Mary Kay ขยายธุรกิจไปยังประเทศคีร์กีซสถาน ยกระดับความงาม และสร้างเสริมพลังให้กับผู้คนทั่วโลก

Logo

DALLAS–(BUSINESS WIRE)–20 กันยายน 2024

Mary Kay Inc. ผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง มีความภูมิใจที่จะประกาศการขยายธุรกิจสู่ประเทศคีร์กีซสถาน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การเติบโตระดับนานาชาติที่มีการดำเนินการอยู่ การพัฒนาที่น่าตื่นเต้นนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Mary Kay ที่จะเสริมสร้างพลังให้ผู้หญิงและจัดหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและความงามคุณภาพสูงอย่างสร้างสรรค์สู่ทั่วโลก

Mary Kay’s expansion into Kyrgyzstan marks another step forward in the company’s mission to enrich women’s lives around the world, offering top-tier beauty products and unparalleled business opportunities. (Photo: Mary Kay Inc.)

การขยายธุรกิจของ Mary Kay ไปยังประเทศคีร์กีซสถานถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในพันธกิจของบริษัท เพื่อเสริมสร้างชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ความงามชั้นยอดและโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีใครเทียบ (ภาพถ่าย: Mary Kay Inc.)

ตลาดความงามและการดูแลส่วนบุคคลกำลังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ โดยปริมาณการขายในหมวดหมู่เหล่านี้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าตลาดความงามจะมีมูลค่า 580,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027 โดยการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 6 เปอร์เซนต์ต่อปี 1 ในขณะที่ขนาดของตลาดขายตรงคาดว่าจะสูงถึง 286,700 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 20282 การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้เกิดจากการที่มีผู้คนมากมายหันมาเป็นผู้ประกอบการและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจที่ยืดหยุ่นและคุ้มค่า เมื่อตระหนักถึงแนวโน้มขาขึ้นนี้ Mary Kay จึงขยายธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ไปสู่ประเทศคีร์กีซสถานเพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ความงามระดับพรีเมียม และเพิ่มโอกาสสำหรับผู้ประกอบการในประเทศ

“ฉันมั่นใจว่า การขยายธุรกิจของเราไปยังประเทศคีร์กีซสถานจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงเป็นจำนวนนับไม่ถ้ววน และช่วยให้พวกเขาสามารถค้นพบพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลของ Mary Kay และเสริมสร้างตำแหน่งของเราในฐานะแบรนด์ขายตรงอันดับ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางในโลก 3Tara Eustace ประธาน Mary Kay ประจำภูมิภาคยุโรป กล่าว “Mary Kay Ash มักพูดเสมอว่า เราไม่ได้เพียงจำหน่ายเครื่องสำอางเท่านั้น แต่เรายังเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตด้วย ความเชื่อนี้เป็นหัวใจสำคัญของทุกสิ่งที่เราทำ และฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลที่เรามีต่อผู้หญิงในประเทศคีร์กีซสถาน”

การดำเนินงานของ Mary Kay Kazakhstan มีการบริหารจัดการจากสำนักงาน Mary Kay Kazakhstan ที่เมือง Almaty เพื่อให้แน่ใจว่า การบูรณาการและการสนับสนุนตลาดใหม่จะเป็นไปด้วยความราบรื่น Konstantin Kulinitch ผู้จัดการทั่วไปของ Mary Kay Kazakhstan แบ่งปันความกระตือรือร้นของเขาว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ขยายการดำเนินงานของเราไปยังประเทศคีร์กีซสถาน ซึ่งเรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตอย่างมหาศาล ทีมงานของเราที่ Almaty มีความมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนที่ดีที่สุดแก่ที่ปรึกษาความงามอิสระของเราในประเทศคีร์กีซสถาน เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจ และบรรลุความฝันของพวกเขา”

เพื่อเฉลิมฉลองการขยายตัวครั้งสำคัญนี้ Mary Kay ได้จัดงานกิจกรรมต่างๆ ขึ้นที่ Bishkek เมืองหลวงของประเทศคีร์กีซสถาน โดยมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง และน้ำหอมอันเลื่องชื่อของแบรนด์ให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงโอกาสทางธุรกิจที่ไม่เหมือนใครที่ Mary Kay นำเสนอ จะช่วยให้บุคคลต่างๆ สามารถควบคุมอนาคตของตัวเองได้

การขยายธุรกิจของ Mary Kay ไปยังประเทศคีร์กีซสถานถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในพันธกิจของบริษัท เพื่อเสริมสร้างชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ความงามชั้นยอดและโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีใครเทียบ

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานระดับโลก ความเป็นผู้นำ พันธกิจ และความมุ่งมั่นของ Mary Kay ในการเสริมสร้างชีวิตของผู้หญิง โปรดไปที่ www.marykayglobal.com

เกี่ยวกับ Mary Kay

ก่อนหน้านี้ เดี๋ยวนี้ และตลอดไป Mary Kay Ash ผู้ก่อตั้งแบรนด์ความงามตามความฝันของเธอในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานขึ้นเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลา 60 ปีแล้วที่โอกาสจาก Mary Kay ได้ส่งเสริมให้ผู้หญิงสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริม และน้ำหอมที่ล้ำสมัย Mary Kay เชื่อมั่นในการอนุรักษ์โลกของเราไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการล่วงละเมิดในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนเดินตามความฝัน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com ค้นหาเราได้ที่ FacebookInstagram และ LinkedIn หรือติดตามเราได้ที่ X (formerly Twitter)

_______________________
1 McKinsey and Company. (May 22, 2023). The beauty market in 2023: A special State of Fashion report 
2 Grand View Research, Inc. (July 11, 2022). Direct Selling Market Size Worth $286.7 Billion by 2028 
3 “Source Euromonitor International Limited; Beauty and Personal Care 2024 Edition, value sales at RSP, 2023 data”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/54124254/en

ติดต่อ

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom 
972.687.5332 or media@mkcorp.com

แหล่งข้อมูล: Mary Kay Inc.

มูลนิธิ DFINITY ลงนามในหนังสือแสดงเจตจํานงกับกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของกัมพูชา

Logo

ความร่วมมือจะสํารวจการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สําคัญ

สิงคโปร์ –(BUSINESS WIRE)–19 กันยายน 2024

มูลนิธิ DFINITY  องค์กรไม่แสวงหากําไรของสวิสที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และนักเข้ารหัสชั้นนํา และผู้สนับสนุนหลักด้าน Internet Computer Blockchain (ICP) และกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของกัมพูชา (MISTI) ประกาศความสําเร็จในการลงนามในหนังสือแสดงเจตจํานง (LOI) ในช่วง Singapore Blockchain Week ความร่วมมือที่กําลังจะมีขึ้น ซึ่งจะรวมถึงการวิจัย การฝึกอบรม และการสนับสนุนระบบนิเวศของผู้ประกอบการ มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับสถานะของกัมพูชาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยีบล็อกเชน AI และเทคโนโลยีคลาวด์อธิปไตย

ความร่วมมือนี้จะมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีคลาวด์อธิปไตย โดยจะสํารวจการใช้งานจริงสําหรับโครงสร้างพื้นฐานของเมืองอัจฉริยะ รวมถึงความโปร่งใส ความสามารถในการปรับขนาด และความปลอดภัยผ่านโซลูชันบล็อกเชนแบบกระจายอํานาจของ ICP ความพยายามในการทํางานร่วมกันหลายแง่มุมนี้ยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานในกัมพูชา ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในระดับโลกและระดับท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมโครงการวิจัยและนวัตกรรมร่วมกัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีบล็อกเชนชั้นนําของโลก

H.E. Dr. Try Sophal อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับมูลนิธิ DFINITY ซึ่งถือเป็นก้าวสําคัญในเส้นทางสู่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีของกัมพูชา ด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติของเรา เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาโซลูชันที่ปลอดภัย โปร่งใส และปรับขนาดได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเร่งให้เกิดเมืองอัจฉริยะของเราเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลในวงกว้างอีกด้วย ความร่วมมือนี้จะสร้างโอกาสใหม่ๆ สําหรับการวิจัย นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และการเติบโตของผู้ประกอบการ โดยส่งเสริมระบบนิเวศที่กัมพูชาสามารถเติบโตในฐานะผู้นําระดับภูมิภาคในด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านบล็อกเชนและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความร่วมมือนี้ เราไม่เพียงแต่มองเห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาภูมิทัศน์ดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถให้กับเศรษฐกิจและสังคมของเราในอีกหลายปีข้างหน้าด้วย”

Dominic Williams ผู้ก่อตั้งและหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ DFINITY กล่าวถึงความสําคัญของจดหมายแสดงเจตจํานงว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจที่ได้พัฒนาความร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชาที่มีแนวคิดก้าวหน้า Internet Computer และเทคโนโลยี ICP โดยทั่วไปจะมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของกัมพูชา แพลตฟอร์ม ICP โฮสต์เว็บแอปพลิเคชัน ระบบสารสนเทศ และโมเดล AI ที่มีภูมิคุ้มกันต่อการโจมตีทางไซเบอร์ และไม่สามารถขัดข้องได้ และสิ่งนี้จะช่วยให้กัมพูชาบรรลุภารกิจในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ปลอดภัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนของพวกเขาในฐานะผู้นําระดับภูมิภาคด้านการนําเทคโนโลยีที่มีแนวคิดก้าวหน้ามาใช้”

LOI กับกัมพูชาเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของ DFINITY ในการสนับสนุนนวัตกรรมและการแบ่งปันความรู้กับรัฐบาล หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเกี่ยวกับศักยภาพของเทคโนโลยีคลาวด์อธิปไตย เพื่อรับรองอธิปไตยของข้อมูล นอกจากนี้ DFINITY ยังมุ่งเน้นไปที่การมีส่วนร่วมกับผู้ประกอบการและองค์กรที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เกี่ยวกับกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของกัมพูชา

กระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (MISTI) เป็นหน่วยงานรัฐบาลที่สําคัญในกัมพูชา ซึ่งมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของประเทศ และขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกภาคส่วน ภารกิจของ MISTI คือการวางตําแหน่งกัมพูชาให้เป็นผู้นําระดับภูมิภาคในด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ รวมถึงบล็อกเชน AI และคลาวด์อธิปไตย โดยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันภาครัฐ องค์กรเอกชน และพันธมิตรระดับโลก ผ่านความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์และโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถ MISTI มุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนซึ่งสนับสนุนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการพัฒนาเศรษฐกิจ

https://www.misti.gov.kh/en/about-ministry

เกี่ยวกับมูลนิธิ DFINITY

มูลนิธิ DFINITY ก่อตั้งขึ้นในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2016 นับตั้งแต่นั้นมา มูลนิธิได้กลายเป็นผู้ว่าจ้างด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนรายใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และภูมิภาค DACH โดยมีบุคลากรที่มีความสามารถจากองค์กรทั้งในและต่างประเทศ เช่น IBM Research, Google Research, Meta เป็นต้น มูลนิธิ DFINITY เป็นผู้สร้างและผู้สนับสนุนหลักของ Internet Computer ซึ่งเป็นบล็อกเชนรุ่นที่สามที่ขยายการทํางานของอินเทอร์เน็ตจากเครือข่ายที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ทั่วโลกไปยังแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ที่โฮสต์ระบบและบริการโดยตรงบนบล็อกเชน

https://dfinity.org/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

DFINITY@CW8-Communications.com

ที่มา: มูลนิธิ DFINITY

NIQ มีการเปิดตัวเครื่องมือ AI ใหม่ล่าสุดสำหรับแบรนด์ CPG ที่งาน FastCompany Innovation Festival 2024 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเชิงลึกฝีมือมนุษย์แต่ด้วยความเร็วของ AI

Logo

แนะนำโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของ CPG โมเดลแรกของโลก รวมถึง BASES AI ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้จริงเพื่อสร้างกลุ่มผู้บริโภคจำลองสำหรับการทดสอบแนวคิด

โมเดลภาษาใหม่มีการทำงานอัตโนมัติที่ดีกว่าโมเดลสาธารณะกว่า 7 เท่า สามารถระบุหา จัดระเบียบ และจัดประเภทผลิตภัณฑ์ซึ่งฝึกโดยใช้ข้อมูลขนาด 160 เพตะไบต์

BASES AI จะสร้างกลุ่มผู้บริโภคสำหรับสำรวจจำลองขึ้นมาซึ่งใช้ทดสอบและเปรียบเทียบไอเดียโดยใช้เวลาและค่าใช้จ่ายเพียงน้อยนิด

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2024

NielsenIQ (NIQ) บริษัทข้อมูลข่าวกรองของผู้บริโภคชั้นนำระดับโลก ได้ประกาศการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่สองอย่างเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ซึ่งจะยิ่งแสดงให้เห็นว่า NIQ เป็นบริษัทชั้นนำที่แท้จริง BASES AI และโมเดลภาษาขนาดใหญ่โมเดลแรกของอุตสาหกรรม CPG จะช่วยให้ลูกค้า NIQ สามารถใช้พลังของ AI อย่างมีความรับผิดชอบเพื่อกระตุ้นสร้างนวัตกรรมและขยายส่วนแบ่งตลาดได้ นอกจากนี้ NIQ จะพูดคุยเรื่องแนวโน้ม AI เกี่ยวกับข้อมูลข่าวกรองการซื้อสินค้าของผู้บริโภคและนวัตกรรมที่เวทีงานในวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน เวลา 14:20 ET หัวข้อชื่อ “AI รู้ว่าเราต้องการอะไรจริงหรือไม่ เหตุผลที่ผู้ตอบแบบสอบถามจำลองเป็นตัวขัดขวางการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์

BASES AI เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตจากผู้บริโภคเกี่ยวกับรูปแบบการบริโภคของครัวเรือนกว่าแสนครัวเรือนเพื่อนำมาเลียนแบบพฤติกรรมของผู้บริโภค แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ ช่วยให้สามารถสร้างกลุ่มผู้บริโภคจำลองที่ตอบแบบสอบถามเพื่อลองใช้เทคนิคและวิธีการการวิจัยด้านตลาดที่เป็นผู้คนวางใจได้โดยใช้เวลาเพียงน้อยนิด BASES AI สามารถมอบการวิเคราะห์ศักยภาพแนวคิดได้ภายใน 10 นาทีเท่านั้น แทนที่จะใช้เวลาเป็นวันหรือสัปดาห์เพื่อรวบรวมข้อมูลความเห็นจากมนุษย์ ซึ่งบริษัทเครือ CPG สามารถใช้คะแนนเหล่านี้ รวมถึงคำแนะนำที่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับปัจจัยกระตุ้นความสนใจและความเป็นเอกลักษณ์เพื่อที่จะทำการปรับเปลี่ยนไอเดียก่อนที่จะนำไปผ่านการทดสอบกับผู้บริโภคที่เป็นมนุษย์จริง การที่ BASES AI มีความเร็วและคุณภาพนั้นทำให้สามารถประเมินไอเดียจำนวนมหาศาลได้ขณะที่ยังสามารถร่นระยะเวลาโดยรวมของนวัตกรรมไปด้วยได้ สิ่งที่มาคู่กับการเปิดตัว BASES AI ให้ผู้ทดสอบใช้งานเบต้าได้ใช้งานในอเมริกาเหนือนั้น คือการเปิดตัวโมเดลภาษาของ NIQ ที่เจาะจงสำหรับ CPG โมเดลแรก ซึ่งช่วยขับเคลื่อนความสามารถด้านการแบ่งส่วนผลิตภัณฑ์ขั้นสูงของ Discover ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการวัดผลการค้าปลีกระดับเรือธงของ NIQ เนื่องจากมีการใช้ฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์กว่า 160 ล้านรายการของ NIQ ทำให้โมเดลมีประสิทธิภาพมากกว่าโมเดล LLM สาธารณะกว่า 7 ในเรื่องความสามารถในการสร้างรหัสรายการสินค้าอย่างรวดเร็วและแม่นยำ และเนื่องจากสามารถใช้ตัวเร่งใหม่ๆ ได้ โมเดลจะสามารถพัฒนาเรื่องความสามารถและความซับซ้อนขึ้นได้ตลอด ช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถใช้ Full View™ กับตลาดและผู้บริโภคของตัวเองได้โดยอิงจากข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพกว่าโมเดลอื่น

“ในฐานะที่อยู่ในแวดวงข้อมูลข่าวกรองของผู้บริโภค เราก็ได้ปลดล็อกข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ที่สำคัญต่อภารกิจของเราครับ” กล่าวโดย Ramon Melgarejo ประธานฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์และข้อมูลเชิงลึกที่ NIQ “ในสภาพแวดล้อมที่ดำเนินอย่างรวดเร็ว ตลาดผู้บริโภคจะเน้นไปที่นวัตกรรมที่อิงจากแนวโน้ม ข้อมูลที่มีคุณภาพสูงจะเป็นสิ่งที่สำคัญ และความสามารถในการใช้ประโยชน์และการดึงข้อมูลเชิงลึกจากข้อมูลเหล่านั้นจะสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก การเปิดตัวเหล่านี้เป็นตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าการใช้งานขุมพลังวิเคราะห์ของเราในชุดข้อมูลชั้นนำในตลาดเพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพกว่าโมเดลอื่นที่จะช่วยบริษัทเครือ CPG ได้มีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก”

ชุดผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ NIQ มีพลังฝีมือของวิศวกรกว่า 2,000 คนโดยเน้นไปที่การวิเคราะห์การใช้จ่ายของผู้บริโภคมูลค่ากว่า 7.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงข้อมูลจากบริษัทพาร์ทเนอร์ด้านการขายปลีกกว่า 3,200 รายที่ไม่ซ้ำกัน ด้วยชุดแหล่งข้อมูลมหาศาลที่ครอบคลุมหลายประเทศและเหล่านักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่มุ่งเน้นพัฒนาโซลูชันข้อมูลข่าวกรองธุรกิจพลัง AI ที่มีความรับผิดชอบเหมาะสมนี้ ทำให้ NIQ คงสถานะเป็นผู้นำในตลาดในเรื่องการสร้าง รักษา และกระตุ้นการมีส่วนแบ่งตลาดใหม่ๆ ให้กับลูกค้า

BASES AI และโมเดลภาษา CPG ของ NIQ เป็นโซลูชันพลัง AI ล่าสุดในหมู่ชุดผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มากมายของ NIQ เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทได้ประกาศการผสานรวมข้อมูลกลุ่มผู้บริโภคและการวัดผลการค้าปลีกใน แพลตฟอร์ม NIQ Discover ซึ่งเป็นการพลิกโฉมภูมิทัศน์ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคผ่านการใช้โมเดลวิเคราะห์ขั้นสูงและความสามารถที่ทำงานตลอดเวลาที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่ปรับแต่งได้แก่ลูกค้าหากลูกค้ามีคำขอที่สำคัญต่อภารกิจของตน แพลตฟอร์มบนคลาวด์เป็นหนึ่งในเครื่องมือพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งมีทั้งการผสานรวมตลาด Microsoft Azure, การทำงานร่วมร้านค้า Tik Tok และการบริการ NIQ Spacemanสำหรับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง SPAR International การประกาศทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเนื่องจากบริษัทมีการใช้เครื่องมือ Generative AI (AI ช่วยสร้าง) ที่มีคุณสมบัติการค้นหาทั่วโลก การวิเคราะห์ข้อมูลแบบปรับให้เหมาะสำหรับแต่ละคน และการแนะนำเพื่อให้มีการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ซึ่งก็คือ NIQ Ask Arthur ที่ได้เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้

“พลังขับเคลื่อนให้สร้างนวัตกรรมและเป็นเลิศนั้นอยู่ในสายเลือดของ NIQ มานานนับศตวรรษแล้ว” กล่าวเพิ่มเติมโดย Mohit Kapoor ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีที่ NIQ “การผสานรวม GfK ที่ดำเนินไปได้อย่างสำเร็จของเราได้สร้างลูกค้ากว่า 25,000 รายแก่บริษัท โดยที่มีการวิเคราะห์ธุรกรรมกว่า 2.48 ล้านล้านรายการต่อสัปดาห์ ความสามารถพิเศษของ NIQ ในการมอบ Full View™ ซึ่งให้มุมมองพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่สมบูรณ์และชัดเจนที่สุดในโลกโดยใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์พลัง AI ทำให้เราสามารถทำการทดลองกับพารามิเตอร์จำนวนมากขึ้นไปอีกได้ ใช้วิธีที่ไม่เหมือนที่ใดในการเตรียมความพร้อมให้เราสามารถคว้าโอกาสในตลาดในอีก 100 ปีข้างหน้า”

นอกจากนี้ NIQ ยังให้ข้อมูลที่ไม่ซ้ำแหล่งใดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ตามแนวโน้มของผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมออีกด้วย ซึ่งรวมถึงรายงาน SpendZ ของบริษัทที่เป็นการแจกแจงข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่ายของคนกลุ่ม Gen Z และรายงานแนวโน้มผู้บริโภคที่ออกเป็นประจำซึ่งมีการวิเคราะห์แนวโน้ม พฤติกรรม และความรู้สึก

เกี่ยวกับ NIQ
NielsenIQ (NIQ) เป็นบริษัทข้อมูลข่าวกรองของผู้บริโภคชั้นนำของโลก ผู้ให้บริการข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคอันมาจากความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ที่สุด และช่วยเบิกทางใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจ NIQ ได้รวมทำกิจการกับ GfK ในปี 2023 ทำให้กลายเป็นบริษัทผู้นำอุตสาหกรรมที่สามารถเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือกว่า ในปัจจุบันนี้ NIQ ดำเนินการในมากกว่า 95 ประเทศครอบคลุม GDP ในอัตรา 97% NIQ อ่านค่าด้านการค้าปลีกและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ละเอียดที่สุด ซึ่งส่งมอบโดยใช้ระบบวิเคราะห์ขั้นสูงในแพลตฟอร์มที่ล้ำสมัยอย่าง Full View™

หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่www.niq.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สื่อ:
Sweta Patra
sweta.patra@nielseniq.com

แหล่งที่มา: NielsenIQ

Medidata ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำในการประเมิน PEAK Matrix® ด้านการเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรกของ Everest Group

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 กันยายน 2024

Medidata ซึ่งเป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes และเป็นผู้ให้บริการโซลูชันการทดลองทางการแพทย์ชั้นนำในอุตสาหกรรมชีวการแพทย์ ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำในการประเมิน PEAK Matrix® ของกลุ่ม Everest Group สำหรับการจับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ในด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพเป็นครั้งแรก

รายงานซึ่งประเมินผู้ให้บริการ 20 รายได้เน้น Medidata Rave EDC สำหรับการบูรณาการที่ไร้รอยต่อกับอุปกรณ์สวมใส่ เซ็นเซอร์ และ EHRs รวมถึงความสามารถขั้นสูงในการตรวจสอบข้อมูลต้นทาง การจัดการข้อซักถามที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการจัดการเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ Rave EDC ได้รับการยกย่องสำหรับการออกแบบที่ใช้งานง่ายและลดการเขียนโค้ด ทำให้การปรับปรุงโปรโตคอลเป็นไปอย่างรวดเร็วและการสร้างแบบฟอร์มรายงานกรณีอิเล็กทรอนิกส์ (eCRFs) เป็นเรื่องง่าย พร้อมกับรักษาคุณภาพและความถูกต้องของข้อมูลสำหรับผู้สนับสนุนการทดลองทางการแพทย์ด้วย

“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำในด้าน EDC โดยกลุ่ม Everest” Anthony Costello ซีอีโอของ Medidata กล่าว “Rave EDC ซึ่งเป็นมาตรฐานทองคำในอุตสาหกรรม ได้เป็นผู้นำในการจับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ด้วยภูมิทัศน์ด้านการดูแลสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราจึงยังคงมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการทดลองแบบกระจายศูนย์ ทำให้ผู้สนับสนุนสามารถใช้ข้อมูลเรียลไทม์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและประสิทธิภาพในการพัฒนาการรักษาที่สามารถช่วยชีวิตได้”

รายงานของกลุ่ม Everest เน้นถึงการมีอยู่ของแบรนด์ Medidata ที่แข็งแกร่งในกลุ่มบริษัทเภสัชกรรมขนาดใหญ่และขนาดกลาง รวมถึงความร่วมมือที่กว้างขวางกับองค์กรที่ให้บริการวิจัยทางการแพทย์ (CROs) และผู้ให้บริการเทคโนโลยีการทดลองทางคลินิก การรับรองนี้ช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของ Medidata ในการขับเคลื่อนอนาคตของการทดลองทางการแพทย์ดิจิทัล

ไปที่ เว็บไซต์ ของเราเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata สนับสนุนการรักษาที่ชาญฉลาดและสุขภาพที่ดีขึ้นผ่านโซลูชันดิจิทัลที่สนับสนุนการทดลองทางคลินิก ฉลองครบรอบ 25 ปีของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำในการทดลองมากกว่า 34,000 รายการและผู้ป่วย 10 ล้านคน Medidata เสนอความเชี่ยวชาญชั้นนำในอุตสาหกรรม ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ และชุดข้อมูลทางคลินิกระดับผู้ป่วยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านคนจากลูกค้าประมาณ 2,200 รายไว้วางใจแพลตฟอร์มที่ไร้รอยต่อและครบวงจรของ Medidata เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วย เร่งการค้นพบทางคลินิก และนำการบำบัดเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น Medidata เป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes brand (Euronext Paris: FR0014003TT8, DSY.PA) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก และได้รับการยกย่องเป็นผู้นำโดยกลุ่ม Everest และ IDC ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามเราได้ที่ @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับความก้าวหน้าของมนุษย์ เราจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่ร่วมมือกันให้กับธุรกิจและผู้คนเพื่อจินตนาการถึงนวัตกรรมที่ยั่งยืน โดยการสร้างประสบการณ์เสมือนจริงของโลกจริงผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน 3DEXPERIENCE ของเรา ลูกค้าของเราสามารถนิยามกระบวนการสร้าง การผลิต และการจัดการวงจรชีวิตของข้อเสนอของพวกเขาใหม่ และมีผลกระทบที่มีความหมายในการทำให้โลกยั่งยืนมากขึ้น ความสวยงามของเศรษฐกิจประสบการณ์คือการที่มันเป็นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นมนุษย์เพื่อประโยชน์ของทุกคน ทั้งผู้บริโภค ผู้ป่วย และพลเมืองทั่วไป Dassault Systèmes นำคุณค่าให้กับลูกค้ามากกว่า 350,000 รายจากทุกขนาดในทุกอุตสาหกรรม มากกว่า 150 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม www.3ds.com

© Dassault Systèmes สงวนลิขสิทธิ์ 3DEXPERIENCE, โลโก้ 3DS, ไอคอนเข็มทิศ, IFWE, 3DEXCITE, 3DVIA, BIOVIA, CATIA, CENTRIC PLM, DELMIA, ENOVIA, GEOVIA, MEDIDATA, NETVIBES, OUTSCALE, SIMULIA และ SOLIDWORKS เป็นเครื่องหมายการค้าเชิงพาณิชย์หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Dassault Systèmes บริษัทจากยุโรป (Societas Europaea) ที่จดทะเบียนตามกฎหมายฝรั่งเศส และจดทะเบียนกับทะเบียนการค้าและบริษัทของ Versailles ภายใต้หมายเลข 322 306 440 หรือบริษัทในเครือของบริษัทในสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดเป็นของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง การใช้เครื่องหมายการค้าของ Dassault Systèmes หรือบริษัทในเครือต้องได้รับการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัทเท่านั้น

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ประชาสัมพันธ์ Medidata
Medidata.PR@3ds.com

นักวิเคราะห์สัมพันธ์
medidata.AR@3ds.com

ที่มา: Medidata

SMART Modular Technologies เปิดตัวแฟลชไดรฟ์หน่วยความจำพร้อมระบบการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) สำหรับแอปพลิเคชันใช้งานจากระยะไกล

Logo

เทคโนโลยีการลดปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) จะช่วยให้สามารถลดต้นทุนการบริการได้เป็นอย่างมากในแอปพลิเคชันเครือข่าย โทรคมนาคม และเอดจ์เซิร์ฟเวอร์ที่มีความต้องการสูง

NEWARK, Calif.–(BUSINESS WIRE)–17 กันยายน 2024

SMART Modular Technologies, Inc. (“SMART”) ซึ่งเป็นภาคส่วนใน SGH (Nasdaq: SGH) และเป็นผู้นำระดับโลกในด้านโซลูชันหน่วยความจำ โซลิดสเตตไดรฟ์ และหน่วยความจำขั้นสูง ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เพื่อการลดผลกระทบด้านลบสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) ในระบบที่ใช้หน่วยความจำแฟลชที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง ผลิตภัณฑ์ MP3000 NVMe SSD ของ SMART Modular พร้อมระบบการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) จะช่วยลดอัตราความล้มเหลวต่อปีที่สูงถึง 17.5k/Mu (ล้านหน่วย) ลงเหลือน้อยกว่า 10/Mu และสามารถประหยัดต้นทุนการบริการที่อาจเกิดขึ้นได้หลายแสนเหรียญสหรัฐ โดยการรับประกันเวลาใช้งานโดยไม่มีการหยุดชะงักได้หลายร้อยชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการปรับใช้งานแบบระยะไกลที่ยากในการซ่อมแซม

SMART’s MP3000 PCIe/NVMe and ME2 SATA product portfolios include SEU mitigation technology to protect against system failures in the field. (Photo: Business Wire)

กลุ่มผลิตภัณฑ์ MP3000 PCIe/NVMe และ ME2 SATA ของ SMART รวมถึงเทคโนโลยีการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) เพื่อปกป้องระบบเกิดความล้มเหลวในการดำเนินการ (ภาพถ่าย: Business Wire)

“ไดรฟ์บูต SATA และ PCIe ซึ่งเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมของเราสามารถช่วยลดอัตราความล้มเหลวต่อไปได้สูงถึง 99.7% โดยการกู้คืนข้อมูลจากข้อผิดพลาดเล็กน้อยเนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว” Satya Iyer รองประธานฝ่ายหน่วยความจำพิเศษของ SMART กล่าว “ในแอปพลิเคชันเครือข่ายและโทรคมนาคมในสถานที่ห่างไกลและยากในการเข้าถึงบริการ การแก้ไขปัญหาสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) และความสามารถในการกู้คืนข้อมูลจากข้อผิดพลาดเล็กน้อยสามารถสร้างความแตกต่างสำหรับระบบที่มีความต้องการสูงและต้องพร้อมใช้งานตลอดเวลา 24/7 ทุกวัน”

SEU เป็นการเปลี่ยนแปลง “สถานะบิต” ที่เกิดขึ้นในระบบดิจิทัล เมื่อนิวตรอนพลังงานสูง หรืออนุภาคอัลฟ่า เข้าโจมตีแบบสุ่มและทำให้บิตในหน่วยความจำ ซึ่งเป็นส่วนประกอบทางตระกะ พลิกเปลี่ยนสถานะ โดยอนุภาคพลังงานสูงเหล่านี้สามารถก่อกำเนิดจากพื้นดินหรือนอกโลก เช่น รังสีคอสมิก SEU สามารถนำไปสู่การทำงานที่ผิดปกติของระบบดิจิทัลหรือทำให้ระบบทั้งหมดล้มเหลว ความสามารถในการจัดการกับข้อผิดพลาดหรือความขัดข้องเหล่านี้ภายใน SSD จะช่วยให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นค้องรีบูตทั้งระบบ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินงานที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดชะงัก

เทคโนโลยีการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (SEU) นั้นเหนือกว่าโซลูชันอื่นๆ ที่ ECC สำหรับ SRAM ภายใน ด้วยความสามารถในการรีบูตตัวเองโดยไม่ต้องรีบูตระบบโฮสต์ SSD ยังสามารถรับมือกับบิตที่เปลี่ยนแปลงในส่วนประกอบอื่นๆ ภายใน SSD ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดความล้มเหลวได้เพิ่มเติม 10% โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบมาสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการเวลาพร้อมใช้งานสูงสุด ไดร์ฟบูตพร้อมการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหล่านี้มาพร้อมความจุในการจัดเก็บข้อมูลตั้งแต่ 60GB ถึง 1.92TB และมีพร้อมจำหน่ายในเกรดอุณหภูมิเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม

ไดร์ฟ ME2 SATA M.2 และ mSATA พร้อมการแก้ไขปัญหา SEU มาพร้อมความจุในการจัดเก็บข้อมูลขนาด 60GB ถึง 1.92TB และพร้อมจำหน่ายในเกรดเชิงพาณิชย์ (อุณหภูมิการทำงาน: 0 ถึง 70°C) และเกรดอุตสาหกรรม (อุณหภูมิการทำงาน: -40 ถึง 85°C) M.2 2280 ยังรองรับการป้องกันข้อมูลสูญเสียพลังงาน SafeDATA™

ไดรฟ์ MP3000 NVMe PCIe พร้อมการแก้ไขปัญหา SEU มาพร้อมความจุในการจัดเก็บข้อมูลขนาด 80GB ถึง 1.92TB ในรุ่นแฟคเตอร์ M.2 2280, M.2 22110 และ E1.S และพร้อมจำหน่ายในเกรดอุณหภูมิเชิงพาณิชย์ (อุณหภูมิการทำงาน: 0 ถึง 70°C) และเกรดอุณหภูมิอุตสาหกรรม (อุณหภูมิการทำงาน: -40 ถึง 85°C) รวมถึงการรองรับการป้องกันข้อมูลสูญเสียพลังงาน SafeDATA™ ด้วยเช่นกัน สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ของ SMART

รูปแบบตัวหนังสือ “S” และ “SMART” รวมถึง “SMART Modular Technologies” เป็นเครื่องหมายการค้าและ/หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ SMART Modular Technologies, Inc. เครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนอื่นๆ ทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับ SMART Modular Technologies, Inc.

เป็นเวลากว่า 30 ปีมาแล้วที่ SMART Modular Technologies ได้ช่วยเหลือลูกค้าทั่วโลกในการคงความสามารถการปฏิบัติงานด้านการประมวลผลที่สูงผ่านการออกแบบ การพัฒนา และบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับโซลูชันหน่วยความจำแบบพิเศษ ผลงานที่โดดเด่นของเราครอบคลุมทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยในปัจจุบันไปจนถึงผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลแฟลชและ DRAM แบบมาตรฐานและรุ่นเก่า โดยเรามีการนำเสนอโซลูชันหน่วยความจำและการจัดเก็บข้อมูลมาตรฐาน ทนทาน และปรับตามความต้องการเฉพาะ เพื่อตอบสนองความต้องการของแอปพลิเคชันที่หลากหลายในตลาดที่มีการขยายตัวสูง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/54122695/en

ติดต่อ

ผู้ติดต่อฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์
Ed Cuellar
SMART Modular Technologies
Director, Flash Product Marketing
39870 Eureka Dr., Newark, CA 94583
ed.cuellar@smartm.com

ติดต่อฝ่ายสื่อ
John Crook
SMART Modular Technologies
Marketing Communications
+1 (510) 474 8326
john.crook@smartm.com

Maureen O’Leary
SGH/Penguin Solutions
Director, Communications
+1 (602) 330-6846
pr@sghcorp.com

แหล่งข้อมูล: SMART Modular Technologies, Inc.

MidOcean Energy ของ EIG จะซื้อกรรมสิทธิ์ Peru LNG เพิ่มเติม 15% จาก Hunt Oil Company

Logo

Aramco นักลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ MidOcean จัดหาเงินทุนเพื่อการลงทุน

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2024

MidOcean Energy (“MidOcean” หรือ “บริษัท”), บริษัทก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก และ Hunt Oil Company (“Hunt”) ประกาศในวันนี้ว่าพวกเขาได้ทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายโดย MidOcean จะกรรมสิทธิ์ Peru LNG (“PLNG”) เพิ่มเติม 15% จาก Hunt

หลังจากปิดธุรกรรม กรรมสิทธิ์ PLNG ของ MidOcean จะเพิ่มขึ้นจาก จะเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 35% Aramco มีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบสถานะทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ที่สำคัญ ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักในการอนุมัติธุรกรรม การทำธุรกรรมนี้จะได้รับเงินทุนทั้งหมดจาก Aramco ซึ่งจะเพิ่มกรรมสิทธิ์ MidOcean ของตนเป็น 49% การลงทุนเพิ่มเติมของ Aramco ใน MidOcean จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของ MidOcean และ Aramco ในตลาด LNG ทั่วโลก และจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสสัมผัสโครงการส่งออก LNG แห่งเดียวในอเมริกาใต้เพิ่มเติม สัดส่วนการถือหุ้นทางอ้อมของ Aramco ใน PLNG จะเท่ากับ 17.2% นอกจาก EIG และ Aramco แล้ว Mitsubishi Corporation ยังลงทุนใน MidOcean ท่ามกลางนักลงทุนระดับบลูชิปรายอื่นๆ

กรรมสิทธิ์ PLNG ของ Hunt จะลดลงจาก 50% เป็น 35% และ Hunt จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการของ PLNG หลังการทำธุรกรรม Hunt ยังคงถือกรรมสิทธิ์ 25.2% ในโครงการต้นน้ำ Camisea ในเปรู Hunt ลงทุนในเปรูมาตั้งแต่ปี 2000 และมุ่งมั่นที่จะสานต่อประวัติศาสตร์อันยาวนานของการลงทุนในเปรู และความเป็นเลิศในการดำเนินงานในโครงการ PLNG

PLNG เป็นเจ้าของและดำเนินการโรงงานส่งออก LNG แห่งเดียวในอเมริกาใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Pampa Melchorita ห่างจากกรุงลิมา ประเทศเปรู ไปทางใต้ 170 กิโลเมตร สินทรัพย์ของ PLNG ประกอบด้วยโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวที่มีกำลังการผลิต 4.45 ล้านตันต่อปี ท่อส่งก๊าซความยาว 408 กิโลเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ PLNG โดยสมบูรณ์ซึ่งมีกำลังการผลิต 1,290 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ถังเก็บขนาด 130,000 ลูกบาศก์เมตรจำนวน 2 ถัง ท่าเรือทางทะเลความยาว 1.4 กิโลเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ PLNG โดยสมบูรณ์ และสถานที่บรรทุกสินค้าด้วยรถบรรทุกที่มีความจุสูงถึง 19.2 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดย PLNG จะได้รับการดำเนินการโดย Hunt และเป็นหนึ่งในโรงงานผลิต LNG เพียงสองแห่งในละตินอเมริกา

De la Rey Venter ผู้เป็น CEO ของ MidOcean กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน PLNG ซึ่งเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ MidOcean ในการสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลก ที่หลากหลาย และมีความยืดหยุ่น ความเชื่อของเราต่อพื้นฐานระยะยาวของตลาด LNG และในจุดแข็งของจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ของ PLNG ในฐานะโรงงานส่งออก LNG เพียงแห่งเดียวในอเมริกาใต้ที่ยังคงแน่วแน่ เราตั้งตารอที่จะกระชับความร่วมมือของเรากับ Hunt Oil และผู้ร่วมทุน PLNG รายอื่นๆ และยังคงสนับสนุนผลกระทบเชิงบวกของโครงการต่อตลาดพลังงานของเปรูต่อไป”

Mark Gunnin ผู้เป็น CEO ของ Hunt กล่าวว่า “เรามุ่งเน้นไปที่การเตรียมโครงการ PLNG สำหรับอนาคต และโอกาสในการนำ MidOcean เข้ามาเป็นพันธมิตรถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”

Morgan Stanley ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ MidOcean ในการทำธุรกรรมครั้งนี้ และ Latham & Watkins ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย Bracewell LLP ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของ Hunt

เกี่ยวกับ EIG
EIG คือนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ซึ่งกำลังบริหารเงินลงทุนจำนวน 24.9 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2024 โดย EIG เชี่ยวชาญในการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในระดับโลก ในตลอดช่วงระยะเวลา 42 ปี EIG ได้ทุ่มเงินกว่า 48.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการ 413 โครงการหรือบริษัทใน 42 ประเทศในหกทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยกองทุนเงินบำนาญ บริษัทประกันภัย กองทุนการกุศล มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งชั้นนำหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ MidOcean Energy
MidOcean Energy ซึ่งป็นบริษัท LNG ที่ก่อตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งมั่นที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอ LNG ระดับโลกที่มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น คุ้มทุน และเป็นคู่แข่งกับคาร์บอนได้ เป้าหมายของ MidOcean Energy สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของ EIG ที่มีต่อ LNG ในฐานะตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน และความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ LNG ในฐานะทรัพยากรพลังงานเชิงกลยุทธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ MidOcean Energy นำโดย De la Rey Venter ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานเป็นเวลา 26 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงหัวหน้าฝ่าย LNG ระดับโลกของ Shell Plc

เกี่ยวกับ Hunt Oil Company
Hunt ก่อตั้งขึ้นในปี 1934 โดยเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซอิสระที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา พื้นที่ปฏิบัติการหลักของบริษัทตั้งอยู่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ในเปรู สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเคอร์ดิสถานของอิรัก รวมถึงโครงการสำรวจในตูนิเซียและโมร็อกโก Hunt เป็นบริษัทสำรวจระดับนานาชาติที่กระตือรือร้น และได้ขุดเจาะในทุกทวีปนอกเหนือจากทวีปแอนตาร์กติกา

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com หรือเว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

ข้อมูลติดต่อ EIG
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

ข้อมูลติดต่อ Hunt
Paul Schulze
+1 214-978-8534
publicaffairs@huntconsolidated.com

แหล่งที่มา: EIG

Hgen ระดมทุน 5 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเสนอขายอิเล็กโทรไลเซอร์ประสิทธิภาพสูง

Logo

บริษัทสตาร์ทอัพที่ทำงานโดยมุ่งเน้นไปที่ไฮโดรเจนจะใช้เงินทุนเพื่อเร่งดำเนินการเสนอขายอิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ที่มีความหนาแน่นพลังงานเชิงปริมาตรที่สูงขึ้น 20 เท่า

ฮอว์ธอร์น แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–17 กันยายน 2024

Hgen ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตไฮโดรเจนสะอาดเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนัก ได้ประกาศปิดการระดมทุนรอบแรกซึ่งมีมูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐในวันนี้ การระดมทุนดังกล่าวนำโดย Seven Seven Six โดยมีส่วนร่วมจาก Founders Fund และ Fontinalis Partners โดย Hgen จะใช้เงินทุนนี้เพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีไปเสนอขายที่ไซต์งานของลูกค้า

ไฮโดรเจนที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิลเกือบ 100 ล้านเมตริกตันถูกผลิตขึ้นทุกปีเพื่อใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมและเคมี Hgen ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2021 มีเป้าหมายที่จะลดคาร์บอนของตลาดที่มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ นี้ด้วยการผลิตไฮโดรเจนที่สะอาดจากน้ำและไฟฟ้าผ่านอิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเล็กโทรไลเซอร์ประเภทหนึ่งที่มีต้นทุนขั้นต่ำที่สุด ดังนั้นจึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายต้นทุนของไฮโดรเจนที่สะอาด

Hgen ได้พัฒนาอิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ที่มีความหนาแน่นพลังงานเชิงปริมาตรสูงกว่า 20 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับอิเล็กโทรไลเซอร์แอลคาไลน์ทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ระบบที่มีขนาดเล็กลง 20 เท่าที่สามารถผลิตไฮโดรเจนในปริมาณเท่ากันได้ ความหนาแน่นของพลังงานสูงนี้ถูกปลดล็อกโดยเซลล์สร้างไฮโดรเจนของ Hgen ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า 9% และบางกว่าเซลล์แอลคาไลน์มาตรฐานถึง 6 เท่า ซึ่งส่งผลให้ได้อิเล็กโทรไลเซอร์ที่มีขนาดกะทัดรัดและราคาถูกกว่า

Molly Yang ผู้เป็น CEO ของ Hgen กล่าวว่า “การติดตั้งอิเล็กโทรไลเซอร์ในปัจจุบันดูเหมือนโครงการก่อสร้างปิโตรเคมีแบบที่กำหนดเอง นั่นก็คือสร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์เฉพาะและมีค่าใช้จ่ายสูง โมดูลที่ประกอบไว้ล่วงหน้าของเราประกอบด้วยอุปกรณ์และโครงสร้างอื่นๆ ภายในโรงงาน ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการออกแบบที่กำหนดเองและการก่อสร้างในสถานที่ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนของโครงการไฮโดรเจนในปัจจุบัน”

ด้วยการสนับสนุนจาก Breakthrough Energy Fellows ในช่วงแรก Hgen ได้ขยายเทคโนโลยีจากต้นแบบแบบตั้งโต๊ะไปสู่การสาธิตระดับอุตสาหกรรมที่ทำงานอยู่ในโรงงานของตนในฮอว์ธอร์น ขณะนี้บริษัทมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีไปใช้ที่ไซต์งานของลูกค้า

Alexis Ohanian ผู้เป็นผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดชอบของ Seven Seven Six กล่าวว่า “Hgen ได้รวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญที่น่าทึ่งจาก SpaceX และ Tesla ซึ่งก่อนหน้านี้ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อนได้ดีกว่าบริษัทเจ้าตลาดในช่วงเวลาที่รวดเร็ว และตอนนี้กำลังสร้างความก้าวหน้าในด้านอิเล็กโทรลิซิสแบบแอลคาไลน์”

Katelin Holloway ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งของ Seven Seven Six กล่าวว่า “ผลตอบรับเชิงพาณิชย์ของ Hgen เป็นเครื่องยืนยันประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของเทคโนโลยีของ Hgen และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะสนับสนุนพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้”

Hgen กำลังรับสมัครงานในลอสแองเจลิส

เกี่ยวกับ Hgen:

Hgen สร้างไฮโดรเจนที่สะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนัก อิเล็กโทรไลเซอร์แบบแอลคาไลน์ประสิทธิภาพสูงกว่าของ Hgen จะแปลงน้ำและไฟฟ้าให้เป็นไฮโดรเจนที่สะอาด ซึ่งถูกใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในกระบวนการทางอุตสาหกรรม เช่น การผลิตสารเคมีและเหล็ก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.hgen.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รายชื่อติดต่อ

contact@hgen.com

แหล่งที่มา: Hgen

BKV Corporation ประกาศเปิดตัวการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก

Logo

DENVER–(BUSINESS WIRE)–16 กันยายน 2024

BKV Corporation (“BKV”) ประกาศเปิดตัวการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกเป็นจำนวน 15,000,000 หุ้นในวันนี้ โดยผู้รับประกันการจำหน่ายจะสามารถเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 2,250,000 หุ้นจาก BKV ในราคานำเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกภายในเวลา 30 วัน เมื่อหักส่วนลดและค่าคอมมิชชันจากการจัดจำหน่ายแล้ว ราคาเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 19.00 เหรียญสหรัฐถึง 21.00 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น โดยหุ้นดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้ชื่อ “BKV”

Citigroup และ Barclays จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจองซื้อหุ้นหลักสำหรับการเสนอขายในครั้งนี้ Evercore ISI, Jefferies และ Mizuho จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจองซื้อหุ้นร่วม KeyBanc Capital Markets, Susquehanna Financial Group, LLP, TPH&Co., ส่วนธูรกิจพลังงานของ Perella Weinberg Partners, และ Truist Securities จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการร่วมอาวุโส Citizens JMP และ SMBC Nikko จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการร่วมในการเสนอขาย

การเสนอขายจะทำผ่านหนังสื้อชี้ชวนเท่านั้น สามารถขอรับสำเนาหนังสือชี้ชวนเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายได้ที่: Citigroup, c/o Broadridge Financial Solutions, 1155 Long Island Avenue, Edgewood, New York 11717, or by telephone at (800) 831-9146; หรือที่ Barclays Capital Inc., c/o Broadridge Financial Solutions, 1155 Long Island Avenue, Edgewood, New York 11717, ทางอีเมลที่ barclaysprospectus@broadridge.com หรือทางโทรศัพท์ที่หมายเลข (888) 603-5847

สามารถขอรับสำเนาหนังสือชี้ชวนได้ฟรีที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“SEC”) www.sec.gov และค้นนหาภายใต้ชื้อผู้จดทะเบียน “BKV Corporation”

มีการยื่นหนังสือชี้แจงการจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้นต่อ SEC แล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ หลักทรัพย์เหล่านี้จะยังไม่สามารถขาย หรือไม่สามารถยอมรับข้อเสนอซื้อได้ ก่อนที่หนังสือชี้แจงการจดทะเบียนจะมีผลบังคับใช้ เอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ไม่ถือเป็นข้อเสนอขายหรือการชักชวนให้ซื้อ และจะไม่มีการขายหลักทรัพย์เหล่านี้ในรัฐหรือเขตอำนาจศาลใดๆ ที่ข้อเสนอ การชักชวน หรือการขายดังกล่าวถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายก่อนการจดทะเบียนหรือการได้รับการรับรองคุณสมบัติภายใต้กฏหมายหลักทรัพย์ของรัฐหรือเขตอำนาจศาลดังกล่าว

เกี่ยวกับ BKV Corporation

BKV Corporation (BKV) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เป็นบริษัทพลังงานที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลและขับเคลื่อนการเติบโตโดยมุ่งเน้นที่การสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ธุรกิจหลักของ BKV คือการผลิตก๊าซธรรมชาติจากธุรกิจต้นน้ำที่บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการเอง BKV (และบริษัทก่อนหน้า) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 และ BKV และพนักงานของบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างบริษัทพลังงานรูปแบบใหม่ BKV เป็นหนึ่งในผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติ 20 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกาและเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดตามปริมาณการดำเนินการรวมใน Barnett Shale BKV Corporation เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มบริษัท BKV

คำชี้แจงเชิงคาดการณ์

ข้อมูลในเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ประกอบด้วยคำชี้แจงเชิงคาดการณ์ตามความหมายของกฏหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลาง โดยทั่วไปแล้ว คำชี้แจงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอนาคตหรือผลการดำเนินงานทางการเงินหรือการดำเนินงานในอนาคตของเรา และรวมถึงคำชี้แจงเกี่ยวกับขนาด เวลา และผลลัพธ์ที่คาดหวังของการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก เมื่อใช้ในเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ คำต่างๆ “คาดหวัง” “คาดการณ์” “ประมาณการ” “เชื่อว่า” “คาดการณ์ล่วงหน้า” “ตั้งใจ” “งบประมาณ” “วางแผน” “แสวงหา” “จินตนาการ” “ประเมินการ” “เป้าหมาย” “ทำนาย” “อาจจะ” “ควรจะ” “น่าจะ” “เป็นไปได้ที่จะ” “จะ” คำตรงข้ามของคำแหล่านี้และสำนวนที่คล้ายคลึงกันมีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า แม้ว่าคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดจะไม่มีคำที่ระบุดังกล่าวก็ตาม คำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้ามีพื้นนฐานมาจากความคาดหวังและสมมติฐานปัจจุบันของฝ่ายบริหาร และอาจขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอน ความเสี่ยง และการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ที่คาดเดาได้ยาก ดังนั้น ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างเป็นอย่างมากจากที่ระบุไว้ในคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ เมื่อพิจารณาคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์เหล่านี้ คุณควรคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงและคำเตือนอื่นๆ ในหนังสือชี้ชวนของ BKV BKV จะไม่มีภาระผูกพันและจะไม่มีการปรับปรุงคำกล่าวที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้เพื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการนำเสนอเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ คุณจึงควรใช้วิจารณญาณที่จะไม่อ้างอิงคำกล่าวอ้างเชิงคาดการณ์เหล่านี้มากเกินไป เนื่องจากคำกล่างอ้างนี้มีผลใช้ได้เฉพาะในวันที่นำเสนอเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้เท่านั้น

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Becky Escott
BKV Corporation
media@bkvcorp.com

แหล่งข้อมูล: BKV Corporation

การสํารวจของ Black & Veatch แสดงให้เห็นว่าการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เป็นสิ่งสําคัญอย่างมากสําหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในออสเตรเลีย

Logo

การให้ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นในคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมของชาวพื้นเมือง เป็นปัจจัยสำคัญทีเปลี่ยนแปลงในการวางแผนการจัดการน้ำในเหมือง

เมลเบิร์น ออสเตรเลีย

SCF เข้าซื้อกิจการ Newpark Fluids Systems

Logo

HOUSTON–(BUSINESS WIRE)–14 กันยายน 2024

SCF Partners, Inc. (“SCF”) มีความยินดีประกาศการเข้าซื้อกิจการธุรกิจ Newpark Fluids Systems business (“NFS”) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและของเหลวความร้อนใต้พิภพชั้นนำระดับโลกจาก Newpark Resources Inc. (NYSE: NR) Newpark Fluids Systems จัดหาผลิตภัณฑ์สำหรับเจาะแบบครบวงจรและบริการทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรองรับโดยชุดซอฟต์แวร์การสร้างแบบจำลองดิจิทัลที่สร้างสรรค์ ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตในการดำเนินงานสำหรับลูกค้าของเรา

David Paterson CEO ของ Newpark Fluid Systems กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นในการร่วมเป็นพันธมิตรกับ SCF ความร่วมมือครั้งใหม่นี้จเป็นแหล่งสร้างมูลค่ามหาศาลสำหรับทั้งลูกค้าของเราและทีมงาน Newpark Fluids Systems ทุกคน แผนการเติบโตเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของเราจะเร่งตัวภายใต้คณะกรรมการชุดใหม่ที่มุ่งเน้นเฉพาะด้าน ซึ่งมีประสบการณ์และความมุ่งมั่นอย่างมากในด้านพลังงาน ประวัติความสำเร็จที่ไม่มีใครเทียบของ SCF ในอุตสาหกรรมบริการด้านพลังงานระดับโลกเปิดโอกาสอันน่าตื่นเต้นสำหรับเราในอนาคต”

Deviyani Misra-Godwin กรรมการบริหารของ SCF Partners กล่าว “เป็นเวลากว่า 25 ปีแล้วที่ Newpark Fluids Systems ได้รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดของเหลวสำหรับการขุดเจาะและการผลิตทั่วโลก โดยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของลูกค้าด้วยการให้บริการที่มีคุณภาพระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม การดำเนินงานทั่วโลก ประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในระดับควอไทล์ ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชั้นนำ และตำแหน่งที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมพลังงานความร้อนใต้พิภพที่กำลังเติบโตของ Newpark Fluid Systems จะช่วยเสริมความสำเร็จในภูมิทัศน์ด้านพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ร่วมกับทีมผู้นำ เรามุ่งหวังที่จะสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับลูกค้าและพนังงานของเราในเส้นทางการเติบโตในอนาคต”

Vinson & Elkins LLP เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายสำหรับ SCF ในการทำธุรกรรมครั้งนี้

เกี่ยวกับ Newpark Fluids Systems

Newpark Fluids Systems เป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์ของเหลวสำหรับการขุดเจาะและการผลิตแบบครบวงจรและบริการทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องให้แก่ลูกค้าสำหรับโครงการน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานนความร้อนใต้พิภพ โดยโครงการส่วนใหญ่อยู่ที่อเมริกาเหนือ ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมถึงบางประเทศในเอเชียแปซิฟิก NFS ให้แนวทางความรู้ในท้องถิ่นโดยมุ่งเน้นของเหลวใต้พิภพและการเข้าถึงทั่วโลก เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและผลผลิตสำหรับการดำเนินงานของลูกค้าทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.newpark.com

เกี่ยวกับ SCF Partners

SCF ก่อตั้งขึ้นในปี 1989 โดยให้บริการเงินทุนและความช่วยเหลือด้านการเติบโตเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างและขยายบริษัทในภาคส่วนการบริการด้านพลังงาน อุปกรณ์ และเทคโนโลยีชั้นนำที่มีการดำเนินงานทั่วโลก SCF มีการลงทุนในบริษัทแพลตฟอร์มมากกว่า 80 แห่ง และเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมอีกกว่า 400 แห่ง เพื่อพัฒนาบริษัทในภาคส่วนการบริการด้านพลังงานและอุปกรณ์ที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 18 แห่งตลอดประวัติศาสตร์การดำเนินงานของบริษัท บริษัทมีสำนักงานใหญ่ที่ฮูสตัน เท็กซัส และมีสำนักงานที่อเบอร์ดีนและออสเตรเลีย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.scfpartners.com

เกี่ยวกับ Newpark Resources

Newpark Resources, Inc. เป็นบริษัทให้บริการโซลูชันสำหรับโรงงาน โดยมีการผลิต จำหน่าย และให้เช่าผลิตภัณฑ์คอมโพสิตที่ยั่งยืนและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม พร้อมบริการครบวงจร รวมถึงการวางแผน โลจิสติกส์ และการแก้ไขปัญหา สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.newpark.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54122034/en

ติดต่อ

Paul Bateman
pbateman@scfpartners.com

แหล่งข้อมูล: SCF Partners

The Bangkok Reporter