน), Airland (ฮ่องกง), และ Getha (มาเลเซีย) และยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้

มีเพียง 14 แบรนด์เท่านั้นที่คว้ารางวัล Regional Tier ในปีนี้ ได้แก่ Nippon Rent-A-Car (ญี่ปุ่น), GIG (คูเวต), MR.DIY (มาเลเซีย), M-150 (ไทย), HECOM (ฮ่องกง), และ VITADAY (ไทย) แบรนด์เหล่านี้ได้รับการโหวตให้เป็นแบรนด์โปรดของผู้บริโภคใน 4 ประเทศขึ้นไปภายใต้ 3 ภูมิภาคขึ้นไปทางภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจง

“นี่เป็นการเฉลิมฉลองความพยายามอย่างต่อเนื่องซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างแบรนด์ที่โดดเด่น ในการคงการตอบรับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง แบรนด์จะต้องมีการสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่น สะท้อนถึงความเป็นแบรนด์และคงอยู่ตราบเท่านาน ซึ่งไม่เพียงเป็นการสร้างวัฒนธรรมและชุมชนสำหรับแบรนด์ผ่านการตลาดเท่านั้น แต่ยังต้องรับประกันได้ว่า ผู้คนทุกเจนเนอเรชันจะยังให้การตอบรับแบรนด์และมีความสนใจในแบรนด์อย่างต่อเนื่อง” Mr Richard Rowles ประธานของ World Branding Forum กล่าว

ในปีนี้ มีผู้บริโภคเข้าร่วมในการเสนอชื่อทั่วโลกมากกว่า 150,000 คน โดยเฉลี่ยแล้ว ในแต่ละประเทศมีเพียง 5 แบรนด์เท่านั้นที่คว้ารางวัลชนะเลิศ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า การได้รับรางวัล World Branding Award นี้ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งยวด

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและรายชื่อผู้ชนะเลิศทั้งหมดได้ที่ awards.brandingforum.org

เกี่ยวกับ WORLD BRANDING AWARDS

World Branding Awards เป็นรางวัลอันทรงเกียรติของ World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ได้รับการจดทะเบียน รางวัลนี้เป็นการยกย่องความสำเร็จของแบรนด์ที่ดีที่สุดของโลก

โซเชียลมีเดีย

Facebook: https://www.facebook.com/worldbrandingforum/

Twitter: https://twitter.com/WorldBranding

Instagram: https://www.instagram.com/worldbranding/

LinkedIn: https://linkedin.com/company/world-branding-forum

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

อีเมล: editorial@brandingforum.org

แหล่งข้อมูล: World Branding Awards

นักวิจัยโรคมะเร็งชื่อดังระดับโลกจากสเปนและสหรัฐอเมริกา ผนึกกำลังเพื่อจัดการกับความต้องการและความท้าทายที่สำคัญในการวิจัยโรคมะเร็งในสตรี

Logo

จากสถิติพบว่าผู้หญิง 1 ใน 3 จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ความก้าวหน้าในการวิจัยและการรักษาอย่างทันท่วงทีมีความสำคัญต่อสุขภาพของผู้หญิง

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–8 ธันวาคม 2023

Mary Kay Inc.ซึ่งเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางตกแต่งสีขายตรงอันดับ 1 ของโลก และมูลนิธิที่บริษัทสนับสนุน ซึ่งรวมถึงมูลนิธิ Mary Kay Ash Foundationในสหรัฐอเมริกา ยังคงให้การสนับสนุนอย่างมั่นคง เพื่อการวิจัยโรคมะเร็งของผู้หญิงผ่านการให้ทุนสนับสนุนแผนงานวิจัย และโครงการวิจัยต่างๆ การมอบทุนให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และการอำนวยความสะดวกในการทดลองทางคลินิก ทั้งหมดนี้เพื่อการค้นหาวิธีการรักษา

”The incidence of breast cancer in women is seeing an upward trend in the world, and today we can say that 1 in 3 women will be diagnosed with cancer in their lifetime,” said Dr. O’Shaughnessy (Courtesy of Joyce O'Shaughnessy, M.D.).

“อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงกำลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และในปัจจุบันเราสามารถพูดได้ว่าผู้หญิง 1 ใน 3 จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระหว่างที่มีชีวิตอยู่” ดร. O’Shaughnessy กล่าว (ได้รับความอนุเคราะห์จากแพทย์หญิง Joyce O'Shaughnessy)

เมื่อเร็วๆ นี้ Mary Kay ได้จัดการประชุมเสมือนจริงระหว่าง ดร. Joyce O'Shaughnessyเฉลิมฉลองประธานสตรีในการวิจัยมะเร็งเต้านมที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยเบย์เลอร์และประธานการวิจัยมะเร็งเต้านมที่ U.S. Oncology ในดัลลัส รัฐเท็กซัส และ ดร. Eva Ciruelos ผู้ประสานงานหน่วยมะเร็งเต้านม โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย และ โรงพยาบาล HM และประธานกลุ่ม SOLTI ด้านการวิจัยมะเร็งเต้านมและมูลนิธิ FERO ที่ได้รับทุนการสนับสนุนจาก Mary Kay Spain ซึ่งประจำอยู่ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน ทั้งสองเป็นผู้นำทีมวิจัยของตนเองในประเทศบ้านเกิดของตน โดยมุ่งเน้นที่การสืบสวนรูปแบบมะเร็งที่หายากและลุกลามในสตรี ได้แก่ มะเร็งเต้านมระยะลุกลามชนิดทริปเปิลเนกาทีฟ (TNBC)  แม้จะอยู่ห่างจากกันหลายพันไมล์ แต่ทั้งสองรู้จักกันมานาน – และร่วมมือกันเป็นเวลาหลายปีในการวิจัย TNBC เพื่อค้นหาวิธีแก้ปัญหาและการรักษาโรคร้ายแรงนี้

นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ 2 คนในสาขาของตน นั่งลงเพื่อหารือเกี่ยวกับความสำคัญของความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ระดับโลก โดยเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนสำหรับนักวิจัยทั่วโลกในการแบ่งปันการค้นพบและความก้าวหน้าเพื่อรวบรวมผลลัพธ์

“มันไม่ใช่เรื่องของการมีความคิดที่ดีที่สุด แต่เป็นการร่วมมือกันเพื่อให้ผู้ป่วยแต่ละรายได้รับการรักษาที่ดีที่สุด และนี่คือสิ่งที่ต้องซึมซาบในอุตสาหกรรมการแพทย์ คลินิก และเภสัชกรรม อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงกำลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และในปัจจุบันเราสามารถพูดได้ว่าผู้หญิง 1 ใน 3 จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระหว่างที่มีชีวิตอยู่2” ดร. O’Shaughnessy กล่าว

“หากไม่มีความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวินิจฉัยโรคที่เฉพาะเจาะจงได้” ดร.Ciruelos ให้ความเห็น “การติดตามการรักษาของผู้ป่วยแต่ละรายในลักษณะเฉพาะบุคคลถือเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อนั้นเราจะสามารถระบุได้ว่าเหตุใดการรักษาแบบเดียวกันสำหรับผู้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันจึงได้ผลสำหรับบางคน แต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่นๆ”

พวกเขายืนยันความผิดหวังกับความแตกต่าง และความไม่เท่าเทียมกัน ที่พวกเขาเห็นในการเข้าถึงการรักษา ยา และการรักษาในประเทศต่างๆ และเรียกร้องให้มีความเป็นเอกภาพในการเสนอการรักษาที่เท่าเทียมกันมากขึ้นสำหรับผู้ป่วยทุกคน โดยไม่คำนึงถึงที่อยู่อาศัยของพวกเขา นักวิจัยทั้งสองยังเห็นพ้องกันว่าการหาเวลาอุทิศตนให้กับการวิจัยโรคมะเร็งอย่างเต็มที่เป็นเรื่องยาก เนื่องจากต้องรับมือกับความท้าทายด้านเงินทุน และแสดงความขอบคุณต่อผู้สนับสนุน ซึ่งรวมถึงมูลนิธิ Mary Kay Ash และมูลนิธิ Fero ที่ทำให้งานช่วยชีวิตของพวกเขาเป็นไปได้

ดร. O'Shaughnessy กล่าวเสริมว่า “ในปี 1985 เรารู้สึกหงุดหงิดอย่างมากจากการไม่มีทางเลือกในการรักษาสำหรับผู้หญิงที่เป็นมะเร็ง วันนี้เราเห็นความก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องนี้ และฉันก็มองโลกในแง่ดีขึ้นต่อความสำเร็จของนักวิจัยรุ่นต่อไป”

ด้วยการให้ทุนสนับสนุนโครงการวิจัยมะเร็งโดยมูลนิธิ Mary Kay Ash ในสหรัฐอเมริกา และรางวัลมอบทุนของ Mary Kay Spain ให้กับมูลนิธิ FERO ในสเปน ทำให้ดร. O’Shaughnessy และ ดร. Ciruelos สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ Mary Kay เป็นแถวหน้าของการวิจัยโรคมะเร็งของผู้หญิง โดยสนับสนุนการวิจัยที่ก้าวล้ำซึ่งนำโดยผู้หญิงเพื่อผู้หญิง Mary Kay มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือนักวิจัยทั่วโลก โดยสนับสนุนการวิจัยเชิงแปล (การวิจัยที่เชื่อมโยงการวิจัยในห้องปฏิบัติการกับผู้ป่วยโดยตรง) การทดลองทางคลินิกที่มุ่งปรับปรุงการตรวจหา การพยากรณ์โรค และการรักษาโรคมะเร็งในสตรี ตลอดจนองค์กรที่สนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง เช่น มูลนิธิ FERO ในประเทศสเปน

ติดตามบทสนทนาเต็มๆ ของพวกเขาได้ที่ Mary Kay Global YouTube channel.

เกี่ยวกับ Mary Kay

จากนั้น ตอนนี้ เสมอ Mary Kay Ash หนึ่งในผู้ที่ทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือการทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่ Mary Kay ได้เพิ่มศักยภาพให้กับผู้หญิงในการกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอางตกแต่งสี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และน้ำหอมที่ทันสมัย Mary Kay เชื่อในการรักษาโลกของเราสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็ง และความรุนแรงในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนทำตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบเราได้ที่  Facebook Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราได้ที่ X (เดิมชื่อว่าทวิตเตอร์)

1 “ที่มา บริษัท ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ความงามและการดูแลส่วนบุคคล ฉบับปี 2023 ยอดขายมูลค่าที่ RSP ข้อมูลปี 2022”

2 สมาคมโรคมะเร็งอเมริกัน https://www.cancer.org/cancer/types/breast-cancer/about/how-common-is-breast-cancer.html

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53867905/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Mary Kay Inc. ฝ่ายสื่อสารองค์กร
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

แหล่งที่มา: Mary Kay Inc.


เปิดตัว APO Productivity Databook 2023

Logo

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–6 ธันวาคม 2023

Asian Productivity Organization (APO) เปิดตัว APO Productivity Databook 2023 ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ประจำปีที่รวบรวมสถิติและแนวโน้มความสามารถในการผลิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างครอบคลุม โดยนำเสนอการวิเคราะห์โดยละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบการผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยให้ผู้ถือหุ้นทำความเข้าใจภูมิทัศน์ปัจจุบันและตัดสินใจได้ตามข้อมูล วิธีการที่เคร่งครัดและมาตรฐานการรวบรวมข้อมูลของ Databook ช่วยให้สามารถมั่นใจได้ถึงชื่อเสียงในฐานะแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ สำหรับทุกคนที่มีความสนใจในความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชีย

Example of data from the APO Productivity Databook 2023: Figure 5.13 Half-Century Total Factor Productivity index by Country, 1970-2021 (Graphic: Business Wire)

ตัวอย่างข้อมูลจาก APO Productivity Databook 2023: ภาพ 5.13 ดัชนีความสามารถในการผลิตปัจจัยรวมครึ่งศตวรรษตาประเทศ ปี 1970-2021 (กราฟิก: Business Wire)

APO Productivity Databook เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยสามารถช่วยเหลือผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำทางธุรกิจ และนักวิจัยในการวางแผนเศรษฐกิจ เปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตในประเทศกับมาตรฐานระดับภูมิภาคและระดับโลก และระบุโอกาสและความท้าทายในการเติบโต

ไฮไลต์สำคัญของ APO Productivity Databook 2023

  • โปรไฟล์สมาชิก APO ยี่สิบเอ็ดโปรไฟล์และโปรไฟล์ระดับภูมิภาคห้าแห่ง พร้อมตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพการทำงาน
  • แนะนำวิธีการใหม่ เช่น การรวมมูลค่าของทรัพยากรแร่ธาตุและพลังงาน (MER) และประเมินปริมาณที่ดินและคุณภาพแรงงานที่ดีขึ้น
  • แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ: ตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2021 เศรษฐกิจของ Asia31 (สมาชิก APO 21 ราย และผู้ที่ไม่ใช่สมาชิก 10 ราย) เติบโตทุกปีที่ 4% ในปี 2021 คิดเป็น 48% ของเศรษฐกิจโลก เทียบกับสหรัฐอเมริกา (16%) และ EU27 (14%) การคาดการณ์ในปี 2030 ระบุว่า ส่วนแบ่งเศรษฐกิจโลกของเอเชียเพิ่มขึ้นเป็น 53%
  • การวิเคราะห์เฉพาะภาคส่วน: แม้จะมีการกระจายภาคส่วน เกษตรกรรม ป่าไม้ และประมง ยังคงครอบสัดส่วนในการจ้างงานในเอเชียในปี 2021 โดยคิดเป็นสัดส่วนของการจ้างงานถึง 30% ในขณะเดียวกัน การผลิตก็กลายเป็นภาคส่วนที่สำคัญ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% ของมูลค่าเพิ่มทั้งหมดใน 12 ประเทศในเอเชีย

APO Productivity Databook 2023 มีจำหน่ายทั้งในรูปแบบดิจิทัลและฉบับพิมพ์ และสามารถเข้าดูและดาวน์โหลดได้ฟรีจากลิงก์ด้านล่าง

https://doi.org/10.61145/TRKP9496

จะมีการอัปเดต APO Productivity Database 2023 ซึ่งเป็นเครื่องมือออนไลน์ที่แสดงข้อมูลการผลิตของ 31 ประเทศในเอเชีย และเกณฑ์มาตรฐานจากกลุ่มเศรษฐกิจหลายกลุ่มทั่วโลกในลิงก์ด้านล่างด้วยเช่นกัน

https://www.apo-tokyo.org/productivitydatabook/

เกี่ยวกับ APO

Asian Productivity Organization (APO) เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่อุทิศตนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่แสวงหาผลประโยชน์ และไม่เลือกปฏิบัติ มีการก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งแปดคน และปัจจุบัน APO ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สปป.ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย เตอร์กิเย และเวียดนาม

APO วางแผนในการกำหนดอนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิกผ่านบริการให้คำปรึกษาด้านนโยบายระดับชาติ โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางความคิด โครงการริเริ่มในการสร้างขีดความสามารถของสถาบัน และการแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มผลผลิต

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53867246/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ติดต่อเพื่อขอรายละเอียด:
Digital Information Unit, APO: pr@apo-tokyo.org;
โทร: +81-3-3830-0411;
เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org.

แหล่งข้อมูล: Asian Productivity Organization

การอภิปรายการค้าอย่างยั่งยืนแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมเพื่อมอบโซลูชันด้านการค้าในการประชุม COP28

Logo

– งานอภิปราย Sustainable Trade Forum จัดขึ้นโดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของ UAE โดยเป็นพันธมิตรกับ Capital.com และ Vinfast

– งานจัดขึ้นพร้อมกันกับงาน Trade Day ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในการประชุม COP28

– การชุมนุมธุรกิจระดับโลกและผู้นำด้านการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ สาธารณูปโภค และอาหาร

อาบูดาบี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ –(BUSINESS WIRE)–5 ธันวาคม 2023

ด้วยการเป็นพันธมิตรกันระหว่างกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมกับบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินระดับโลกอย่าง Capital.com และ VinFast ซึ่งเป็นผู้นำการผลิตยานพาหนะไฟฟ้าของเวียดนาม ได้ร่วมกันจัดการอภิปราย Sustainable Trade Forum ที่การประชุม COP28 ใน Expo City ในดูไบ โดยองค์ประกอบหลักของ Trade Day ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกในการประชุมของพันธมิตรนี้ ได้มีการรวมบริษัทระดับโลกและผู้นำด้านการลงทุนมาไว้ด้วยกันเพื่อร่วมแสดงทัศนคติของภาคเอกชนต่อการค้าระดับโลกและบทบาทในการวางแนวทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสภาพอากาศมากขึ้น

HE Dr. Thani bin Ahmed Al Zeyoudi, UAE Minister of State for Foreign Trade (Photo: AETOSWire)

คุณ HE Dr. Thani bin Ahmed Al Zeyoudi รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผู้รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ (รูปภาพ: AETOSWire)

คุณ HE Dr Thani bin Ahmed Al Zeyoudi รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผู้รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้เปิดงานอภิปรายนี้ ได้เน้นในการสนทนาถึงความสำคัญของการค้าต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก และบทบาทของภาคเอกชนในการมอบโซลูชันที่สามารถสร้างผลกระทบที่สำคัญในระยะยาวได้ ในการอภิปรายยังกล่าวถึงหัวข้อ ‘การเสริมความแข็งแกร่งให้กับความสามารถของกลุ่มบุคคลผู้มีส่วนในระบบห่วงโซ่อุปทาน โดยติดตามเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก’ และ ‘การสนับสนุนธุรกิจสีเขียว: การส่งเสริมระบบนิเวศธุรกิจรายใหม่ที่มุ่งเน้นความยั่งยืน และยังมีกล่าวถึงข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญทั่วทั้งภาคอุตสาหกรรมการขนส่ง ยานยนต์ สาธารณูปโภค และอาหาร  

คุณ HE Al Zeyoudi กล่าวว่า “แม้ผู้วางนโยบายและนักการเมืองจะสามารถวางโครงร่างได้ แต่เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการต้องนำโซลูชันที่มีขนาดเหมาะสมและเป็นจริงได้มาสู่ตลาด โดยการเชื่อมประสานระหว่างผู้วางนโยบายและผู้นำภาคเอกชน ในการอภิปราย Sustainability Trade Forum มุ่งเน้นอย่างชัดเจนไปที่ก้าวอันสำคัญสู่ระบบการค้าที่สะอาด อัจฉริยะ รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม และสามารถเคลื่อนพวกเราให้เข้าใกล้เป้าหมายของ Paris Accords ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด”

ท่านรัฐมนตรียังกล่าวเสริมอีกว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์พัฒนาสู่ World Trade Organization’s 13th Ministerial Conference (MC13) ซึ่งจะจัดขึ้นในอาบูดาบี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่ง Sustainable Trade Forum เป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญสำหรับความคิดเห็นของกลุ่มคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับวิธีการวางแนวทางระบบการค้าระดับโลกที่ทันสมัยที่เปิดกว้าง ครอบคลุม และเท่าเทียม ทั้งยังเป็นวิธีการให้ประเทศสามารถเดินทางไปสู่เป้าหมายการจัดการด้านสภาพอากาศได้อีกด้วย

ทั้งนี้ในระหว่างการอภิปราย คุณ Le Thi Thu Thuy ซีอีโอระดับโลกของ Vinfast ยังได้เน้นย้ำถึงการมีบทบาทชั้นนำของยานยนต์ไฟฟ้าในการสร้างห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน โดยกล่าวว่า “แน่นอนว่า การแทนที่ยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิม ด้วยรถยนต์ EV จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ และยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัดและการใช้แหล่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หากเรามองไปในอนาคตข้างหน้า การผสานรวมของรถยนต์ EV กับห่วงโซ่คุณค่าของโลกจะทำให้มีกลยุทธ์อันทรงพลังในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นขึ้น”

ในส่วนนี้ Kypros Zoumidou, กลุ่มซีอีโอของ Capital.com ได้กล่าวว่า “การมุ่งมุ่นในโครงร่างธุรกิจใหม่ที่นำไปสู่ความยั่งยืนขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ประกอบการในการที่จะเริ่มดำเนินการโครงการโดยเร็วตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แต่ความเร็วและความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสนับสนุนจากนักลงทุนและระบบนิเวศที่เข้มแข็ง ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมธุรกิจ เรายอมรับว่าการร่วมเป็นพันธมิตรที่ชาญฉลาดระหว่างรัฐบาลและภาคธุรกิจสามารถที่จะผลักดันความก้าวหน้านี้ได้จริง”

นอกเหนือจากซีอีโอของ Vinfast และ Capital.com แล้วในการอภิปรายยังได้มีการปราศรัยจากผู้แทนรัฐบาลสกอต ได้แก่ NYU Abu Dhabi, Ducab Group, Uber, Al Dahra Group, IBM Consulting, ADNOC, General Electric, Princeville Capital, Orbillion Bio, Inc., Wamda Group และ Change Foods

ที่มาAETOSWire

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/53866727/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Elisha Dessurne
edessurne@apcoworldwide.com

ที่มา: ระหว่างกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

H2SITE ตั้งค่าให้ระบบสลายแอมโมเนียออนบอร์ดเครื่องแรกสร้างไฮโดรเจนที่มีความบริสุทธิ์สูงควบคู่กับเซลล์เชื้อเพลิง PEM

Logo

  • การขนส่งทางทะเลคิดเป็น 2% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก แอมโมเนียและเมทานอลเป็นตัวนำพาที่มีแนวโน้มสูงที่สุดในการลดการปล่อยคาร์บอน
  • H2SITE มีการผลิตไฮโดรเจนบริสุทธิ์จากแอมโมเนียออนบอร์ด ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การสลายแอมโมเนีย” โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนในตัว เมื่อเชื่อมต่อกับเซลล์เชื้อเพลิง PEM ไฮโดรเจนจะถูกใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าระบบเสริมสำหรับเรือ
  • หลังการพิสูจน์เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนบูรณาการสำหรับการใช้งานทั้งออนบอร์ดและบนบก H2SITE ยังคงขยายขอบเขตครอบคลุมเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มระดับประสิทธิภาพที่สูงยิ่งขึ้น

BILBAO,Spain–(BUSINESS WIRE)–6 ธันวาคม 2023

H2SITE ประสบความสำเร็จในการตรวจสอบเครื่องสลายแอมโมเนียเครื่องแรกในการผลิตไฮโดรเจนที่มีความบริสุทธิ์สูงสำหรับการผลิตไฟฟ้าบนเรือ โดยใช้เซลล์เชื้อเพลิง PEM เครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนบูรณาการได้รับการติดตั้งและใช้งานบนเรือขนส่งสินค้า BERTHA B ซึ่งแล่นไปตามชายฝั่งอ่าวบิสเคย์

H2SITE HAS COMMISSIONED THE FIRST ON-BOARD AMMONIA CRACKING SYSTEM GENERATING HIGH-PURITY HYDROGEN COUPLED WITH PEM FUEL CELL.

H2SITE ตั้งค่าให้ระบบสลายแอมโมเนียออนบอร์ดเครื่องแรกสร้างไฮโดรเจนที่มีความบริสุทธิ์สูงควบคู่กับเซลล์เชื้อเพลิง PEM

การขนส่งทางทะเลมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 2% ของโลก จึงมีการนำเสนอศักยภาพที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการเปลี่ยนจากไฮโดรคาร์บอนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสีเขียว เช่น

การสลายแอมโมเนียกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งในฐานะตัวนำพาไฮโดรเจนที่มีศักยภาพสำหรับการใช้งานออนบอร์ด โดยสามารถใช้งานกับเครื่องยนต์ได้โดยตรง หรือสามารถสลายเป็นไฮโดรเจนและใช้ในเซลล์เชื้อเพลิง ก่อนที่จะใช้งานไฮโดรเจน จะต้องทำไฮโดรเจนให้บริสุทธิ์เสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีแอมโมเนียหลงเหลือ

เครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนของ H2SITE จะช่วยตรวจสอบให้แน่ใจว่า มีการเปลี่ยนรูปแอมโมเนียทั้งหมด ในขณะเดียวกัน ก็มีการถ่ายส่งไฮโดรเจนที่มีความบริสุทธิ์สูงไปยังเซลล์เชื้อเพลิงในขั้นตอนกระบวนการเดียว ในระหว่างการเดินเรือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ H2OCEAN เครื่องสลายของ H2SITE สามารถให้พลังงานขับเคลื่อนบริการเสริมของเรือได้เป็นที่สำเร็จ ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือกันของผู้ดำเนินการหลักที่มีส่วนในการลดระดับคาร์บอนทางทะเล เช่น Zumaia Offshore, Erhardt Offshore, Ajusa, และ TECNALIA พร้อมกับความร่วมมือกับ Enagas และ ABS

เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบเมมเบรนที่เป็นนวัตกรรมของเราไม่เพียงแต่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเท่านั้น แต่ยังลดพื้นที่ในการติดตั้งอีกด้วย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการใช้งานภายในพื้นที่จำกัด เช่น บนเรือ" . to Jose Medrano ผู้อำนวยการด้านเทคนิคของ H2SITE กล่าว “เรามุ่งเน้นในการออกแบบเพื่อลดการใช้แอมโมเนียลงให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญหลักที่จะช่วยให้สามารถป้อนพลังงานเข้าแหล่งจ่ายพลังงานได้สูงขึ้นอย่างเพียงพอ

โครงการนี้นับเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับ H2SITE ในการลดการปล่อยคาร์บอนของการขนส่งทางทะเล

เกี่ยวกับ H2SITE:

H2SITE ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 และมีการพัฒนาเทคโนโลยีพิเศษเฉพาะสำหรับเครื่องปฏิกรณ์และเครื่องแยก โดยอำนวยความสะดวกในการแปลงวัตถุดิบตั้งต้นต่างๆ ให้กลายเป็นไฮโดรเจน รวมถึงแอมโมเนีย เมทานอล หรือก๊าซสังเคราะห์ ตลอดจนการแยกไฮโดรเจนออกจากส่วนผสมของก๊าซที่มีความเข้มข้นต่ำสำหรับการใช้งานในถ้ำเกลือหรือแหล่งไฮโดรเจนทางธรณีวิทยา

ติดต่อ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม:
Andrés Galnares, CEO de H2SITE: andres.galnares@h2site.eu

แหล่งข้อมูล: H2SITE

Elice ลงนามความร่วมมือพิเศษกับ Pluralsight ในเกาหลี ซึ่งเป็นบริษัทด้านการศึกษาไอที B2B ระดับโลกอันดับ 1

Logo

เนื้อหาด้านการศึกษาไอทีระดับโลกซึ่งดำเนินการโดยบริษัทใน FORTUNE 500 เกือบ 70% พร้อมให้บริการแล้วในขณะนี้ในประเทศเกาหลีผ่าน Elice LXP

SEOUL, South Korea–(BUSINESS WIRE)–12 ธันวาคม 2023

Elice Inc. (CEO Kim Jae-won) บริษัทแพลตฟอร์มการฝึกอบรมด้านการศึกษาได้ลงนามความร่วมมือพิเศษกับ Pluralsight ในเกาหลี ซึ่งเป็นบริษัทด้านการศึกษาไอที B2B อันดับ 1 สำหรับเนื้อหาด้านการศึกษา Pluralsight เป็นบริษัทด้านการศึกษาไอที B2B ระดับโลกที่นักพัฒนาทั่วโลกเข้าเรียนรู้ทักษะด้านไอที เช่น SW การเขียนโปรแกรม ระบบคลาวด์ เป็นต้น

ด้วยข้อตกลงนี้ Elice ได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวสำหรับการเผยแพร่เนื้อหาด้านการศึกษาของ Pluralsight ในเกาหลี Elice จะดำเนินการแปลและปรับแต่งเนื้อหาด้านการศึกษาของ Pluralsight เป็นภาษาเกาหลี โดยใช้เทคโนโลยีและบริการ AI อันเป็นเอกลักษณ์โดยใช้ Elice LXP และ Elice Inc. จะยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกันกับ Pluralsight เพื่อขยายธุรกิจไปยังญี่ปุ่น สิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ อีกด้วย

เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ Elice LXP ซึ่งได้รับการปรับให้เหมาะสมเพื่อการศึกษาได้ดึงดูดความสนใจของ Pluralsight เมื่อตัดสินใจร่วมลงนามความร่วมมือ แดชบอร์ด AI ของ Elice LXP สามารถคาดการณ์การจบหลักสูตรตามข้อมูล เช่น ผลการเรียนและรูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อให้มั่นใจว่า ทุกคนจะสำเร็จการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ โดย Elice LXP มีอัตราการจบหลักสูตรโดยเฉลี่ยสูงกว่า 80% และมีจำนวนผู้เข้าเรียนมากกว่า 1 ล้านคน

Pluralsight มีการใช้เครือข่ายผู้สอนที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก เพื่อนำเสนอหลักสูตรที่ดีที่สุดในด้าน SW, ระบบคลาวด์, AI และระบบรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื้อหา SW ขั้นสูง เช่น AWS, MS Azure, GCP เป็นต้น และหลักสูตรการรับรองความเชี่ยวชาญด้านเครือข่ายและความปลอดภัยระดับโลกที่เข้าถึงยากในเกาหลี

Elice Inc. ได้เปิดตัวเนื้อหาด้านการศึกษาเกี่ยวกับระบบคลาวด์ ระบบรักษาความปลอดภัย การรับรอง เป็นต้น ใน Elcademy ซึ่งเป็นแบรนด์ด้านการศึกษาระบบ AI เชิงปฏิบัติจอง Elice ซึ่งสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมล่าสุด

เกี่ยวกับ Elice Inc.

Elice Inc. ก่อตั้งขึ้นในปี  2015 โดยเป็นบริษัทแพลตฟอร์ม AI Edtech ซึ่งใช้สภาพแวดล้อมการเขียนโค้ดเสมือนจริงสำหรับการศึกษา และให้บริการโซลูชันการฝึกอบรมแบบปรับแต่งตามความต้องการด้วย Elice LXP ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการฝึกอบรมด้านการศึกษาแห่งแรกในเกาหลีที่ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อการศึกษา โดยมีการนำเสนอการฝึกอบรม DX แบบปรับแต่งได้สำหรับลูกค้า 1,100 ราย รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ มหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และสถาบันสาธารณะ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Elice Inc.
Yang Eunyoung
eyyang@elicer.com

แหล่งข้อมูล: Elice Inc.

The Bangkok Reporter