Contentstack ระดมทุน Series C มูลค่า 80 ล้านดอลลาร์ นำโดย Georgian และ Insight Partners เพื่อเร่งเส้นทางสู่การรวบรวมความสามารถจากโครงสร้างข้อมูลสำหรับองค์กร

Logo

ระบบการจัดการเนื้อหา (CMS) ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียจะใช้เงินทุนเพื่อช่วยให้แบรนด์ระดับโลกตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสำหรับประสบการณ์เชื่อมโยงกับร้านค้าทุกช่องทางและประสบการณ์ส่วนบุคคล และเพื่อสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถทั่วอินเดีย

เทศบาลวิราร เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย–(BUSINESS WIRE)–15 พฤศจิกายน 2022

Contentstack ผู้นำประเภท Content Experience Platform (CXP) และผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมเชิงประกอบ ได้ประกาศในวันนี้ว่าการระดมทุน Series C มีมูลค่า 80 ล้านดอลลาร์ Georgian และ Insight Partners ร่วมเป็นผู้นำในรอบนี้โดยมีส่วนร่วมจาก Illuminate Ventures ทั้งสามบริษัทยังคงเพิ่มการลงทุนด้วย Contentstack ซึ่งมีส่วนช่วยให้ระดมทุนได้ทั้งหมด 169 ล้านดอลลาร์จนถึงตอนนี้ บริษัทจะใช้เงินทุนเพื่อสนับสนุนบริษัทองค์กรต่าง ๆ ต่อไปในเส้นทางของพวกเขาเพื่อรวบรวมความสามารถจากโครงสร้างข้อมูล โดยเสริมศักยภาพให้พวกเขาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสำหรับประสบการณ์เชื่อมโยงกับร้านค้าทุกช่องทางและประสบการณ์ส่วนบุคคล

Emily Walsh หัวหน้านักลงทุนของ Georgian จะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ Contentstack พร้อมกับ David Overmyer ผู้อำนวยการสายการเงิน (CFO) ของ Contentstack

“เรามองหาบริษัทที่มีการเติบโตสูงพร้อมความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมและวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งแกร่ง เราชอบที่จะช่วยให้ผู้ที่มองเห็นโอกาสและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงได้ทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด” กล่าวโดย Walsh “ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ เราจึงเลือกที่จะเพิ่มการลงทุนของเราเป็นสองเท่า ความสามารถของ Contentstack ในการรับรองว่าลูกค้าจะประสบความสำเร็จในขณะเดียวกันก็สร้างนวัตกรรมด้วยความเร็วที่บันทึกนั้น ทำให้พวกเขาเป็นผู้นำในตลาด CMS เราภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำร่วมกันในรอบนี้และให้การสนับสนุนบริษัทที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้นำที่แท้จริง”

Contentstack เป็น CMS ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียซึ่งเป็นตัวแทนของแบรนด์ระดับโลก เช่น Chase, Holiday Inn, Levi’s, Mattel, McDonald's, Mitsubishi และ Shell นอกจากนี้ บริษัทยังใช้เงินทุนเพื่อเติบโตและสรรหาบุคลากรอย่างต่อเนื่องในไฮเดอราบัด เบงกาลูรู ปูเน และวิราร-มุมไบ

"เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในบริษัท SaaS ที่เติบโตเร็วที่สุดในอินเดีย" กล่าวโดย Nishant Patel ผู้ร่วมก่อตั้งและ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ของ Contentstack "Contentstack ได้รับการบ่มเพาะใน Raw Engineering ในอินเดียก่อนที่จะแยกตัวออกไปสู่ระดับโลกมากขึ้นในปี 2018 ภารกิจของเราคือการช่วยสนับสนุนและผลักดันการเติบโตในระบบนิเวศของธุรกิจสตาร์ทอัพในอินเดีย เมื่อเร็วๆ นี้ การสนับสนุนการประชุมผลิตภัณฑ์ NASSCOM ช่วยกระตุ้นภารกิจดังกล่าว ซึ่งคุณสามารถคาดหวังได้ว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้”

ในฐานะที่เป็น CMS แบบไม่มีส่วนหัวเพียงตัวเดียวที่นำเสนอโซลูชัน "การผสานรวม" กับ Automation Hub Contentstack จึงมอบเส้นทางสู่การรวบรวมความสามารถจากโครงสร้างข้อมูลสำหรับองค์กรต่าง ๆ ด้วยการทำให้กิจกรรมหลายร้อยรายการในเทคโนโลยีและผู้ขายเป็นไปอย่างอัตโนมัติและคล่องตัวแบบเรียลไทม์ องค์กรต่างๆ จึงสามารถเลิกใช้งานระบบจัดการเนื้อหา (CMS) แบบเดิมที่มีราคาแพงได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้พวกเขาสามารถปลดล็อกนวัตกรรมประสบการณ์ดิจิทัลในวงกว้างมากขึ้นและตระหนักถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

โปรแกรม Care Without CompromiseTM ที่เป็นเรือธงของบริษัทช่วยให้มั่นใจได้ถึงการสนับสนุนข้ามผู้จัดจำหน่ายในสภาพแวดล้อมที่ผสมผสานกัน ด้วย Automation Hub และ Care Without Compromise ทำให้ Contentstack กลับมาอยู่ในระดับแนวหน้าของการเคลื่อนไหวที่ผสมผสานกันได้อีกครั้ง ซึ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างลูกค้าให้พร้อมสำหรับความสำเร็จในแนวธุรกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

ตั้งแต่ Series B ของ Contentstack ในเดือนมิถุนายน ปี 2021 ความเชี่ยวชาญของ Contentstack ได้นำไปสู่การเติบโตของขนาดและอัตราของกรณีการใช้งาน เนื่องจากมีองค์กรจำนวนมากขึ้นได้นำสถาปัตยกรรมเชิงประกอบมาใช้เป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์ดิจิทัลมากขึ้น บริษัทจึง

  • เติบโตจนมีพนักงานมากกว่า 400 คน และเข้าถึงผู้ใช้กว่า 50,000 รายในตลาดโลกกว่า 70 แห่ง
  • เพิ่มจำนวนลูกค้าที่ให้บริการและเพิ่ม ARR เกือบสามเท่า ขณะที่รักษาอัตราการรักษาลูกค้าไว้ 97%
  • ปรับขนาดด้วยแบรนด์ระดับโลกที่ใหญ่ที่สุด โดย 42% มีรายได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และ 35% มีการซื้อขายต่อสาธารณะ
  • นำเสนอโซลูชันที่ไม่อิงกับคลาวด์ที่รองรับทั้ง AWS และ Microsoft Azure ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป

นอกจากนี้ Contentstack ยังได้รับการรับรองเป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยมในอินเดีย (กันยายน 2021-2023) โดยได้รับรางวัลสถานที่ทำงานยอดเยี่ยมแห่งปี 2022 ถึง 6 รางวัลและได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ทำงานที่เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดยอดเยี่ยมแห่งปี 2021 Austin Business Journal เสนอชื่อ Neha Sampat ผู้บริหารสูงสุด (CEO) ให้เป็นหนึ่งใน CEO ที่ดีที่สุดของ Austin ในปี 2022

เกี่ยวกับ Contentstack

Contentstack™ เป็นผู้นำประเภท Content Experience Platform (CXP) ที่ช่วยให้นักการตลาดและนักพัฒนานำเสนอประสบการณ์ดิจิทัลที่รวบรวมได้ด้วยความรวดเร็วดั่งจินตนาการ บริษัทต่าง ๆ เช่น ASICS, Chase, Express, Holiday Inn, Icelandair, Mattel, McDonald's, Mitsubishi, Riot Games และ Shell ไว้วางใจให้ Contentstack ขับเคลื่อนประสบการณ์เนื้อหาที่สำคัญที่สุดด้วยขนาดที่มั่นคงและความน่าเชื่อถือ Contentstack มีชื่อเสียงในด้าน Care without Compromise™ ซึ่งได้รับคะแนนความพึงพอใจสูงสุดจากลูกค้าในอุตสาหกรรม Contentstack ยังเป็นผู้ก่อตั้ง MACH Alliance ที่กำหนดวาระอุตสาหกรรมสำหรับเทคโนโลยีแบบเปิดและปรับแต่งได้ที่ใช้ Microservices, API-first, Cloud-native SaaS และ Headless เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ http://www.contentstack.com

ข้อมูลติดต่อ

Manish Sharma
manish.sharma@contentstack.com
+91 98200 43185

แหล่งที่มา: Contentstack

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผู้ผลิตสมาร์ทดิสเพลย์ ที่ดีที่สุดของไต้หวัน เฉิดฉายในงาน SDIA Award 2022

Logo

กรุงไทเป ไต้หวัน –(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2022

เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ผลิตสมาร์ทดิสเพลย์ของไต้หวันให้ก้าวทันเทคโนโลยีแสดงผลชั้นนำ Smart Display Industry Alliance หรือ SDIA จึงได้จัดงาน SDIA Award ปี 2022 ขึ้นมา โดยจะมอบรางวัลระดับ Gold, Silver, Bronze รวมถึง Prize of Excellence ให้แก่ผู้ชนะที่เข้าเกณฑ์การประเมินรางวัล เกณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วยความสามารถทางการตลาด, ความเป็นนวัตกรรม, เทคโนโลยี, งานวิจัย, ขีดความสามารถในการพัฒนา และศักยภาพตัวต้นแบบ เป้าหมายคือการยกย่องผู้ผลิตที่มีส่วนร่วม ซึ่งพวกเขาได้ลงทุนขยายเทคโนโลยีการแสดงผลชั้นนำ และยกระดับการแข่งขันด้านภาพกับการตลาดในอุตสาหกรรมการแสดงผลของไต้หวัน

Taiwan’s top smart display companies selected for 2022 SDIA Award (Photo: Business Wire)

Taiwan’s top smart display companies selected for 2022 SDIA Award (Photo: Business Wire)

คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมของกระทรวงเศรษฐการเป็นผู้ก่อตั้ง SDIA ในปี 2021 องค์กรนี้ทำหน้าที่สร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยรัฐภาคอุตสาหกรรม รวมถึงกลไกการบูรณาการการดำเนินงาน, เสริมความเข้มแข็งข้ามภาคการผลิต, หน่วยงานสากล, การผนวกรวมหลากหลายสาขาวิชา และขีดความสามารถในการเพิ่มการแข่งขันระดับสากลของไต้หวันในเทคโนโลยีสมาร์ทดิสเพลย์ รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมเพื่อเปลี่ยนอุตสาหกรรมแสดงผลจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมเดี่ยว เป็นระบบนิเวศอุตสาหกรรม

ในปีนี้ มีการมอบรางวัลให้บริษัทที่ดำเนินโครงการอันยอดเยี่ยมที่เน้นเทคโนโลยีการแสดงผลชั้นนำ ผู้ได้รับรางวัลระดับ Gold ได้แก่ AUO Corporation, Innolux Corporation, และ PlayNitride Display Co., Ltd สำหรับรางวัลระดับ Silver มอบให้กับ E Ink Holdings Inc., Lextar Electronics Corporation, และ Darwin Precisions Corporation ส่วนผู้ได้รับรางวัลระดับ Bronze คือ PanelSemi Corporation, WiseChip Semiconductor Inc., และ InnoCare Optoelectronics Corp. และรางวัล Prize of Excellence มอบให้กับ Taiwan Nanocrystals Inc., General Interface Solution Limited และ GIO Optoelectronics Corp.

AUO Corporation เป็นผู้สร้างหน้าจอแสดงผล Micro LED แบบม้วนได้ขนาด 14.6 นิ้ว ครั้งแรกของโลก ด้วยความคมชัดระดับสูงสุด มีการใช้เทคโนโลยีถ่ายโอนความเร็วระดับสูงให้ได้ความหนาแน่นของพิกเซลสูงระดับอัลตราที่ 202 ppi ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้มีความโดดเด่นทั้งในแง่ขนาดและความคมชัด กระบวนการผลิตยังมีการดำเนินการด้วยพลังงานสะอาดนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยประหยัดและลดการบริโภคพลังงาน จอแสดงผลแบบม้วนได้ยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับพื้นที่ภายในยานพาหนะด้วย

Innolux Corporation นำเสนอโซลูชันภาพทางการแพทย์อัจฉริยะ 3 มิติ แบบมองเห็นด้วยตาเปล่า ผสานกับสิทธิบัตรพิเศษเฉพาะของ Innolux – เทคโนโลยีการแสดงผลไลท์ฟีลด์ภาพแบบ Volume N3D และอัลกอริทึม ทำให้ระบบสามารถอ่านข้อมูลภาพรังสีส่วนตัดได้โดยตรง ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถตีความข้อมูลได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

PlayNitride Display Co., Ltd อาศัยการใช้เมตาเวิร์สอันเป็นที่สนใจทั่วทั้งอุตสาหกรรม ในการเปิดตัวจอแสดงผล
ไมโครแบบมีสีเต็มรูปแบบ ขนาด 0.49 นิ้ว/4,536 ppi เมตาเวิร์ส ซึ่งเป็นเกรดสูงสุดในอุตสาหกรรมปัจจุบัน และสามารถใช้กับแว่นตา AR ได้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแสดงผลช่วยยกระดับประสบการณ์เมตาเวิร์ส

บริษัทเทคโนโลยีแสดงผลมีความเข้มแข็งในตัวเอง SDIA จะช่วยผู้ผลิตอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมการแสดงผล ให้เปลี่ยนแปลงและอัปเกรดพร้อมเป้าหมายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าที่สูงขึ้น หรือระบบ และบริการบูรณาการแอปพลิเคชัน สิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาแอปพลิเคชันและโซลูชันในหลากหลายสาขา เพื่อนำทฤษฎีไปปฏิบัติจริงให้เกิดการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการแสดงผลอัจฉริยะในภาพรวม และการอัปเกรดให้ไปถึงเป้าหมายในการสร้างพอร์ตอุตสาหกรรม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/52966218/en

ข้อมูลติดต่อ

Smart Display Industrial Alliance, SDIA
อีเมล: IDB.SDIA@itri.org.tw
โทรศัพท์: +886-2-27001910

แหล่งที่มา: Smart Display Industrial Alliance

Kirin Holdings และ Kao เริ่มทำการวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องและภูมิคุ้มกันวิทยา

Logo

Tokyo–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2022

ตั้งแต่เดือนนี้ Kirin Holdings Company, Limited (Kirin Holdings) และ Kao Corporation (Kao) จะเข้าร่วมในการศึกษาตามรุ่นของ "วิจัยส่งเสริมสุขภาพวาคายามะ"*1 ซึ่งนำโดย Wakayama Medical University และเรียบเรียงโดยศูนย์วิจัยส่งเสริมสุขภาพ (HPRC) ที่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Kirin Holdings และ Kao จะร่วมกันทำการวิจัยเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องกับการทำงานของเซลล์เดนไดรต์ในพลาสมาไซทอยด์*2 (pDCs) ซึ่งเป็นตัวนำสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันและอื่น ๆ

*1 วิธีการวิจัยเชิงสังเกตวิธีหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยของโรคและการเกิดโรค โดยจัดกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยโรคเฉพาะและกลุ่มคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยโรคเฉพาะ และสามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยและการเกิดโรคได้โดยการคำนวณอุบัติการณ์ของโรคเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม

*2 เซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวนำหลักเมื่อแบคทีเรียหรือไวรัสเข้าสู่ร่างกาย การทำงานของ pDC จะกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันต่าง ๆ เช่น เซลล์ NK เซลล์ T และเซลล์ B เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส

โครงร่างการวิจัย

  1. หัวข้อการวิจัย
  2. โครงสร้างการวิจัย
    Kirin Central Research Institute, Kirin Holdings Company, Limited
    R&D-Health & Wellness Products Research, R&D-Biological Science Research , Kao Corporation
    Wakayama Medical University
  3. เป้าหมาย
    ชายและหญิงที่เป็นผู้ใหญ่ 300 คนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดวาคายามะ (ตามแผน)

ความเป็นมา

โรคอ้วนได้รับการกำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็น "การสะสมไขมันผิดปกติหรือมากเกินไปซึ่งอาจนำไปสู่สุขภาพที่ไม่ดี" ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น ทั่วโลกกำลังศึกษาผลกระทบของโรคอ้วนต่อสุขภาพ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนกับภูมิคุ้มกันกำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากโรคอ้วนมีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสที่รุนแรงมากขึ้น*3

วัตถุประสงค์

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องกับกิจกรรมของ pDC โดยผสมผสานความสามารถในด้านการวิจัยมากกว่า 35 ปีของ Kirin Holdings ที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันวิทยาเข้ากับความสามารถในด้านการวิจัยของ Kao ที่เกี่ยวกับการลดการสะสมไขมันในช่องท้อง ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต งานวิจัยนี้จะดำเนินการเป็นการศึกษาเพิ่มเติมสำหรับ "วิจัยส่งเสริมสุขภาพวาคายามะ" ซึ่งได้ดำเนินการกับผู้อยู่อาศัยในจังหวัดวาคายามะมาตั้งแต่ปี 2011

ในเดือนนี้ จะมีการตรวจสุขภาพเฉพาะในจังหวัดวาคายามะสำหรับผู้อยู่อาศัยที่มีอายุ 40-55 ปี Kao จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปริมาณไขมันในช่องท้อง ในขณะที่ Kirin Holdings จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของเซลล์เดนไดรต์ รวมถึง pDCs ในเลือด โดยทั้งคู่จะแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ร่วมกัน และจะมีการศึกษาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องและกิจกรรมของ pDC

*3 Int J Epidemiol. 2019;48(6):1783-1794. https://doi.org/10.1093/ije/dyz129
Obes Rev. 2020;21(11):e13128. https://doi.org/10.1111/obr.13128

วิจัยส่งเสริมสุขภาพวาคายามะคืออะไร

นี่เป็นการศึกษาตามรุ่นที่นำโดย Wakayama Medical University ตั้งแต่ปี 2011 และขณะนี้ได้ดำเนินการร่วมกับ HPRC โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของโรคต่าง ๆ ในหมู่คนท้องถิ่นในจังหวัดวาคายามะ

จนถึงปัจจุบัน มีการวิจัยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและมวลกล้ามเนื้อ และได้มีการตีพิมพ์เอกสารต้นฉบับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อกับการเริ่มมีภาวะหลอดเลือดแข็ง ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประวัติการล้มและปริมาณการออกกำลังกายที่เจตนา

Kirin และ Kao จะส่งเสริมความคิดริเริ่มที่มุ่งลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภคในอนาคต โดยการชี้แจงความสัมพันธ์ระหว่างมวลไขมันในอวัยวะภายในและกิจกรรม pDC ผ่านวิจัย HPRC

เกี่ยวกับ Kirin Holdings

Kirin Holdings Company, Limited เป็นบริษัทระหว่างประเทศที่ดำเนินการในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม) ส่วนของยา (ธุรกิจยา) และในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพ) ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก

Kirin Holdings สืบทอดมาจาก Japan Brewery ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1885 โดย Japan Brewery ได้กลายเป็น Kirin Brewery ในปี 1907 ตั้งแต่นั้นมา บริษัทก็ได้ขยายธุรกิจด้วยการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีหลัก และเข้าสู่ธุรกิจเภสัชกรรมในปี 1980 ซึ่งทั้งหมดยังคงเป็นศูนย์กลางการเติบโตระดับโลก ในปี 2007 Kirin Holdings ก่อตั้งขึ้นในฐานะบริษัทโฮลดิ้งอย่างแท้จริง และปัจจุบันนี้กำลังมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ

ภายใต้วิสัยทัศน์ Kirin Group Vision 2027 (KV 2027) ซึ่งเป็นแผนการจัดการระยะยาวที่เปิดตัวในปี 2019 ทำให้ Kirin Group มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำระดับโลกในด้าน CSV* ซึ่งสร้างมูลค่าให้กับโลกของอาหารและเครื่องดื่มไปจนถึงยา ในอนาคต Kirin Group จะยังคงใช้จุดแข็งต่าง ๆ เพื่อสร้างมูลค่าทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านธุรกิจของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืนในค่านิยมขององค์กร

* การสร้างคุณค่าร่วมกัน: รวมมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้บริโภคและสังคมโดยรวม

เกี่ยวกับ Kao Corporation

Kao สร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงซึ่งให้การดูแลและเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของทุกคนและโลกใบนี้ ด้วยผลงานของแบรนด์ชั้นนำกว่า 20 แบรนด์ เช่น Attack, Bioré, Goldwell, Jergens, John Frieda, Kanebo, Laurier, Merries และ Molton Brown โดย Kao เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในเอเชีย โอเชียเนีย อเมริกาเหนือ และยุโรป Kao สร้างยอดขายต่อปีได้ประมาณ 1,420 พันล้านเยน เมื่อรวมกับธุรกิจเคมีภัณฑ์ซึ่งมีส่วนช่วยในหลากหลายอุตสาหกรรม Kao มีพนักงานประมาณ 33,500 คนทั่วโลกและมีประวัติยาวนานถึง 135 ปีในด้านนวัตกรรม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ Kao Group สำหรับข้อมูลล่าสุด https://www.kao.com/global/en/

Kao Group ได้กำหนดกลยุทธ์ ESG ของ Kirei Lifestyle Plan ในเดือนเมษายน ปี 2019 และในปี 2021 Kao ได้เปิดตัวแผนระยะกลางปี ​​2025 (K25) ซึ่งประกาศว่า "การปกป้องชีวิตในอนาคต" และการส่งเสริมให้ "ความยั่งยืนเป็นหนทางเดียว" เป็นวิสัยทัศน์ของบริษัท Kao Group จะยังคงรวมกลยุทธ์ ESG เข้ากับแนวทางการจัดการ นอกจากนี้ยังจะพัฒนาธุรกิจ จัดหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีขึ้นสำหรับผู้บริโภคและสังคม และทำงานตามวัตถุประสงค์ "เพื่อให้เกิดโลก Kirei ที่ทุกชีวิตอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนสมานฉันท์"

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Press Contact
Corporate Communication Department Kirin Holdings Company, Limited
Nakano Central Park South, 4-10-2 Nakano, Nakano-ku, Tokyo
https://www.kirinholdings.com/en/
kirin-cc@kirin.co.jp

Corporate PR, Corporate Strategy, Kao Corporation
1-14-10, Nihonbashi Kayabacho, Chuo-ku, Tokyo
https://www.kao.com/global/en/
corporate_pr@kao.com

แหล่งข้อมูล: Kirin Holdings Company, Limited

เป้าหมายการลดคาร์บอนของ CEMEX ตรวจสอบโดย SBTi เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อน 1.5ºC

Logo

  • CEMEX เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ทั่วโลกที่ตรวจสอบเป้าหมายการลดคาร์บอนในปี 2030 ผ่าน SBTi เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อน 1.5ºC
  • เป้าหมายของ CEMEX เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ทะเยอทะยานที่สุดในอุตสาหกรรม

มอนเตร์เรย์, เม็กซิโก–(BUSINESS WIRE)–10 พฤศจิกายน 2022

CEMEX, S.A.B. de C.V. (“CEMEX”) ประกาศวันนี้ว่า ตนเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ทั่วโลกที่ตรวจสอบเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนในปี 2030 ผ่านโครงการ Science Based Targets (SBTi) เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อน 1.5ºC ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีความทะเยอทะยานที่สุดที่กำหนดไว้สำหรับอุตสาหกรรมนี้ การตรวจสอบนี้ประกอบด้วยเป้าหมายขอบเขต 1, 2 และ 3

CEMEX ผู้ผลิตคอนกรีตรายใหญ่ที่สุดของโลกตะวันตกและเป็นผู้นำระดับโลกด้านการผลิตปูนซีเมนต์ เร่งความพยายามในการกำจัดคาร์บอนผ่านโครงการ Future in Action ในปี 2021 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและมีการหมุนเวียนมากขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักในการเป็นบริษัทที่มี CO2  สุทธิเท่ากับศูนย์ ตั้งแต่นั้นมา บริษัทก็ประสบความสำเร็จในการลด CO2  ซึ่งเป็นการทำลายสถิติ และผลการดำเนินงานจนถึงปัจจุบันทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่เร็วขึ้นสำหรับปี 2030

Fernando A. González ซีอีโอของ CEMEX กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคเรา และอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างต้องเป็นคนแรกๆ ที่เริ่มกำจัดคาร์บอนให้กับสิ่งแวดล้อมที่สร้างขึ้น" “เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำบนเส้นทางสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์โดยอาศัยนวัตกรรมที่พัฒนาอยู่ตลอดและเป้าหมายเชิงรุกที่ได้รับการสนับสนุนจากความก้าวหน้าที่มีความหมายและวัดผลได้ การตรวจสอบความถูกต้องของ SBTi เป็นหลักฐานที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เรากำลังลดการปล่อยคาร์บอนในทุกส่วนของห่วงโซ่คุณค่าของเราโดยอาศัยโครงการ Future in Action และจัดหาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำให้แก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นส่วนหนึ่งของวิธีแก้ปัญหานี้”

Luiz Amaral ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโครงการ Science Based Targets กล่าวว่า "วิทยาศาสตร์ภูมิอากาศบอกว่าเราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วและมหาศาล หากเราต้องการบรรลุเป้าหมายที่โลกการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์" “ปัจจุบันหลายบริษัทเริ่มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าตามหลักวิทยาศาสตร์ และกำลังมีส่วนร่วมในการจำกัดไม่ให้โลกร้อนเกิน 1.5 °C และ CEMEX ก็เป็นหนึ่งในนั้น”

โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเป้าหมายของ CEMEX ที่ www.cemex.com/sustainability/future-in-action

โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SBTi ที่www.sciencebasedtargets.org

CEMEX (NYSE: CX) เป็นบริษัทวัสดุก่อสร้างระดับโลกที่กำลังสร้างอนาคตที่ดีกว่าผ่านผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่ยั่งยืน CEMEX มุ่งมั่นที่จะทำให้บริษัทบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง รวมถึงการวิจัยและการพัฒนาระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม CEMEX เป็นแนวหน้าของเศรษฐกิจหมุนเวียนในห่วงโซ่มูลค่าการก่อสร้าง และเป็นผู้บุกเบิกวิธีเพิ่มการใช้ของเสียและกากของเสียเป็นวัตถุดิบ และเชื้อเพลิงทางเลือกในดำเนินกิจการด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ CEMEX มีโซลูชั่นด้านปูนซีเมนต์ คอนกรีตผสมเสร็จ วัสดุผสม และการสร้างเมืองในประเทศที่กำลังเติบโตทั่วโลก ขับเคลื่อนโดยแรงงานข้ามชาติที่มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าแก่ลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: cemex.com

CEMEX ไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงหรือแก้ไขข้อมูลในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าตามความหมายของกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา CEMEX ตั้งใจให้ข้อความที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้อยู่ภายใต้บทบัญญัติด้านความปลอดภัยสำหรับข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าในกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา ข้อความที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้สะท้อนถึงความคาดหวังและการคาดการณ์ในปัจจุบันของ CEMEX เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตโดยอิงจากความรู้ของ CEMEX เกี่ยวกับข้อเท็จจริงและสถานการณ์ในปัจจุบัน และสมมติฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต ตลอดจนแผนปัจจุบันของ CEMEX ตามข้อเท็จจริงและสถานการณ์ดังกล่าว ข้อความเหล่านี้จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจทำให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงแตกต่างไปอย่างมากจากที่ CEMEX คาดหวัง เนื้อหาของข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ควรตีความข้อมูลดังกล่าวหรือเนื้อหาอื่นใด เช่น คำแนะนำทางกฎหมาย ภาษี การลงทุน การเงิน หรือคำแนะนำอื่นๆ CEMEX จะไม่รับผิดชอบต่อเนื้อหาของเว็บไซต์หรือหน้าเว็บของบุคคลที่ 3 ที่อ้างอิงหรือเข้าถึงได้ผ่านข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สื่อประชาสัมพันธ์
Jorge Pérez
+52 (81) 8259-6666
jorgeluis.perez@cemex.com

นักวิเคราะห์และนักลงทุนสัมพันธ์
Alfredo Garza / Fabián Orta
+1 (212) 317-6011
+52 (81) 8888-4327
ir@cemex.com

แหล่งข้อมูล: CEMEX, S.A.B. de C.V.

เปิดตัวรถบรรทุกรุ่นใหม่จาก Dongfeng KL, KR ในประเทศเวียดนาม สู่การเดินทางครั้งใหม่ในต่างแดน

Logo

ดานัง เวียดนาม –(BUSINESS WIRE)–9 พฤศจิกายน 2022

วันที่ 4 พฤศจิกายน ปี 2022 Dongfeng จัดงานประชุมเปิดตัว DONGFENG KL และ DONGFENG KR อย่างยิ่งใหญ่ในเมืองดานัง ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นสถานที่เปิดตัวรถบรรทุกทั้งสองรุ่น

Dongfeng New Trucks KL, KR Unveiled in Vietnam

รถบรรทุกรุ่นใหม่ของ Dongfeng รุ่น KL, KR เปิดตัวในประเทศเวียดนาม

เวียดนามเป็นพันธมิตรสำคัญของ "ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" และเป็นตลาดต่างประเทศที่สำคัญต่อ Dongfeng อย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาถึงลักษณะของตลาดเวียดนามและความต้องการของลูกค้าอย่างถี่ถ้วน จึงทำให้ Dongfeng ได้อัปเกรดเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ การตลาด และการบริการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเปิดตัว DONGFENG KL กับ DONGFENG KR ที่ปรับโฉมใหม่หมดเพื่อให้มีความปลอดภัย เชื่อถือได้ ราคาประหยัด มีประสิทธิภาพ ชาญฉลาด และสะดวกสบายเหมาะสมกับตลาดเวียดนาม

หลังพิธีเปิดตัว ตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าได้ทดลองขับและสัมผัสประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้ของรถบรรทุกจาก Dongfeng อย่างใกล้ชิด ทุกคนต่างชื่นชมงานออกแบบที่ยึดผู้ใช้งานเป็นสำคัญ ความสะดวกในการใช้งาน และความสบายในการขับขี่รถโดยผ่านประสบการณ์และความรู้สึกส่วนตัว

หลังจากทดลองขับจริงแล้วผู้จัดการตัวแทนจำหน่ายของภูมิภาคกลางและภาคเหนือในประเทศเวียดนามกล่าวว่ารถบรรทุกจาก Dongfeng แพลตฟอร์มใหม่นี้ไม่เพียงแต่ทำให้ทุกคนได้สัมผัสรูปโฉมที่สดใหม่เท่านั้น แต่ยังยกระดับความสะดวกในการใช้งานและความสบายในการขับขี่ของแพลตฟอร์มควบคุมส่วนกลางของห้องผู้ขับ โดยเครื่องยนต์กำลังสูงที่ติดตั้งมากับตัวรถนั้นตอบโจทย์ความต้องการด้านโลจิสติกส์ของรถบรรทุกและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ในประเทศเวียดนามได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ตัวแทนจำหน่ายมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในการขายรถบรรทุกจาก Dongfeng ในอนาคต

นอกจากนี้ Dongfeng ยังคงเสริมความแข็งเกร่งให้กับกลยุทธ์ “ซอฟต์พาวเวอร์” ของแบรนด์และวางแผนชุดการส่งเสริมแบรนด์ฉบับแปลเป็นภาษาต่างๆ และกิจกรรมประชาสัมพันธ์ต่างๆ ต่อไป ซึ่งรวมถึงการโฆษณาทางโทรทัศน์ การโฆษณาบนป้ายโฆษณาบนท้องถนน รวมถึงโลโก้ VI แบบผสมผสานอีกด้วย

ในอนาคตทาง Dongfeng จะเจาะลึกลงในตลาดเวียดนามต่อไป พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพของยานพาหนะให้สอดคล้องกับการผันผวนของตลาดอย่างสม่ำเสมอ และบรรลุถึงความก้าวหน้าในกลุ่มตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ขั้นสูงรวมทั้งให้บริการในระดับมืออาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้าจึงเล็งเห็นถึงความยอดเยี่ยมในผลิตภัณฑ์แพลตฟอร์มใหม่ของ Dongfeng ทั้งในด้านรูปลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และราคาที่จับต้องได้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ช่องทางการติดต่อ

China Dongfeng Motor Industry Imp. & Exp. Co. Ltd
Fan Shaoyang
อีเมล: gjb-fansy@dfmc.com.cn
เว็บไซต์: http://www.dongfeng-global.com/
ประเทศ: China

แหล่งที่มา: China Dongfeng Motor Industry Imp. & Exp. Co. Ltd

Gradiant ได้รับสัญญามูลค่ามากกว่า 30 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายนเพื่อให้บริการแก่อุตสาหกรรมที่สำคัญทั่วโลก

Logo

ลูกค้าอุตสาหกรรมโลกทั่วโลกกำลังใช้ชุดเทคโนโลยีเต็มรูปแบบของ Gradiant เพื่อนำความยั่งยืนมาสู่ห่วงโซ่อุปทานของพวกเขา

บอสตัน–(บิสิเนส ไวร์)–11 พฤศจิกายน. 2565

Gradiant ผู้ให้บริการโซลูชั่นน้ำระดับโลก ประกาศสัญญามูลค่ารวมกว่า 30 ล้านดอลลาร์ เงินทุนนี้มาจากสัญญากับลูกค้าเจ็ดรายที่ได้รับในเดือนกันยายน ประกอบด้วยบริษัทข้ามชาติด้านในเซมิคอนดักเตอร์ (สำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์) บริษัทอุปกรณ์ป้องกันทางอุตสาหกรรม (ออสเตรเลีย) อาหารและเครื่องดื่ม (เบลเยียมและสหรัฐอเมริกา) เภสัชกรรม (อินเดีย) และโครงสร้างพื้นฐาน (ออสเตรเลีย)  Gradiant จะปรับใช้โซลูชันด้านการบริหารน้ำขั้นสูงและการบำบัดน้ำเสียเพื่อให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเหล่านี้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ลดต้นทุนการดำเนินงาน และรับรองความต่อเนื่องทางธุรกิจ

Gradiant จะออกแบบ-สร้างโรงบำบัดน้ำเสียสำหรับโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่ในสิงคโปร์ โดยจะจัดส่งตามกำหนดการเร่งรัดเพื่อให้การผลิตชิปสามารถเริ่มต้นได้ในต้นปี 2566 โปรเจ็กต์นี้รวม RO Infinity สำหรับน้ำบริสุทธิ์พิเศษและการสกัดสารปนเปื้อน Selective Contaminant เพื่อบำบัดและแยกของเสียที่ซับซ้อนเพื่อให้ได้การกู้คืนมากกว่า 80% ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมสำหรับโรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์ของสิงคโปร์มีอัตราการรีไซเคิลที่ 43%

โครงการที่สองมีไว้สำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์ป้องกันอุตสาหกรรมชั้นนำ โครงการนี้ตั้งอยู่ที่พื้นที่สีเขียวในอินเดีย ซึ่ง Gradiant จะส่งระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดของเสียเป็นศูนย์ (ZLD)  โรงงานดังกล่าวจะมีคุณลักษณะ Carrier Gas Extraction (CGE) ของ Gradiant สำหรับ ZLD และ SmartOps สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเครื่องปฏิกรณ์ชีวภาพแบบเมมเบรน (membrane biological reactor – MBR) สำหรับการบำบัดน้ำเสียขั้นสูง  นอกเหนือจากวิศวกรรมและการจัดหาระบบแล้ว Gradiant จะจัดให้มีการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานอย่างครอบคลุมให้แก่พนักงานลูกค้าก่อนที่โรงงานเริ่มดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ปี 2566

"เราภูมิใจที่ลูกค้าจำนวนมากขึ้นทั่วโลกกำลังนำโซลูชันของ Gradiant มาใช้เพื่อปรับปรุง ประสิทธิภาพการดำเนินงานและต้นทุนของสิ่งอำนวยความสะดวก และการลดการปล่อยคาร์บอนและน้ำ” Prakash Govindan ซีโอโอของ Gradiant กล่าว “รางวัลโครงการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่น่าสนใจของเทคโนโลยีเต็มรูปแบบของ Gradiant เรายังคงเติบโตต่อไปด้วยการนำเสนอโซลูชั่นที่สมบูรณ์สำหรับแอพพลิเคชั่นอุตสาหกรรมที่หลากหลายและมีคุณภาพสูง”

Gradiant ยังได้รับสัญญาสำหรับ:

  • การบำบัดน้ำที่โรงเบียร์ในแอฟริกาสำหรับลูกค้าด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ติดอันดับ Fortune 500
  • การบำบัดน้ำที่โรงงานผลิตยาในมาเลเซียสำหรับลูกค้าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
  • การบำบัดน้ำเสียและการกำจัดสารอินทรีย์ในอัตราสูงที่โรงงานผลิตส่วนผสมอาหารในประเทศมาเลเซียสำหรับลูกค้าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
  • โครงการบำบัดน้ำเสียสองโครงการสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่โดยหน่วยงานรัฐบาลของรัฐนิวเซาท์เวลส์ (ออสเตรเลีย)

“ด้วยการร่วมมือกับ Gradiant ลูกค้าอุตสาหกรรมทั่วโลกสามารถนำความยั่งยืนมาสู่การดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทานของพวกเขา” Govind Alagappan ประธานฝ่ายปฏิบัติการระดับโลกของ Gradiant กล่าว “เรามุ่งเน้นที่การบำบัด เพิ่มประสิทธิภาพ และการจัดการน้ำทุกอย่าง Gradiant จะพยายามช่วยเหลืออุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลกเพื่อทำให้ชีวิตของผู้คนปลอดภัยขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น และดีขึ้น”

เกี่ยวกับ Gradiant

Gradiant เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นระดับโลกสำหรับการบำบัดน้ำเสียขั้นสูง ด้วยชุดโซลูชั่นแบบ end-to-end ที่แตกต่างและเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Gradiant ที่ขับเคลื่อนโดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ  Gradiant ให้บริการแก่ลูกค้าในการดำเนินงานที่สำคัญต่อภารกิจในอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลก  Gradiant ก่อตั้งขึ้นที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ซ้ำใครในการจัดการกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นของโลกที่เกิดจากอุตสาหกรรม การเติบโตของประชากร และความต้องการทางน้ำ  ปัจจุบัน Gradiant มีพนักงานมากกว่า 450 คน ดำเนินงานจากสำนักงานใหญ่ระดับโลกในบอสตัน มีสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค และห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีระดับโลกในสิงคโปร์ และสำนักงานใน 12 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยม www.gradiant.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220927005112/en/

ติดต่อองค์กร:
Felix Wang
รองประธานฝ่ายการตลาด Gradiant
fwang@gradiant.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

upGrad เปิดตัว 10 วิทยาเขตทั่วโลก ตั้งเป้าจ้างดุษฎีบัณฑิต 1,000 คน

Logo

บริษัทตั้งเป้าที่จะพิชิต Indian Edtech Global โดยการสร้างสถาบันเทคโนโลยีอุบัติใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ATLANTA–(BUSINESS WIRE)–7 พฤศจิกายน 2022

Edtech major และบริษัทการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย upGrad ได้ประกาศย่างก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการศึกษาระดับอุดมศึกษาแบบออฟไลน์ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ UGDX” ซึ่งย่อมาจาก upGrad ที่ผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลอุบัติใหม่อย่างมหาศาล ปัจจัย "X" ของ UGDX ได้รับการเพิ่มเข้ามาโดย Data Science ที่เพิ่งได้รับมา, AI, สถาบันออฟไลน์ที่เน้น ML – INSOFE

ด้วยการลงทุน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ UGDX จะเปิดสถาบัน 10 แห่งในปีหน้า โดยมี 3 แห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสถาบันในซานฟรานซิสโกจะเปิดให้บริการในเดือนมกราคม ปี 2023 และ 5 แห่งในอินเดียทั่วเดลีและเจนไนเพื่อเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ในมุมไบ ไฮเดอราบัด และบังกาลอร์ ส่วนในสิงคโปร์และตะวันออกกลางจะมีที่ละ 1 สถาบัน

UGDX มีกำหนดจะถึงจุดคุ้มทุนในการดำเนินงานใน 5 (ห้า) ไตรมาสจากการเปิดตัว แผนดังกล่าวยังมีการรับสมัครคณาจารย์ในพื้นที่ต่าง ๆ และจะต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อรวมวิทยาเขต คณาจารย์ และองค์กรเข้าด้วยกันอย่างราบรื่นภายในระบบนิเวศเดียว UGDX เชี่ยวชาญในด้าน AI, Machine Learning, Cybersecurity, Blockchain, Connected Devices, IOT, Quantum Computing, Digital Management, Leadership courses และ The Cloud และจะนำเสนอหลักสูตรประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกในสาขาเหล่านี้

“ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของเราที่จะกลายเป็นบริษัท Higher Edtech แบบบูรณาการเต็มรูปแบบแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งครอบคลุมผู้เรียนในวิทยาลัยและผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานตั้งแต่อายุ 18 ถึง 60 ปีขึ้นไป นี่เป็นการขยับขยายตามธรรมชาติเมื่อเราเปลี่ยนไปใช้ระบบออฟไลน์และออนไลน์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวภายใต้แบรนด์ upGrad ของเราเอง” กล่าวโดย Ronnie Screwvala ผู้ร่วมก่อตั้งและประธาน upGrad

“โปรแกรม Work-Integrated Education ของ UGDX มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและแตกต่างจากมหาวิทยาลัยทั่วไป DNA ของเราจะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม และเรากำลังสร้างโปรแกรมที่จะเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาช่วยพลิกโฉมองค์กรต่าง ๆ การมีส่วนร่วมที่หลากหลายกับการเชื่อมต่อในอุตสาหกรรมจะช่วยให้ผู้เรียนของเรามีประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงตั้งแต่วันแรก โปรแกรมทั้งหมดของเรามีจำนวนโครงการรวบยอดความรู้จากการปฏิบัติเข้ากับหลักฐานเชิงประจักษ์ (capstone) และงานโครงการอย่างน้อยสองเท่าเมื่อเทียบกับโปรแกรมดั้งเดิม” กล่าวโดย ดร. Dakshinamurthy Kolluru ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ upGrad INSOFE ผู้ที่จะเป็นผู้นำของ UGDX ทั้งนี้ เขากล่าวเพิ่มเติมว่า "UGDX ทุกแห่งจะมีหน่วยบ่มเพาะเพื่อลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญาและส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่เพื่อกำหนดแนวคิดและสร้างสิทธิบัตรซึ่งจะได้รับการพัฒนาและเลี้ยงดูภายในสถาบันเอง"

ดร. Sridhar Pappu ประธาน UGDX กล่าวว่า "ในฐานะสถาบันชั้นนำ ผลกระทบต่อผู้เรียนและสังคมโดยรวมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเรา ดังนั้น คณาจารย์ที่ UGDX จะทำงานร่วมกับวิทยาลัยหลายแห่งในพื้นที่ใกล้เคียง และออกแบบโปรแกรมพัฒนาคณาจารย์ โปรแกรมอบรมเพื่อจุดประสงค์เฉพาะ (bootcamp) และโรงเรียนภาคฤดูร้อนฟรีสำหรับนักศึกษาที่ด้อยโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในทุกระดับ”

เกี่ยวกับ upGrad

upGrad เริ่มต้นในปี 2015 เป็นผู้บุกเบิกการปฏิวัติการศึกษาออนไลน์ โดยมุ่งเน้นที่การขับเคลื่อนความสำเร็จในอาชีพให้กับคนทำงานทั่วโลกกว่า 1.3 พันล้านคน เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) แบบบูรณาการไม่กี่แห่งในโลก ซึ่งครอบคลุมผู้เรียนในระดับวิทยาลัยไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานตั้งแต่กลุ่มอายุ 18-50 ปีและข้ามหลักสูตรระดับปริญญาตรี, หลักสูตร Campus & Job Linked, การศึกษาต่อต่างประเทศ, หลักสูตรระยะสั้นสำหรับหลักสูตรผู้บริหาร ไปจนถึงระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ด้วยฐานผู้เรียนมากกว่า 3 ล้านคนในกว่า 100 ประเทศและพันธมิตรมหาวิทยาลัยมากกว่า 300 รายและธุรกิจองค์กรที่แข็งแกร่งพร้อมฐานลูกค้ากว่า 1,000 บริษัททั่วโลก

Global Learning Engine ของ upGrad ตั้งอยู่บนสี่เสาหลักดังนี้ (ก) พื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของเนื้อหาต้นฉบับที่เป็นเจ้าของและ IP, (ข) แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ที่ดีที่สุดในระดับเดียวกัน, (ค) บริการจัดส่งแบบไฮทัชที่นำโดยคน ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยโค้ชและพี่เลี้ยง และ (ง) สถิติความสำเร็จของหลักสูตร 85% โดยได้รับการสนับสนุนจากผลงานอีก 80% ที่รับประกันประสิทธิภาพ

เรียกได้ว่าเป็นผู้นำด้าน EdTech ระดับสูงของเอเชียแล้ว โดยมีสำนักงานในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง อินเดีย สิงคโปร์ และเวียดนาม และมีสำนักงานอยู่ในอีกหลายประเทศ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Pragya Jha, upGrad, pragya.jha@upgrad.com

แหล่งข้อมูล: upGrad

Azbil เปิดตัวตัวควบคุมแบบ Single Loop ที่มีความแม่นยำสูงพร้อมการตอบสนองที่รวดเร็ว – ลดภาระของบุคลากร ตั้งแต่การติดตั้งไปจนถึงการบำรุงรักษา –

Logo

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–7 พฤศจิกายน 2022

Azbil Corporation (TOKYO:6845) ได้เริ่มจำหน่ายตัวควบคุมแบบ single loop รุ่น C1A ซึ่งมีความแม่นยำสูงและตอบสนองรวดเร็ว และลดภาระของบุคลากร ตั้งแต่การติดตั้งไปจนถึงการบำรุงรักษา

Tokyo-based Azbil Corporation has launched the model C1A single loop controller for use in the factory automation market (Photo: Business Wire)

Azbil Corporation ในโตเกียวได้เปิดตัวตัวควบคุมแบบ single loop รุ่น C1A สำหรับใช้ในตลาดโรงงานผลิตด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ (ภาพ: Business Wire)

แม้จะมีขนาดแผงด้านหน้าที่กะทัดรัด 48×48 มม. แต่ C1A ก็มีความแม่นยำสูงถึง ±0.1% ของค่าที่อ่านได้ (สำหรับเทอร์โมคัปเปิลหรือ Pt100 RTD) และการตอบสนองที่รวดเร็วด้วยรอบการสุ่มตัวอย่าง 25 มิลลิวินาที และมาพร้อมกับฟังก์ชันช่วยทุ่นแรงที่หลากหลายสำหรับแหล่งผลิต

ตัวควบคุมแบบ single loop จะเปรียบเทียบสัญญาณจากเซ็นเซอร์ด้วยค่าที่ตั้งไว้ ดำเนินการควบคุม PID*1 ตามค่าเบี่ยงเบน และสัญญาณควบคุมเอาต์พุตไปยังหัวขับเพื่อรักษาเป้าหมายการควบคุม (อุณหภูมิ ความดัน อัตราการไหล ฯลฯ) ให้อยู่ในระดับที่ถูกต้อง ตัวควบคุมเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในโรงงานและโรงงานผลิต Azbil มีตัวควบคุมแบบ single loop พร้อมฟังก์ชันต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการใช้งานในตลาดโรงงานผลิตด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ

ตามที่ระบุโดยโรงงานผลิตสารกึ่งตัวนำ (semiconductor) อุปกรณ์ขนาดกะทัดรัดและมีประสิทธิภาพสูงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพิ่มผลผลิตในพื้นที่โรงงานที่จำกัด ความต้องการสำหรับอุปกรณ์ เช่น ตัวควบคุมแบบ single loop ที่รวมอยู่ในอุปกรณ์อื่น ๆ กำลังเพิ่มขึ้นสำหรับขนาดที่เล็กลงและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังถือเป็นสิ่งสำคัญในขณะที่อุปกรณ์กำลังทำงาน เพื่อลดช่วงเวลาที่เครื่องไม่ทำงานโดยการรักษาความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะของกระบวนการอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันปัญหา อีกทั้งเพื่อรับมือกับปัญหา เช่น การลดลงของแรงงานที่มีทักษะและการขาดแคลนแรงงาน อุตสาหกรรมการผลิตได้หันไปใช้วิธีการปรับ PID ที่ใช้งานง่ายและสะดวกกว่า แทนที่จะใช้วิธีที่ต้องใช้คนงานที่มีประสบการณ์

แม้จะมีขนาดกะทัดรัด แต่ C1A ก็มีความแม่นยำสูงและตอบสนองด้วยความเร็วสูง ตัวบ่งชี้หลายสถานะช่วยให้บุคลากรในสถานที่สามารถเข้าใจสถานะกระบวนการควบคุมได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าการสื่อสารกับลอจิกคอลโทรลเลอร์ที่สามารถตั้งค่าโปรแกรมได้ (PLC) ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้โปรแกรมพิเศษ ทำให้ง่ายต่อการสร้างระบบสำหรับการตรวจสอบกระบวนการระยะไกล เช่น การใช้ระบบโฮสต์ แผงสัมผัส และอุปกรณ์ภายนอกอื่น ๆ

การใช้งานหลัก ๆ ของตัวควบคุมคือ การควบคุมอุณหภูมิโดยใช้อุปกรณ์ให้ความร้อนด้วยไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ามีวันเสื่อมสภาพและมีอายุการใช้งานที่จำกัด วิธีที่มีประสิทธิภาพในการหาสาเหตุการเสื่อมสภาพคือ การตรวจสอบความต้านทานของฮีตเตอร์ C1A คำนวณแรงดัน กระแส และความต้านทานของฮีตเตอร์โดยใช้หม้อแปลงแรงดัน (VT) และอินพุตของหม้อแปลงกระแสไฟฟ้า (CT) ค่าเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ที่แผงด้านหน้าของ C1A หรือใช้เพื่อส่งสัญญาณแจ้งเตือนหากเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า การตรวจสอบความต้านทานและอุณหภูมิที่ควบคุมทำให้เข้าใจสภาพของฮีตเตอร์ได้ง่ายและป้องกันฮีตเตอร์ร้อนจัดโดยไม่คาดคิด

นอกจากนี้ Smart Loader Package ของ C1A ยังรวมถึงโปรแกรมจำลอง PID ที่ใช้เทคโนโลยีการจำลอง Azbil ที่เป็นกรรมสิทธิ์เป็นคุณสมบัติมาตรฐาน เครื่องจำลอง PID ใช้ข้อมูลการทำงานเพื่อสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่สร้างลักษณะเฉพาะของวัตถุควบคุม ให้ผู้ใช้จำลองการควบคุม PID บนพีซีและลดเวลาในการปรับแต่ง

คุณสมบัติ

  • ความแม่นยำสูงถึง ±0.1% ของค่าที่อ่านได้ (สำหรับเทอร์โมคัปเปิลหรือ Pt100 RTD) และการตอบสนองที่มีความเร็วสูงด้วยรอบการสุ่มตัวอย่าง 25 มิลลิวินาที
  • จอแสดงผลตัวเลข 4.5 หลักที่แสดงค่าตั้งแต่ -19999 ถึง 19999 ในหน่วย 0.01°C ทำให้สามารถตรวจสอบเงื่อนไขของกระบวนการได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น
  • ตัวบ่งชี้หลายสถานะ นอกจากการตั้งค่าและค่าอินพุตของเซ็นเซอร์แล้ว ยังสามารถแสดงกราฟแท่งของ % เอาต์พุต MV และข้อมูลการทำงานอื่น ๆ ได้อีกด้วย ทำให้เข้าใจสถานะการควบคุมได้ง่าย
  • ฟังก์ชันการสื่อสารการเชื่อมต่อ PLC สำหรับการสื่อสารกับ PLC โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม
  • การตรวจสอบแผงด้านหน้าหรือเอาต์พุตแจ้งเตือนความต้านทานของฮีตเตอร์ที่คำนวณจากอินพุต CT/VT เพื่อให้เข้าใจสภาพของฮีตเตอร์
  • Smart Loader Package พร้อมฟังก์ชันการจำลอง PID ที่เป็นเหมือนคุณสมบัติมาตรฐาน ช่วยให้สามารถควบคุมได้ดีขึ้นผ่านการทำงานที่ใช้งานง่ายจากพีซี

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ต่อไปนี้
https://www.azbil.com/products/factory/factory-product/controller-recorder-communication-gateway/controller/c1a/index.html

ตามปรัชญาของ Azbil Group ในเรื่อง "ระบบควบคุมอัตโนมัติที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง" Azbil ตั้งเป้าหมายที่จะให้การสนับสนุน "ตามลำดับ" ให้กับสังคมที่ยั่งยืนและรับประกันการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้บริการแก้ไขปัญหาที่แหล่งผลิตที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า

*1 การควบคุมแบบป้อนกลับที่ทำงานบนพื้นฐานของการวัดเซ็นเซอร์เพื่อให้อุณหภูมิ ความดัน และตัวแปรอื่น ๆ ภายในอุปกรณ์การผลิตหรือการประมวลผลอยู่ในระดับที่ต้องการ ซึ่ง PID ขึ้นอยู่กับค่าสัดส่วน ปริพันธ์ และอนุพันธ์

เกี่ยวกับ Azbil Corporation

Azbil Corporation เดิมชื่อ Yamatake Corporation เป็นบริษัทชั้นนำในด้านการสร้างและระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีการวัดและการควบคุมเพื่อจัดหาโซลูชันที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้กับลูกค้าเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น Azbil ก่อตั้งขึ้นในปี 1906 ให้บริการลูกค้าทั่วโลกในหลากหลายอุตสาหกรรมและมีเป้าหมายที่จะมีส่วนร่วมในความปลอดภัย ความสะดวกสบายและการบรรลุผลสำเร็จของผู้คน รวมถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลก เมื่อสิ้นเดือนมีนาคม ปี 2022 Azbil จ้างงานกว่า 10,000 คนทั่วโลกและสร้างรายได้กว่า 256 พันล้านเยน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://www.azbil.com/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52962270/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Azbil Corporation
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
Robert Jones
โทร: +81-3-6810-1006
r.jones.j7@azbil.com

แหล่งข้อมูล: Azbil Corporation

Huawei เสนอโซลูชันที่เน้นนวัตกรรม F5.5G เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการบรรลุการเติบโตของธุรกิจใหม่

Logo

กรุงเทพฯ ประเทศไทย–(BUSINESS WIRE)–4 พฤศจิกายน 2022

ในการประชุมสุดยอด Green All-Optical Network ของ Ultra-Broadband Forum (UBBF 2022) ครั้งที่ 8 Kim Jin รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ออปติคัลของ Huawei ได้กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ "นวัตกรรมที่มุ่งเน้น F5.5G ขับเคลื่อนการเจริญเติบโต" ในการบรรยาย Kim Jin ได้อธิบายถึงโอกาสและความท้าทายในด้านการสื่อสารด้วยแสงในระหว่างการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้กับทุกภาคส่วนของธุรกิจทั่วโลก อีกทั้งเขายังนำเสนอโซลูชันนวัตกรรมที่สำคัญของ Huawei เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการประสบความสำเร็จทางธุรกิจในตลาดภายในประเทศและองค์กรในช่วงวิวัฒนาการสู่ F5.5G นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้ทั้งอุตสาหกรรมคว้าโอกาสแห่งยุคดิจิทัล เริ่มปรับใช้โซลูชันที่เป็นนวัตกรรม และเปิดรับการเติบโตใหม่ในอุตสาหกรรมการสื่อสาร

 Kim Jin รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ออปติคัลของ Huawei ci5.googleusercontent.com/proxy/2-ff8iT0alAZZivS2F–sgIZZgw1MP6hArNF29Nm4Ej8u8v5WfgOMAnzkq1JToAZNsuk7MkEC01bpUnoeSJcXQT2Bp41VDrCp_1vyStm4SMA0xhA-TzCf3I-Kija=s0-d-e1-ft#https://mms.businesswire.com/… ” />

Kim Jin รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ออปติคัลของ Huawei (ภาพ: Business Wire)

เนื่องจากการพัฒนาของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมแบบดั้งเดิมนั้นช้าลง จึงจำเป็นต้องมีจุดที่ทำให้เติบโตใหม่ อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของอุตสาหกรรมโฮมบรอดแบนด์ทั่วโลกยังไม่ได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความครอบคลุมบรอดแบนด์ภายในบ้านและประสบการณ์เครือข่ายภายในบ้าน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของอุตสาหกรรมจะครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นสำหรับการเติบโตของตลาดโทรคมนาคม การบริการสำหรับบ้านและองค์กรระดับพรีเมียมคาดว่าจะเติบโตมากกว่า 10% ทุกปีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อเทียบกับฉากหลังนี้ การเตรียมความสามารถของเครือข่ายล่วงหน้าจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ให้บริการในการคว้าโอกาสทางดิจิทัลในคลื่นลูกถัดไป ด้วยเหตุนี้ Huawei จึงได้พัฒนาโซลูชันการสร้างเครือข่าย CO+X ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ FTTR สำหรับโซลูชันภายในบ้าน โซลูชัน Super Site แบบออปติคัลทั้งหมด โซลูชัน OptiX Alps-WDM และโซลูชันเครือข่ายแกนหลักแบบตาข่าย 3 มิติ 400G OXC เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการประสบความสำเร็จทางธุรกิจในอนาคต

โซลูชันการสร้างเครือข่าย CO+X: เร่งการปรับใช้บรอดแบนด์ประจำที่

เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการเข้าถึงบริการบรอดแบนด์ประจำที่เพื่อให้บ้านแต่ละหลังได้รับความเร็วที่เร็วขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง Huawei จึงได้พัฒนาโซลูชันการสร้างเครือข่าย CO+X ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ในโซลูชันนี้ OLT หลายสาขาได้ขยายจาก OLT ในห้องอุปกรณ์ CO ซึ่ง OLT ของสาขาเหล่านี้สามารถติดตั้งในตู้ข้างถนนหรือติดตั้งบนผนังหรือเสาได้ และสามารถจัดการในลักษณะบูรณาการได้ โซลูชันนี้ช่วยให้ผู้ให้บริการครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้นอย่างรวดเร็วโดยใช้ทรัพยากรห้องอุปกรณ์ CO น้อยลง เร่งการสร้างเครือข่าย FTTH อย่างมีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการก่อสร้างโดยรวมลง 23% นอกจากนี้ Huawei ได้เปิดตัวโซลูชัน DQ-ODN ที่ใช้โหมดการเชื่อมต่อล่วงหน้าเพื่อแทนที่โหมดการสร้างเครือข่ายแบบดั้งเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพซึ่งอาศัยการสไปซ์สายไฟเบอร์ โซลูชัน DQ-ODN เพิ่มประสิทธิภาพการก่อสร้าง 30% และลดต้นทุนการก่อสร้าง ODN ของผู้ให้บริการได้อย่างมาก

FTTR สำหรับโซลูชันภายในบ้าน: นิยามใหม่ของประสบการณ์โฮมบรอดแบนด์

ด้วยการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดโฮมบรอดแบนด์ การมอบประสบการณ์คุณภาพที่แตกต่างจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของผู้ให้บริการ Huawei ได้เปิดตัว FTTR นวัตกรรมสำหรับโซลูชันภายในบ้านที่ขยายเครือข่ายกิกะบิตไปยังห้องต่างๆ โดยใช้การเชื่อมต่อด้วยไฟเบอร์ออปติก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โซลูชันนี้ใช้ใยแก้วนำแสงแบบโปร่งใสที่ยืดหยุ่นเป็นพิเศษเพื่อขยายไปยังแต่ละห้องในบ้าน โดยให้สัญญาณ Wi-Fi ความเร็วสูงครอบคลุมในแต่ละห้อง ด้วยการควบคุมแบบรวมศูนย์และการประสานสัญญาณ Wi-Fi โซลูชันนี้ช่วยลดการรบกวน เพิ่มความเร็วในการโอนย้ายโรมมิ่ง และทำให้ได้รับประสบการณ์บรอดแบนด์กิกะบิตที่ราบรื่นทั่วทุกมุมของบ้าน

โซลูชัน Super Site แบบออปติคัลทั้งหมด: ปรับปรุงคุณภาพการเชื่อมต่อ

เพื่อให้บริการแก่องค์กรได้ดียิ่งขึ้น Huawei ได้พัฒนาโซลูชันการปรับใช้เว็บไซต์ร่วม OLT+OTN ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยโซลูชันนี้ Huawei ได้สร้างเครือข่ายการเข้าถึงแบบออปติคัล ODN เพื่อจัดเตรียมรูปแบบเครือข่ายสี่ประเภทในการเชื่อมต่อองค์กรขนาดใหญ่ องค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง องค์กรขนาดเล็กและขนาดไมโคร และบ้านตามลำดับ ผู้ให้บริการสามารถเลือกคุณภาพการเชื่อมต่อเฉพาะตามความต้องการของการบริการในสถานการณ์เฉพาะได้ โดยลด TCO ลงประมาณ 50% ซึ่งบนพื้นฐานของความครอบคลุมในทุกสถานการณ์ โซลูชันเส้นทางส่วนตัวของ OSU ยังสามารถใช้การเชื่อมต่อเส้นทางส่วนตัวระดับองค์กรที่รวดเร็วในโหมด end-to-end รองรับการปรับแบนด์วิดท์ตามความต้องการจาก 2 Mbps ถึง 100 Gbps และให้บริการเส้นทางการสื่อสารส่วนตัวที่ยืดหยุ่นและมีคุณภาพสำหรับองค์กรต่างๆ

โซลูชัน OptiX Alps-WDM: ทำให้เครือข่ายมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

Huawei ยังได้เปิดตัวโซลูชัน OptiX Alps-WDM เพื่อจัดการกับความต้องการแบนด์วิดท์ที่ไม่สม่ำเสมอของเครือข่ายเมโทร ตลอดจนข้อกำหนดสำหรับการปรับแต่งทรัพยากรความยาวคลื่นที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โซลูชันนี้ใช้เทคโนโลยีทรัพยากรร่วมสำหรับความยาวคลื่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ด้วยเทคโนโลยีนี้ จำเป็นต้องมีส่วนประกอบน้อยลงในแต่ละโหนดการรวมกลุ่มของเมโทร และสามารถใช้ทรัพยากรความยาวคลื่นร่วมกันและปรับแต่งได้อย่างยืดหยุ่นระหว่างวงแหวนการเข้าถึงที่เชื่อมต่อ ด้วยวิธีนี้ สามารถจัดสรรแหล่งข้อมูลสำหรับการส่งได้อย่างยืดหยุ่น ลดต้นทุนการบำรุงรักษาเครือข่ายได้มากกว่า 20% อีกทั้งโซลูชันนี้ยังรองรับพัฒนาการที่ราบรื่นจาก 100G เป็น 400G

โซลูชันเครือข่ายแกนหลักแบบตาข่าย 3 มิติ 400G OXC: สร้างเครือข่ายแกนหลักแบบอัลตราบรอดแบนด์

ด้วยการถือกำเนิดของคลื่นดิจิทัลในอุตสาหกรรมต่างๆ เครือข่ายจะต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้น 10 เท่าทั้งในด้านปริมาณการเชื่อมต่อและปริมาณการรับส่งข้อมูล เครือข่ายของผู้ให้บริการต้องมีความสามารถอันทรงพลังที่สร้างขึ้นล่วงหน้าเพื่อเปิดรับโอกาสใหม่ ๆ ที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาต่อยอดธุรกิจในอุตสาหกรรม เพื่อจัดการกับความท้าทายนี้ Huawei ได้เปิดตัวโซลูชันเครือข่ายแกนหลักแบบตาข่าย 3 มิติ 400G พร้อมสเปกตรัมออปติคัลกว้างพิเศษ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสเปกตรัมของไฟเบอร์ออปติก 50% และลดต้นทุนต่อบิตลง 30% โซลูชันนี้ช่วยให้ผู้ให้บริการสร้างเครือข่ายแกนหลักที่มีแบนด์วิดท์สูงพิเศษและมีความน่าเชื่อถือสูง

ในงาน HUAWEI CONNECT ที่จัดขึ้นในเดือนกันยายนปีนี้ Huawei ได้เปิดตัวเอกสารข้อมูลชุด "Striding Towards the Intelligent World" ซึ่งรวมถึงเอกสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายออปติคัล F5.5G เอกสารนี้ชี้ให้เห็นทิศทางการพัฒนาในอนาคตและแนวโน้มเทคโนโลยีของเครือข่าย F5.5G โซลูชันนวัตกรรมที่สำคัญของ Huawei จะส่งเสริมวิวัฒนาการ F5.5 ของอุตสาหกรรมต่อไป Kim Jin กล่าวว่า "Huawei ยินดีที่จะทำงานร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรเพื่อก้าวไปสู่ ​​F5.5G และสร้างการเชื่อมต่อแบบออปติคัลที่แพร่หลายและ OTN เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมเปิดรับการเติบโตรูปแบบใหม่"

ตั้งแต่วันที่ 27-28 ตุลาคมปีนี้ การประชุม Ultra-Broadband Forum (UBBF) ครั้งที่ 8 ซึ่งร่วมเป็นเจ้าภาพโดย UN Broadband Commission และ Huawei จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งการประชุมนี้รวบรวมผู้ประกอบการชั้นนำระดับโลก ผู้นำในอุตสาหกรรม หน่วยงานกำกับดูแล องค์กรมาตรฐาน พันธมิตรในอุตสาหกรรม และอื่น ๆ อีกมากมาย และมุ่งเน้นไปที่หัวข้อ "ก้าวสู่อัลตร้าบรอดแบนด์ 5.5G" โดยจะวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจที่เครือข่ายอัลตราบรอดแบนด์นำมาสู่การพัฒนาบ้านและอุตสาหกรรมดิจิทัลอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสำรวจวิวัฒนาการและทิศทางการพัฒนานวัตกรรมของอุตสาหกรรมเครือข่ายแบบประจำที่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52955044/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Huawei, Rita Peng, +8613120012305, pengqiuyu1@huawei.com

Black & Veatch แต่งตั้ง Ruturaj Govilkar ให้เป็นผู้นำธุรกิจอินเดียในฐานะลูกค้ารุ่นใหม่ผู้มองหาโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดคาร์บอน ยั่งยืน และมีความยืดหยุ่น

Logo

เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย–(BUSINESS WIRE)–4 พฤศจิกายน 2022

Black & Veatch ผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ ได้แต่งตั้ง Ruturaj Govilkar ให้เป็นผู้จัดการประจำประเทศและเป็นกรรมการผู้จัดการของอินเดีย เพื่อคุมการเติบโตของบริษัท เขาจะมาดูแลธุรกิจทุกด้านของ Black & Veatch ภายในประเทศ

ข่าวดังกล่าวเป็นไปตามคำมั่นสัญญามูลค่า 100 ล้านล้านรูปีของอินเดียเมื่อไม่นานมานี้ (ประมาณ 1.35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) คำมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในช่วง 25 ปีต่อจากนี้ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างงาน และสามารถพึ่งพาตนเองในด้านพลังงานภายในปี 2047 ด้วยผู้เชี่ยวชาญในประเทศที่มีมากกว่า 800 คนประจำอยู่ที่เมืองมุมไบและเมืองปูเน่ โดยทีมจะใช้ผลงานทั้งหมดในด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างระดับโลกของบริษัทในการมอบโซลูชันที่เข้ากับท้องถิ่นแบบผสานรวมสำหรับลูกค้าชาวอินเดีย

"มีนักพัฒนาชาวอินเดียรุ่นใหม่และธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการความน่าเชื่อถือ คุณภาพ และผลประโยชน์ที่ยั่งยืนมากขึ้นจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มตั้งแต่การปรับใช้โซลูชันด้านพลังงานใหม่ ไปจนถึงการออกแบบ การสร้างศูนย์ข้อมูลและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านอุตสาหกรรมและการประมวลผลอื่นๆ” กล่าวโดย Govilkar “การใช้ประโยชน์จากมาตรฐานและเทคโนโลยีระดับโลกขั้นสูงของ Black & Veatch ทำให้ลูกค้ามีโอกาสที่จะลดต้นทุนการดำเนินงาน ปรับปรุงให้น่าเชื่อถือและยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงตอบสนองความคาดหวังใหม่ๆ เพื่อผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม”

การดำเนินงานในอินเดียของ Black & Veatch ได้ให้โซลูชันโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจรสำหรับลูกค้าในอินเดีย ตลอดจนทรัพยากรด้านวิศวกรรมที่เชี่ยวชาญและมีคุณภาพสูงสำหรับโครงการ Black & Veatch ที่ส่งไปทั่วโลก

“Ruturaj นำประสบการณ์มากมายจากโครงการระดับนานาชาติในยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย และประสบการณ์จากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น น้ำมัน ก๊าซ น้ำ และพลังงาน” Hoe Wai Cheong ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black & Veatch กล่าว “เขาเหมาะสมอย่างยิ่งกับตำแหน่งที่จะต้องแนะนำลูกค้าชาวอินเดียผู้กำลังสำรวจหาโอกาสต่างๆ อันเป็นผลมาจากเมกะเทรนด์ระดับโลก เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิงสะอาด การทำให้คาร์บอนเป็นศูนย์ การแปลงเป็นดิจิทัล และความยืดหยุ่น”

Govilkar ทำงานให้ Black & Veatch มาหลายบทบาทตั้งแต่ที่เข้ามาในปี 2010 เขามีประสบการณ์มากกว่า 30 ปีในอุตสาหกรรมวิศวกรรมและการก่อสร้างระดับโลก อีกทั้งยังสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมเคมีจากมหาวิทยาลัย Nagpur

คลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดรูปประกอบเสริม

ข้อความจากบรรณาธิการ:

• Black & Veatch ให้การสนับสนุนชุมชนในอินเดียมาตั้งแต่ปี 1969 และสืบทอดสิ่งต่างๆ มาจากหน่วยงานที่เข้าครอบครองก่อนหน้านี้ซึ่งมีความเป็นมาย้อนหลังนานขึ้นไปกว่านั้น ผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 800 คนจากสถานที่สองแห่งในอินเดียทำโครงการด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างทั่วโลกและภายในอินเดีย โครงการล่าสุดได้แก่ สถานีเติมก๊าซธรรมชาติแห่งแรกทางชายฝั่งตะวันออกของอินเดีย ซึ่งเป็นสถานีจัดเก็บและเติมก๊าซธรรมชาติแบบลอยน้ำแห่งแรกในรัฐคุชราตของอินเดีย และอีกโครงการคือการเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์ของ Adani Power โดยลดต้นทุนการดำเนินงานและการปล่อยมลพิษ

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทด้านวิศวกรรม จัดซื้อ ให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่มีพนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ พร้อมผลงานด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนซึ่งมีมานานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยลูกค้าของเราปรับปรุงชีวิตของผู้คนทั่วโลกด้วยการแก้ปัญหาเรื่องความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ในรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา รายได้ของเราในปี 2021 มีมากกว่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และทางโซเชียลมีเดีย

ติดต่อ

EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | +65 9875 8907 M | Chialp@bv.com

แหล่งที่มา: Black & Veatch

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

The Bangkok Reporter