MethaneSAT ขึ้นสู่วงโคจรแล้ว หลัง SpaceX เริ่มภารกิจล้ำสมัยเพื่อปกป้องสภาพภูมิอากาศ

Logo

ดาวเทียมดวงแรกที่พัฒนาโดยองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงผลกำไรจะมองเห็นการปล่อยก๊าซมีเทนที่ไม่มีดาวเทียมดวงไหนมองเห็น ซึ่งจะนำไปสู่ความรับผิดชอบที่มากขึ้นและลดการปล่อยก๊าซได้เร็วขึ้น

VANDENBERG SFB, LOMPOC, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–5 มีนาคม 2024

วันนี้ หลัง 16:00 น. ที่ผ่านมาตามเวลาแปซิฟิก MethaneSAT ได้แยกตัวออกจาก SpaceX Transporter-10 ที่นำดาวเทียมติดตามการปล่อยก๊าซดังกล่าวขึ้นสู่อวกาศสำเร็จ ดาวเทียมล้ำสมัยนี้ได้รับการออกแบบเพื่อช่วยปกป้องสภาพภูมิอากาศของโลกด้วยการเร่งการลดมลพิษจากก๊าซเรือนกระจกที่กำลังสร้างปัญหาอย่างรุนแรง โดยมุ่งเน้นไปที่การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซซึ่งเป็นต้นกำเนิดหลักของก๊าซมีเทนก่อนเป็นอันดับแรก

MethaneSAT (Photo: Business Wire)

MethaneSAT (รูปภาพ: Business Wire)

คุณสามารถดูชุดข้อมูลสื่อดิจิทัลซึ่งประกอบด้วยรูปถ่าย วิดีโอ และกราฟิกได้ที่นี่

MethaneSAT ซึ่งพัฒนาโดยหน่วยงานในเครือขององค์กรไม่แสวงหากำไรระดับโลกอย่าง Environmental Defense Fund จะมองเห็นและวัดปริมาณการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดในบริเวณกว้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดาวเทียมดวงอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ และระบุตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซในสถานที่ที่ไม่มีดาวเทียมดวงไหนเฝ้ามอง ข้อมูลที่ได้จาก MethaneSAT จะช่วยให้ทั้งบริษัทต่างๆ และหน่วยงานกำกับดูแลสามารถสืบสาวต้นตอของการปล่อยก๊าซ และเปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ประชาชน หน่วยงานรัฐ และนักลงทุนเข้าถึงข้อมูลแบบเกือบเรียลไทม์ได้ฟรี อีกทั้งยังสามารถเปรียบเทียบผลลัพธ์กับเป้าหมายและหน้าที่ด้านการปล่อยก๊าซได้เป็นที่แรกอีกด้วย

“การลดมลพิษจากก๊าซมีเทนซึ่งได้จากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิล เกษตรกรรม และภาคส่วนอื่นๆ เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยชะลออัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกได้เร็วที่สุด ร่วมกับความพยายามกำจัดคาร์บอนจากระบบพลังงานของเราอย่างต่อเนื่อง” Fred Krupp ประธาน EDF กล่าว “การจะทำเช่นนั้นได้จำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษนี้ที่ครอบคลุมทั่วโลก MethaneSAT จะแสดงให้เราเห็นโอกาสแบบภาพรวมด้วยการสืบสาวการปล่อยก๊าซไปจนถึงแหล่งที่มา”

Krupp ประกาศเปิดตัว MethaneSAT ใน TED Talk ปี 2018 โดยเป็นส่วนหนึ่งของ TED Audacious Project EDF เป็นผู้นำระดับโลกด้านวิทยาศาสตร์และการแก้ปัญหาเกี่ยวกับก๊าซมีเทนมานานกว่าทศวรรษ โดยเป็นองค์กรแรกที่ชี้ให้เห็นความสำคัญของปัญหานี้ด้วยการดำเนินการศึกษาวิจัยอิสระ 16 ชิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซมีเทนในห่วงโซ่อุปทานน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ สูงกว่าการประมาณการของ EPA ถึง 60% ซึ่ง MethaneSAT คือผลลัพธ์จากความพยายามเหล่านี้โดยตรง

“MethaneSAT มีความพิเศษอยู่ที่ความสามารถในการวัดระดับก๊าซมีเทนในบริเวณกว้างได้อย่างแม่นยำและมีความละเอียดสูง รวมถึงแหล่งกำเนิดที่มีขนาดเล็กและกระจัดกระจายซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการปล่อยก๊าซมากที่สุดในหลายภูมิภาค” Steven Hamburg หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ EDF และหัวหน้าโปรเจ็กต์ MethaneSAT กล่าว “การได้รู้ว่าก๊าซมีเทนมาจากไหนในปริมาณเท่าใดและมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการปล่อยก๊าซมากน้อยเพียงใดนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง”

MethaneSAT ซึ่งโคจรรอบโลก 15 ครั้งต่อวันจะวัดการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของก๊าซมีเทนได้ละเอียดถึง 3 ในหนึ่งพันล้านส่วน เมื่อการตรวจจับความไวสูงทำงานร่วมกับการมองเห็นที่มีระยะการมองที่กว้างและมีความละเอียดสูงก็จะทำให้ MethaneSAT มองเห็นภาพการปล่อยก๊าซทั้งหมด (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่)

ความสามารถพิเศษเหล่านี้ช่วยเปิดศักราชด้านความโปร่งใสให้กับอุตสาหกรรม ทุกคนสามารถดูข้อมูลการปล่อยก๊าซที่สามารถโต้ตอบได้โดยตรงที่ www.MethaneSAT.org และบน Google Earth Engine ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มข้อมูลภูมิสารสนเทศชั้นนำที่มีผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์กว่า 100,000 รายใช้งาน

MethaneSAT เกิดขึ้นได้ด้วยการสนับสนุนจากผู้ที่บริจาคให้กับ EDF และความร่วมมือระหว่างเรากับรัฐบาลนิวซีแลนด์ โดยมี Bezos Earth Fund, Arnold Ventures, Robertson Foundation และ TED Audacious Project เป็นองค์กรที่มีส่วนร่วมในการสร้าง MethaneSAT รายใหญ่ที่สุด

“การปล่อยก๊าซมีเทนเป็นสิ่งที่ทุกคนมองข้ามและตรวจพบได้ยากมาเป็นเวลานานมากๆ” ดร. Kelly Levin หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ ข้อมูล และการเปลี่ยนแปลงระบบของ Bezos Earth Fund กล่าว “MethaneSAT ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงสมการ โดยให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และข้อมูลเป็นอันดับแรก มันเห็นสิ่งที่ดาวเทียมดวงอื่นๆ มองไม่เห็นจากอวกาศ คอยช่วยเหลือคนดีและทำให้ผู้ร้ายต้องรับผิดชอบ Bezos Earth Fund รู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือในการผจญภัยครั้งนี้”

ในเดือนธันวาคม EDF ได้ร่วมมือกับ Bloomberg Philanthropies, International Energy Agency, RMI และ International Methane Emission Observatory ภายใต้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ในโครงการริเริ่มใหม่โครงการแรกที่กำหนดให้บริษัทและรัฐบาลต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นในการจัดการก๊าซมีเทนของตน

“คุณไม่สามารถจัดการสิ่งที่คุณไม่สามารถวัดได้ คำกล่าวนี้ยิ่งเป็นความจริงเมื่อพูดถึงการลดก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” Michael R. Bloomberg ผู้แทนพิเศษด้านความมุ่งมั่นและการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศของเลขาธิการสหประชาชาติ และผู้ก่อตั้ง Bloomberg LP และ Bloomberg Philanthropies กล่าว “ข้อมูลจากดาวเทียมนี้จะช่วยให้เราวัดการปล่อยก๊าซมีเทนและระบุแหล่งที่มาได้ดีขึ้น ช่วยให้เข้าใจปัญหาได้ง่ายขึ้น ทำให้บริษัทและนักลงทุนได้รับข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินการแก้ไข และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้สาธารณชนกดดันให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบได้”

นอกเหนือจากการระบุแหล่งที่มาและอัตราการปล่อยก๊าซในภูมิภาคนั้นๆ แล้ว MethaneSAT ยังช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบอัตราการลดการปล่อยก๊าซในภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันและก๊าซหลักๆ ทั่วโลก ตลอดจนประสิทธิภาพเมื่อผ่านไประยะหนึ่งได้อีกด้วย การวิเคราะห์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับภารกิจนี้เป็นพิเศษจะสืบสาวการปล่อยก๊าซดังกล่าวกลับไปจนถึงแหล่งที่มาภายในภูมิภาคเป้าหมายเหล่านั้น

“เราพบว่าข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือสูงส่งผลให้เกิดมาตรการป้องกันด้านระเบียบข้อบังคับที่เข้มแข็ง และมีแนวทางปฏิบัติในการดำเนินงานในอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ดีคือรากฐานที่ช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น” Mark Brownstein รองประธานอาวุโสฝ่าย Energy Transition ของ EDF กล่าว

ในเดือนมกราคม รัฐบาลไบเดนได้เสนอกฎการเก็บค่าธรรมเนียมการปล่อยก๊าซมีเทนส่วนเกิน ซึ่งจะกำหนดให้ต้องมีการรายงานการปล่อยก๊าซที่ถูกต้อง กฎหมายของสหภาพยุโรปเห็นชอบในเดือนพฤศจิกายนให้จัดทำแผนภูมิแนวทางในการกำหนดให้ผู้นำเข้าก๊าซต้องให้ข้อมูลการปล่อยก๊าซเชิงประจักษ์ ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีซึ่งเป็นชาติที่ซื้อก๊าซ LNG รายใหญ่ที่สุดสองราย ก็ได้ออกแผนการที่จะเริ่มขอข้อมูลการปล่อยก๊าซจากซัพพลายเออร์

เมื่อมีการนำมาตรฐานเกี่ยวกับก๊าซมีเทนมารวมไว้ในนโยบายระดับชาติและข้อตกลงทางการค้า MethaneSAT จะช่วยให้มั่นใจได้ว่ามีการดำเนินการตรงตามเป้าหมาย และให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าการลดการปล่อยก๊าซที่กล่าวอ้างนั้นบกพร่องในจุดใด

ประเทศต่างๆ กว่า 150 ประเทศได้ลงนามในประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยการปล่อยก๊าซมีเทน เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนโดยรวมให้ได้อย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์จากระดับปี 2020 ภายในปี 2030 ในขณะที่การประชุม COP 28 บริษัทต่างๆ กว่า 50 บริษัทได้ออกกฎบัตรการลดคาร์บอนจากน้ำมันและก๊าซ โดยมุ่งมั่นที่จะกำจัดการปล่อยก๊าซมีเทนและการปล่อยก๊าซส่วนเกินซึ่งเกิดจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมอย่างยั่งยืน

นอกเหนือจาก EDF ซึ่งเป็นองค์กรแม่แล้ว พันธมิตรของ MethaneSAT ยังประกอบด้วยคณะวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หอดูดาวฟิสิกส์ดาราศาสตร์สมิธโซเนียน และองค์การอวกาศนิวซีแลนด์ โดยทีมภารกิจร่วมนี้มีผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 70 คนจากทั่วโลกที่มีประสบการณ์ในการบินอวกาศ การสำรวจระยะไกล และการวิเคราะห์ข้อมูล

ดาวเทียมดวงนี้สร้างขึ้นในโคโลราโดโดยหน่วย Space & Mission Systems ของบริษัท BAE Systems, Inc. (เดิมชื่อ Ball Aerospace) และ Blue Canyon Technologies

MethaneSAT, LLC เป็นบริษัทในเครือของ Environmental Defense Fund, Incorporated ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่แสวงผลกำไรชั้นนำ EDF เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย ตลอดจนความร่วมมือภาคเอกชนเชิงนวัตกรรมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างแนวทางแก้ไขเชิงปฏิรูปต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงที่สุด ติดตามเราทาง Twitter ได้ที่ @MethaneSAT หรือติดต่อเราที่ www.MethaneSat.org ลิขสิทธิ์ © 2024 MethaneSAT, LLC สงวนลิขสิทธิ์

Environmental Defense Fund (edf.org) ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่แสวงผลกำไรระดับโลก สร้างสรรค์แนวทางแก้ไขเชิงปฏิรูปต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงที่สุด โดย EDF เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย และความร่วมมือภาคเอกชนเชิงนวัตกรรมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างสรรค์แนวทางเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายของ EDF ซึ่งมีสำนักงานและสมาชิกมากกว่า 3 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา จีน เม็กซิโก อินโดนีเซีย และสหภาพยุโรป ทำงานใน 28 ประเทศเพื่อให้แนวทางแก้ไขของเราปฏิบัติได้จริง ติดต่อเราทาง Twitter ที่ @EnvDefenseFund

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: http://www.businesswire.com/news/home/53905350/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Lexie Michel, Sun Public Relations, lexie@sunpr.com หรือ 952-457-1418
Lauren Whittenberg, Environmental Defense Fund, lwhittenberg@edf.org หรือ 512-784-2161

แหล่งข้อมูล: Environmental Defense Fund

King Power Corporation ขับเคลื่อนการลดต้นทุนการดำเนินงานและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าด้วย 8×8

Logo

ผู้ค้าปลีกปลอดภาษีปรับมาใช้ 8×8 SMS API เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอีคอมเมิร์ซและลดต้นทุนการดำเนินงานลง 30%

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–6 มีนาคม 2024

8×8, Inc. (NASDAQ: EGHT), ซึ่งเป็นศูนย์ติดต่อบนคลาวด์ครบวงจรชั้นนำ การสื่อสารแบบครบวงจร และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการสื่อสารในฐานะบริการ (CPaaS) ได้ประกาศในวันนี้ว่า  ได้นำโซลูชั่น SMS API ของ 8×8 มาบูรณาการเข้ากับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ในขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนการดำเนินงานลง 30% ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มบริษัทKing Power Corporation เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกปลอดภาษีรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ค้นหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอีคอมเมิร์ซด้วยการยกระดับประสบการณ์การสื่อสารกับลูกค้าและพนักงาน นอกจากนี้ บริษัทยังต้องการโซลูชันการสื่อสารที่รองรับการปรับขนาดได้และมีความคุ้มค่า King Power Corporation ได้เลือก 8×8 SMS API ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกที่ทุกเวลาด้วยการแจ้งเตือนอัตโนมัติ รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว การเตือนความจำ และการแจ้งเตือน

นับตั้งแต่ใช้ 8×8 SMS API กลุ่มบริษัท King Power Corporation พบว่ามีอัตราการส่ง SMS ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มบริษัท King Power Corporation ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซด้วยการอำนวยความสะดวกในการประมวลผลคำสั่งซื้อ การตรวจสอบลูกค้า และการแจ้งเตือนทาง SMS ที่ตรงเวลาผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

“ปัจจุบันกลุ่มบริษัท King Power Corporation ส่งข้อความ SMS ให้กับลูกค้ามากกว่า 850,000 รายต่อปี” คุณ Boonthavee Jarudomrongsak รองประธานฝ่าย Digital Delivery Management กลุ่มบริษัท King Power Corporation กล่าว “ด้วย 8×8 เราสามารถมอบประสบการณ์อีคอมเมิร์ซที่ยกระดับให้กับลูกค้าที่ตามที่พวกเขาต้องการและคาดหวังจากกลุ่มบริษํท King Power Corporation ทั้งบนเว็บไซต์และแอพของเรา”

“ลูกค้านั้นคาดหวังการบริการลูกค้าในระดับสูงเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการที่เรามอบเครื่องมือสื่อสารที่จำเป็นให้กับบริษัทต่างๆ เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก” คุณ Stephen Hamill ผู้จัดการทั่วไป CPaaS ของ 8×8, Inc. กล่าวว่า “ที่ 8×8 เรายังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชั่นการสื่อสารที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจต่างๆ บรรลุวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนความคิดริเริ่มในการประหยัดต้นทุนที่น่าประทับใจ อย่างที่ กลุ่มบริษัท King Power Corporation สามารถทำสำเร็จได้”

8×8 CPaaS ซึ่งรวมถึง SMS, messaging apps, voice, และ video interaction ทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการสื่อสารทางธุรกิจและประสบการณ์ของลูกค้าในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา 8×8 CPaaS เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ติดต่อบนคลาวด์แบบบูรณาการของ 8×8 และแพลตฟอร์มการสื่อสารแบบครบวงจร ซึ่งรวมถึง contact center, business phone, team chat, video meetings และความสามารถด้าน SMS

เกี่ยวกับ 8×8 Inc.

8×8, Inc. (NASDAQ: EGHT) กำลังเปลี่ยนแปลงอนาคตของการสื่อสารทางธุรกิจในฐานะซอฟต์แวร์ชั้นนำเเละในฐานะผู้ให้บริการ 8×8 XCaaS™ (Experience Communications as a Service™) ซึ่งเป็นศูนย์ติดต่อแบบครบวงจร การสื่อสารด้วยเสียง วิดีโอ แชท และ โซลูชัน SMS ที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มการสื่อสารบนคลาวด์ระดับโลกแห่งเดียว 8×8 กำจัดไซโล (ไซโล) ทําไห้ยังคงบริการสื่อสารแบบครบวงจร (Unified Communications as a Service:UCaaS) และ Contact Center as a Service (CCaaS) สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในการควบคุมด้านการสื่อสารของพนักงานทุกคนทั่วโลกในปัจจุบัน เพื่อเป็นการให้ประสบการณ์แก่ลูกค้าของเรา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม www.8×8.com หรือติดตาม 8×8 ได้ใน LinkedIn, X และ Facebook

8×8®, 8×8 XCaaS™, Experience Communications as a Service™, Experience Communications Platform™ เป็นเครื่องหมายการค้าของ 8×8, Inc.

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ฝ่ายสื่อ:
PR@8×8.com

นักลงทุนสัมพันธ์:
Investor.relations@8×8.com

ที่มา: 8×8, Inc.

ETT | iByond™ Asia ลงนามข้อตกลงมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์กับ Knightsbridge ในการนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีทางด้านการเงินมาสู่เอเชียและทั่วโลก

Logo

ปาล์มบีช, ฟลอริด้า–(BUSINESS WIRE)–5 มีนาคม 2024

ETT | iByond™ และกลุ่ม Knightsbridge ได้บรรลุข้อตกลงใหญ่ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนโซลูชั่นดิจิทัลและเทคโนโลยีทางด้านการเงินที่ก้าวหน้าไปทั่วโลก ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ

Christopher Condon | Chairman and CEO of ETT | iByond™ (USA + Asia) (Photo: Business Wire)

คุณ Christopher Condon | ประธานและ CEO ของ ETT | iByond™ (สหรัฐอเมริกา + เอเชีย) (รูปภาพ: Business Wire)

ภายใต้ข้อตกลง ETT | iByond™ และกลุ่ม Knightsbridge จะผนึกกำลังกันเพื่อเป็นหัวหอกในการริเริ่มด้านดิจิทัลและปฏิวัติการนำเสนอเทคโนโลยีทางการเงิน ด้วยการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของ iByond™ ในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังขยายตัว รวมถึงเครือข่ายและทรัพยากรทั่วโลกของ Knightsbridge ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะนำเสนอโซลูชั่นที่ไม่มีใครเทียบเคียงซึ่งปรับแต่งให้ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจและผู้บริโภคทั่วโลก การร่วมทุนครั้งนี้จะใช้ประโยชน์จากการจัดการข้อมูลที่ทันสมัยและโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ของ ETT

เทคโนโลยีการปฏิรูปเศรษฐกิจ“ETT | iByond™” (ETT) แผนก Asia ได้ทำข้อตกลงการให้บริการซอฟต์แวร์และใบอนุญาตระยะเวลาห้าปีกับ Knightsbridge ซึ่งมีมูลค่า $683 ล้านดอลลาร์สำหรับ ETT และมากกว่า $500 ล้านดอลลาร์สำหรับ Knightsbridge ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมบริการทางการเงินผ่านโซลูชั่นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ล้ำสมัย

บริษัทร่วมทุนจะใช้ประโยชน์จากการจัดการข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ล้ำสมัยของ ETT และเทคโนโลยีตลาดขั้นสูงของกลุ่ม Knightsbridge เพื่อส่งมอบแพลตฟอร์มเทคโนโลยีทางการเงินที่ครอบคลุมซึ่งนำเสนอประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการปรับขนาดที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยการควบคุมพลังของปัญญาประดิษฐ์ แพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปรับปรุงการดำเนินงาน ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า และขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนในตลาดที่มีพลวัตในปัจจุบันได้ ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การขยายธุรกิจของ Knightsbridge และตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการเติบโตในภูมิภาค

การเติบโตอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) ในเอเชียกำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของภูมิภาคในอัตราก้าวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ เอเชียจึงกลายเป็นแหล่งรวมนวัตกรรมและการลงทุนในโซลูชั่น AI และเทคโนโลยีทางด้านการเงิน จากการบุกเบิกบริการทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไปจนถึงการปฏิวัติแนวทางการธนาคารและการลงทุนแบบดั้งเดิม ประเทศในเอเชียกำลังควบคุมพลังของ AI และเทคโนโลยีทางด้านการเงินเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปรับปรุงการรวมทางการเงิน และเพิ่มประสิทธิภาพในตลาดการเงิน ด้วยกรอบการกำกับดูแลที่สนับสนุน ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพที่มีชีวิตชีวา และจำนวนผู้มีความสามารถด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้น เอเชียจึงพร้อมที่จะเป็นผู้นำการปฏิวัติด้าน AI และเทคโนโลยีทางด้านการเงินระดับโลกต่อไป เพื่อปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ และขับเคลื่อนนวัตกรรมทั่วทั้งภาคส่วน

คุณ Christopher Condon ประธานและซีอีโอของ ETT แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือครั้งนี้ว่า "ความร่วมมือกับ Knightsbridge ครั้งนี้เน้นย้ำถึงความทุ่มเทของ ETT ในการเป็นผู้นำในเชิงรุกในแนวหน้าของนวัตกรรมดิจิทัล และเสริมสร้างจุดยืนของตนต่อการเติบโตระดับโลกและตลาดเอเชียที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว"

คุณ David Chlapowski ผู้เป็นประธานของ ประธานภูมิภาคอเมริกาและตลาดเกิดใหม่ (EM) กล่าวเสริมว่า “ข้อมูลที่ถูกนำเสนอในลักษณะที่สามารถปรับขนาดได้และบริโภคได้คือน้ำมันใหม่และเป็นเชื้อเพลิงของนวัตกรรมดิจิทัล การทำงานร่วมกันของแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันรวมกับความสามารถในการเรียนรู้ของปัญญาประดิษฐ์จะให้ประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน – จนถึงปัจจุบัน ผมกล้าที่จะประกาศว่ าETT/Knightsbridge FinTech Platform คือกาวที่นำทั้งหมดนี้มารวมกัน โดยรวมแล้ว เรากำลังเปิดตัวยุคใหม่ของ Web 4.0 ซึ่งเป็นยุคที่ซอฟต์แวร์ โครงสร้างพื้นฐาน และการเงินมารวมกันที่จุดตัดของการเปิดใช้งานและการสร้างความมั่งคั่ง และขับเคลื่อนด้วย AI"

คุณ Issaree Suwunnavid กล่าวว่า “ในฐานะกรรมการผู้จัดการของกลุ่ม Knightsbridge ฉันมีความยินดีที่จะประกาศให้ทราบถึงการร่วมทุนกับ ETT เพื่อนำโซลูชั่นเทคโนโลยีทางด้านการเงินที่ล้ำสมัยมาสู่เอเชีย มันทำให้ฉันมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้สร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจและบุคคลทั่วภูมิภาคด้วยบริการทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม ettworld.com หรือ knightsbridgelaw.com

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบนbusinesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20240304917175/en/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53904948/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

หากต้องการสอบถามข้อมูลสำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ:

J. Czelusniak
jczelusniak@ettworld.com

ที่มา: Economic Transformation Technologies

 

NTT Com เริ่มเปิดจำหน่าย Active Multi-access SIM™ เพื่อรองรับเครือข่ายผู้ให้บริการอุปกรณ์ IoT ที่หลากหลาย

Logo

ผู้ใช้จะต้องซื้อซิมการ์ดของผู้ให้บริการที่สามารถสลับเปลี่ยนได้โดยอัตโนมัติเพียงใบเดียว

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–29 กุมภาพันธ์ 2024

NTT Communications Corporation (NTT Com) ซึ่งเป็นโซลูชัน ICT และธุรกิจการสื่อสารระหว่างประเทศภายในกลุ่ม NTT ประกาศว่า จะเริ่มเปิดจำหน่าย Active Multi-access SIM™1 ซึ่งนำเสนอในการทดลองใช้ตั้งแต่วันที่ 28 เดือนมีนาคม ปี 2023 จากวันที่ 31 เดือนมกราคม โดยซิมการ์ดใหม่และบริการที่เกี่ยวข้องนี้จะช่วยให้อุปกรณ์ IoT ที่หลากหลายสามารถสลับการทำงานระหว่างผู้ให้บริการหลักและผู้ให้บริการย่อยในกรณีที่เครือข่ายล้มเหลว ช่วยให้สามารถใช้งานเครือข่ายต่างๆ ด้วยซิมเดียวโดยอัตโนมัติเต็มรูปแบบ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเครือข่ายหรือสลับเทอร์มินอลของอุปกรณ์

บริการนี้ให้คุณประโยชน์ที่สำคัญสามประการ โดยเริ่มจากการตรวจจับข้อผิดพลาดโดยอัตโนมัติ และการสลับผู้ให้บริการ โดยทั้งสองบริการนี้อยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร หากการสื่อสารล้มเหลว แอพเล็ต3 ในซิมจะตรวจจับข้อผิดพลาดโดยอัตโนมัติ จากนั้น จะสลับไปใช้เครือข่ายของผู้ให้บริการย่อย และกลับไปใช้เครือข่ายของผู้ให้บริการหลักหลังผ่านช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ด้วยตัวเอง หรือไม่ต้องกำหนดการตั้งค่าที่ซับซ้อน

ประโยชน์ประการที่สองคือ การปฏิบัติตามมาตรฐาน European Telecommunications Standards Institute (ETSI) และตามมาตรฐาน 3rd Generation Partnership Project (3GPP) เพื่อความเข้ากันได้กับอุปกรณ์หลากหลายประเภท โดยใช้ชุด SIM Toolkit มาตรฐาน ซึ่งช่วยให้แอพเล็ตของซิมสามารถส่งคำสั่งไปยังอุปกรณ์เหล่านี้ได้

ประโยชน์ข้อที่สามคือ ความสะดวกและความสามารถในการใช้งาน:

  • สัญญาแบบรวมศูนย์ การสนับสนุน เป็นต้น
    ผู้ให้บริการหลักและผู้ให้บริการย่อยนั้นให้บริการโดย NTT Com ซึ่งมีความซับซ้อนน้อยกว่าและสมเหตุสมผลมากกว่าการทำสัญญากับผู้ให้บริการย่อยแยกต่างหาก
  • ต้นทุนที่มีการปรับอย่างเหมาะสม
    ผู้ให้บริการหลักนำเสนอแผนที่หลากหลายตามการใช้งานข้อมูล นอกจากนี้ ยังรองรับการแชร์ความจุและการจัดการการใช้งาน SIM5 เพื่อลดต้นทุนระหว่างการสต็อกสินค้าคงคลังรองรับความต้องการของตลาดและของขาดตลาด
  • การจัดการรายการแบบรวมศูนยผ่านพอร์ทัล/API
    สามารถซื้อซิมการ์ดที่รองรับผู้ให้บริการหลายรายโดยใช้การ์ดใบเดียว และสามารถจัดการการดำเนินการ (การสั่งซื้อ การเปิดใช้งาน การระงับ และการยกเลิก) ได้ผ่านเว็บ
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ข้อมูลและสร้างธุรกิจผ่าน Smart Data Platform6
    บริการนี้พร้อมใช้งานบน Smart Data Platform ในรูปแบบ IoT Connect Mobile® Type S เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ข้อมูล บริษัทต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากวงจรที่พร้อมใช้งานสูงเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานการใช้ข้อมูลบนแพลตฟอร์ม บริษัทที่นำเสนอการบริการที่รวมอุปกรณ์ IoT และซิมสำหรับลูกค้าจะสามารถจัดการสัญญาและสิทธิพิเศษของผู้ใช้ผ่านพอร์ทัลได้อย่างสะดวกสบาย

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการใช้งานได้ที่ https://sdpf.ntt.com/services/icms/pricing/ (เฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น) หากต้องการเรียนรู้วิธีการสมัคร ผู้ใช้โปรดติดต่อ NTT Com ผ่านแบบฟอร์มสอบถามออนไลน์ หรือติดต่อตัวแทนฝ่ายขายของ NTT Com

หลังจากนี้ NTT Com กำลังวางแผนในการขยายบริการ Active Multi-access SIM™ พร้อมคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การเชื่อมต่อในพื้นที่ปิด

ในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทต่างๆ ได้นำโซลูชัน IoT มาใช้เพื่อการขยายธุรกิจมากขึ้น ความต้องการเครือข่ายที่เชื่อถือได้สูงเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ให้บริการหลากหลาย เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการดังกล่าว NTT Com ได้พัฒนาบริการที่บรรลุความต้องการเครือข่ายในระดับสูงโดยไม่ขึ้นกับอุปกรณ์ IoT โดยมีการนำเสนอแบบทดลองใช้ตั้งแต่วันที่ 28 เดือนมีนาคม ปี 2023 จากการตอบรับจากลูกค้าในช่วงระยะเวลาทดลองใช้ NTT Com ได้มีการปรับปรุงฟังก์ชันต่างๆ และเปิดตัวการบริการแล้วในขณะนี้

ลูกค้ากลุ่มหนึ่งของ NTT Com ให้การรับรองการบริการนี้ ดังต่อไปนี้

CENTURY SYSTEMS Co.,Ltd.
Mr. Susumu Tanaka กรรมการฝ่ายเจ้าหน้าที่ตัวแทน
“บริษัทของเรายินดีต้อนรับ Active Multi-access SIM™ ของ NTT Com เพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ เทคโนโลยีของซิมที่เป็นนวัตกรรมใหม่นี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเราเตอร์ LTE และเกตุเวย์ IoT เป็นอย่างมาก โดยให้บริการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้ ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์เพื่อนำเสนอโซลูชันที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ซิมขั้นสูงนี้จะนำเสนอความเป็นได้ใหม่ๆ โดยเพิ่มความสามารถในการสื่อสารและประสิทธิภาพในส่วน IoT”

Fibocom Wireless Inc.
Mr. Ronald Chan, รองประธานฝ่ายการขายของ APAC
“การเชื่อมต่อเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานสำหรับการปรับแปลงทางดิจิทัลโดยใช้ประโยชน์จาก IoT และโซลูชันซิมที่เป็นนวัตกรรมของ NTT Com ช่วยปรับปรุงความสามารถในการใช้งานการเชื่อมต่อไร้สาย ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันไร้สายระดับโลก Fibocom มีความมั่นใจว่า เราสามารถให้บริการเชื่อมต่อไร้สายที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพสำหรับลูกค้าของเรา พร้อมโซลูชันที่รวมซิมเข้ากับโมดูลเซลลูล่าของเรา”

MeiLink Co., Ltd
Mr. Turbo Fukazawa ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขาย
“มีการนำ IoT ไปใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ ดังนั้น เราคิดว่า จะมีความต้องการในการสร้างการสื่อสารที่มีเสถียรภาพมากขึ้น เราหวังว่า Active Multi-access SIM™ ที่ NTT Com ให้บริการจะเป็นโซลูชันสำหรับปัญหานี้และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดต่อไป”

สำหรับการสื่อสารข้อมูลเท่านั้น (แต่ไม่มีบริการเสียงหรือ SMS) บริษัทที่กำลังมองหาผู้ให้บริการที่หลากหลายซึ่งรวมบริการเสียงสำหรับสมาร์ทโฟน เป็นต้น ควรพิจารณาบริการย่อย
2 นอกเหนือจากสายบริการล้มเหลว รวมถึงเงื่อนไขที่ทำให้การสื่อสารข้อมูลเป็นไปไม่ได้ เช่น อยู่นอกขอบเขตครอบคลุม เป็นต้น
โปรแกรมขนาดเล็กที่เขียนด้วยภาษา Java และรวมเข้ากับแอปพลิเคชันอื่นเพื่อการดำเนินการ
4 สามารถเข้าไปที่ Smart Data Platform Knowledge Center(เฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น) สำหรับอุปกรณืที่ผ่านการทดสอบความเข้ากันได้ (โดยจะมีการอัปเดตเป็นระยะ) เราขอแนะนำให้ลูกค้าตรวจสอบความเข้ากันได้กับบริการนี้ตามแต่ละอุปกรณ์ โปรดติดต่อ NTT Com เพื่อขอรับซิมชั่วคราวเพื่อยืนยันความเข้ากันได้
การจัดการสถานะสายเครือข่าย เช่น การเปิด การระงับ การดำเนินการต่อ และการยกเลิก
6 Smart Data Platform ช่วยให้ลูกค้าองค์กรสามารถเสริมการปรับแปลงดิจิทัลด้วยฟังก์ชันครบวงจรสำหรับการรวบรวมข้อมูล การจัดเก็บ การจัดการ และการวิเคราะห์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน โปรดไปที่ https://www.ntt.com/business/sdpf/
7 บริการสื่อสารเคลื่อนที่ IoT พร้อมให้บริการในญี่ปุ่นและทั่วโลกที่ใช้ eSIMs และโครงสร้างพื้นฐาน MVNO เต็มรูปแบบ

"IoT Connect Mobile® " เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ NTT Communications
"Active Multi-access SIM™ " เป็นเครื่องหมายการค้าของ NTT Communications

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
สำหรับลูกค้า
5G & IoT Service Department IoT Service Division
Platform Services Division
NTT Communications Corporation
อีเมล: m2m-sales-dps@ml.ntt.com

สำหรับสื่อ
Public Relations Office
NTT Communications Corporation
อีเมล: pr-cp@ntt.com

แหล่งข้อมูล: NTT Communications Corporation

LiveRamp เปิดตัวแพลตฟอร์มการรวมข้อมูลแบบครบวงจร พร้อมด้วยเทคโนโลยีแบบแยกส่วน

Logo

การปรับปรุงใหม่ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถประสานงานกับคู่ค้า ส่งข้อมูลไปยังปลายทาง และเข้าถึงโซลูชันได้มากขึ้นทั้งหมดจากที่เดียว

ด้วยแพลตฟอร์มที่พร้อมรับมืออนาคต ซึ่งผ่านการปรับปรุงทั้งความเร็วและความสะดวกในการใช้ ทำให้ลูกค้าสามารถมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้นและประสบการณ์ของลูกค้าที่ในแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้นได้

ซานฟรานซิสโก–(BUSINESS WIRE)–28 กุมภาพันธ์ 2024

ในวันนี้ LiveRamp (NYSE: RAMP) ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มการรวมข้อมูลรุ่นใหม่จาก /LiveRamp ซึ่งนำโซลูชันสำหรับวงจรการตลาดทั้งหมดมารวมไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ข้อเสนอที่ครอบคลุมนี้มาพร้อมกับความสามารถใหม่ ๆ เช่น อินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่เรียบง่าย เทคโนโลยีแบบแยกส่วนสำหรับการทำงานร่วมกันข้ามคลาวด์ และตลาดคู่ค้าที่ผู้พัฒนาบุคคลที่สามสามารถสร้างแอปพลิเคชันเพื่อแสดงความเชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ ด้วยการต่อยอดจากเทคโนโลยีที่ทนทานและได้รับการยอมรับ ซึ่งออกแบบมาให้ทนต่อสัญญาณขาดหาย ทำให้แพลตฟอร์มการรวมข้อมูลจาก /LiveRamp มีฟังก์ชันการทำงานในการจัดการข้อควรพิจารณาด้านความเป็นส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเร่งการใช้งานการรวมข้อมูลให้ก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น

สิ่งที่ Gartner® ค้นพบเผยให้เห็นว่า “การตลาดมีบทบาทส่วนใหญ่ในกิจกรรมข้อมูลและการวิเคราะห์ทั่วทั้งบริษัท โดย 71% ของทีมข้อมูลและการวิเคราะห์ด้านการตลาดต้องรับผิดชอบองค์ประกอบของกลยุทธ์ข้อมูลอย่างน้อยหนึ่งส่วนสำหรับองค์กร” LiveRamp นำความสามารถทั้งหมดมารวมไว้ในอินเทอร์เฟซผู้ใช้เดียว พร้อมด้วยการเรียบเรียงที่ช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้ลูกค้าประสานงานกับคู่ค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังรองรับสถาปัตยกรรมข้อมูลสมัยใหม่โดยมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลแบบกระจายตัวเพื่อลดความยุ่งยากบนคลาวด์ ปรับปรุงความสามารถในการใช้งานคลาวด์สำหรับผู้ใช้ทางธุรกิจทุกคน รวมถึงแก้ไขข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากความสะดวกในการใช้งานที่สูงขึ้นและฟังก์ชันการทำงานที่เรียบง่าย ซึ่งปลดล็อกมูลค่าสำหรับทุกความต้องการในการรวมข้อมูลได้อย่างทั่วถึง

  • เพิ่มความสะดวกสบายโดยใช้อินเทอร์เฟซผู้ใช้เดียวด้วยการสร้างต่อยอดจากรากฐานของการเชื่อมต่อข้อมูลประจำตัวที่ดีที่สุด ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วทุกมุมโลก และเทคโนโลยีรองรับความเป็นส่วนตัวที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะ
  • พัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้และเร่งความเร็วสู่การสร้างมูลค่าด้วยไปป์ไลน์การนำเข้าใหม่ที่ลดเวลาในการทำงานจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง เครื่องมือการบริการตนเองสามารถอนุญาตชุดข้อมูลและส่วนข้อมูลและระบการแจ้งเตือนใหม่สามารถใช้งานควบคู่กับเครื่องมือในสถานที่ทำงานต่าง ๆ เช่น Slack และช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมวิธีการรับข้อมูลได้
  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วทั้งระบบนิเวศโดยใช้ประสบการณ์การเปิดใช้งานและการแบ่งส่วนที่มีประสิทธิภาพที่ยึดผู้ใช้ แคมเปญ และการแบ่งส่วนข้ามกลุ่มเป้าหมายเป็นศูนย์กลาง ปรับปรุงผลการดำเนินการด้านการตลาดได้มากขึ้นโดยการผสานรวมกับเทคโนโลยีต่างๆ เช่น Google PAIR ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับการสูญเสียคุกกี้ของบุคคลที่สามและสัญญาณที่เลิกใช้งานอื่น ๆ
  • ปลดล็อกความร่วมมือใหม่ ๆ ในข้อมูลบุคคลที่สองและสามด้วยความยืดหยุ่นในการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าข้อมูลบุคคลที่หนึ่งของคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ซึ่งครอบคลุมการใช้งานที่กว้างขวางที่สุดจากที่เดียว
  • ใช้ประโยชน์จากตลาดแอปพลิเคชันของคู่ค้าแห่งใหม่ เริ่มต้นด้วยการค้นพบ การเข้าถึง และการพัฒนาโซลูชันการวัดผลที่ผสานรวมจากเครือข่ายคู่ค้าทั่วโลกของ LiveRamp

“หลักการสำคัญของ Albertsons Media Collective คือการรองรับระบบนิเวศการทำงานร่วมกันที่เชื่อมต่อถึงกันได้มากขึ้น ซึ่งเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล พร้อมกับลดการเคลื่อนย้ายข้อมูล” Evan Hovorka รองประธานกรรมการฝ่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของ Albertsons Media Collective กล่าว “LiveRamp ช่วยให้เรารักษาพันธสัญญานี้ได้ด้วยโซลูชันที่พร้อมรับมืออนาคตที่เพิ่มความแม่นยำของสัญญาณ รักษาความเป็นส่วนตัว และปรับการทำงานร่วมกันบนข้อมูลทั่วทุกช่องทางที่สำคัญต่อเครือข่ายของเรามากที่สุด LiveRamp นำความสามารถเหล่านี้มารวมกันได้อย่างลงตัว ซึ่งไม่เพียงเร่งความร่วมมือของเราเอง แต่ยังถ่ายทอดมูลค่าที่เรามอบให้กับลูกค้า ผู้ลงโฆษณา และระบบนิเวศส่วนรวมของเราได้”

“โซลูชัน Lift จาก Circana เป็นมาตรฐานในการวัดผลการค้าปลีกและ CPG สามารถรวมข้อมูลที่ระดับครัวเรือนเพื่อปลดล็อกข้อมูลเชิงลึกสำหรับผู้ลงโฆษณา พวกเขาจึงสามารถวัดผลและปรับการลงทุนกับสื่อให้เหมาะสมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการขายได้” Harvey Goldhersz รองประธานกรรมการบริหารจาก Circana กล่าว “เมื่อใช้ LiveRamp ผู้ลงโฆษณาสามารถจดจ่อกับข้อความสร้างสรรค์ รูปแบบโฆษณา กลุ่มเป้าหมาย และการจัดตำแหน่งสื่อเพื่อให้ขับเคลื่อนการค้าปลีกได้อย่างมีประสิทธิภาพและผลิตผลสูงสุด ผู้ลงโฆษณาที่ใช้โซลูชัน Lift จาก Circana ช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการโฆษณา (ROAS) สูงสุด 80% เราตื่นเต้นที่ได้เปลี่ยนมาใช้ความสามารถนี้สำหรับ LiveRamp ซึ่งนำความเร็ว ความครอบคลุมที่เหนือชั้น และความแม่นยำสู่กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางยิ่งขึ้นของ Circana มาใช้งาน”

การเปิดตัวแพลตฟอร์มการรวมข้อมูลแบบครบวงจรจาก /LiveRamp ตามมาหลังจากการควบรวมกิจกรรมของบริษัท Habu เพื่อเร่งกระบวนการรวมข้อมูลผ่านเทคโนโลยีห้องปลอดเชื้อ ที่มีประสิทธิภาพ ลูกค้าที่ใช้ LiveRamp Clean Room ซึ่งให้บริการโดย Habu บนแพลตฟอร์มของพวกเขาสามารถวัดผลแคมเปญได้ในทุกระบบ Walled Gardens แพลตฟอร์มสื่อ และช่องทางที่เป็นระบบ พร้อมกับเชื่อมต่อข้อมูลข้ามคลาวด์ คลังข้อมูล และห้องปลอดเชื้อได้อย่างราบรื่น

“ลูกค้าของ LiveRamp ได้สอบถามเกี่ยวกับโซลูชันที่มีความเรียบง่ายและความครอบคลุมมากขึ้นเพื่อปลดล็อกมูลค่าของข้อมูลและขับเคลื่อนข้อได้เปรียบในการแข่งขัน” Kimberly Bloomston ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ LiveRamp กล่าวเสริม “การเปิดตัวแพลตฟอร์มแบบครบวงจรของเราสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้โดยการกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการรวมข้อมูลอันทรงพลัง ซึ่งสร้างขึ้นต่อยอดจากเทคโนโลยีที่รักษาความเป็นส่วนตัวและสามารถรับมือข้อกำหนดการทนต่อสัญญาณขาดหายและความเป็นส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ การควบรวมกิจการของ Habu โดย LiveRamp ล่าสุดช่วยเสริมสร้างความสามารถของเราในการช่วยให้ลูกค้าทำงานร่วมกัน ใช้งานข้อมูลได้จากทุกตำแหน่ง และวัดผลได้จากทุกที่”

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานการรวมข้อมูลอันกว้างขวางที่ LiveRamp สามารถปลดล็อกให้บริษัทของคุณได้ที่ liveramp.com/our-platform

เกี่ยวกับ LiveRamp

LiveRamp คือแพลตฟอร์มการรวมข้อมูลตามความต้องการสำหรับบริษัทล้ำนวัตกรรมที่สุดของโลก ผู้นำที่รักการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค จริยธรรมด้านข้อมูล และข้อมูลประจำตัวขององค์กร LiveRamp กำลังกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการสร้างมุมมองลูกค้าที่เชื่อมต่อถึงกันที่มีความชัดเจนและบริบทที่ไม่มีใครเทียบได้ พร้อมกับปกป้องแบรนด์อันมีค่าและความไว้วางใจของผู้บริโภค LiveRamp นำเสนอความยืดหยุ่นในการทำงานร่วมกันจากทุกที่โดยไม่ต้องกังวลถึงตำแหน่งของข้อมูลเพื่อรองรับการใช้งานการรวมข้อมูลที่กว้างขวางที่สุด ไม่ว่าจะเป็นภายในองค์กร ระหว่างแบรนด์ และเครือข่ายคู่ค้าคุณภาพสูงทั่วโลก

นักคิดค้นนวัตกรรมทั่วโลกหลายร้อยราย ตั้งแต่แบรนด์สินค้าผู้บริโภคชั้นนำและยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีไปจนถึงธนาคาร ร้านค้าปลีก และผู้นำด้านการดูแลสุขภาพหันมาใช้ LiveRamp เพื่อสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนและมูลค่าทางธุรกิจโดยการเจาะลึกการมีส่วนร่วมและความภักดีของลูกค้า เริ่มต้นความร่วมมือใหม่ ๆ และเพิ่มพูนมูลค่าของข้อมูลบุคคลที่หนึ่งจนถึงขีดสุด พร้อมกับรักษาตำแหน่งในแนวหน้าของการปฏิบัติตามข้อกำหนดและกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว LiveRamp ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีสำนักงานกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.liveramp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผู้ติดต่อ

Michelle Millsap
PR@liveramp.com

แหล่งที่มา: LiveRamp

GIGABYTE จุดประกายวิสัยทัศน์ AI และ 5G ในงาน MWC 2024 เน้นซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ Edge AI และการอัพเกรดด้านไอทีที่ยั่งยืน

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–26 กุมภาพันธ์ 2024

GIGABYTE Technology ผู้บุกเบิกด้านไอทีที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระดับโลกผ่านคลาวด์ และระบบประมวลผล AI นําเสนอโซลูชันการประมวลผลระดับองค์กรที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในงาน MWC 2024 โดยมีเซิร์ฟเวอร์ที่บุกเบิก โซลูชั่นการประมวลผลเพื่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี edge AI ภายใต้ธีม “อนาคตของการประมวลผล”ความก้าวหน้าเหล่านี้นํามาซึ่งความเป็นไปได้ใหม่ๆ สําหรับกลยุทธ์ด้านไอทีที่คล่องตัวและยั่งยืน ช่วยให้อุตสาหกรรมต่างๆ สามารถควบคุมข้อมูลอัจฉริยะแบบเรียลไทม์ผ่านศูนย์ข้อมูล คลาวด์ เอดจ์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่อกันหลายมิติ ส่งผลให้ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าคุ้มทุน และความได้เปรียบในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนโดยการทํางานร่วมกันของเทคโนโลยี 5G และ AI

GIGABYTE Ignites AI and 5G Visions at MWC 2024, Highlighting New Supercomputers, Edge AI and Sustainable IT Upgrades (Photo: Business Wire)

GIGABYTE จุดประกายวิสัยทัศน์ AI และ 5G ในงาน MWC 2024 เน้นซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ Edge AI และการอัพเกรดด้านไอทีที่ยั่งยืน (รูปภาพ: Business Wire)

เปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใหม่

GIGABYTE นำเสนอ G593-ZX1/ZX2 ซึ่งเป็น AI server ที่มี AMD Instinct™ MI300X 8-GPU ซึ่งเป็นส่วนเสริมใหม่ในซีรีส์เซิร์ฟเวอร์ AI/HPC เรือธงของ GIGABYTE การจัดแสดงไฮไลท์อื่น ๆ ได้แก่ H223-V10 ความหนาแน่นสูงที่รองรับ NVIDIA Grace Hopper Superchip เซิร์ฟเวอร์ G383-R80 ที่รองรับ AMD Instinct™ MI300A APU สี่ตัว และเซิร์ฟเวอร์ AI ซีรีส์ G593 ที่มาพร้อมกับ NVIDIA HGX H100 8-GPU อันทรงพลัง

ที่อยู่ติดกับเซิร์ฟเวอร์ AI/HPC ที่บุกเบิกเหล่านี้ คือเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลแบบอาเรย์แฟลชล้วน S183-SH0 ด้วยความจุ 32 E1.S NVMe SSDs จึงมอบการจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง เหมาะอย่างยิ่งสําหรับการจัดการเวิร์กโหลด AI ที่ซับซ้อน เช่น โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) โดยรวมแล้วเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้สามารถรวมเข้ากับคลัสเตอร์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และเฟรมเวิร์ก 5G ได้ ซึ่งทําหน้าที่เป็นรากฐานที่สําคัญของโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมใช้งาน AI และขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางธุรกิจและการวิจัยในระดับ exascale

แพลตฟอร์ม Edge ที่ยืดหยุ่นสําหรับเฟสต่อไปของ 5G และ AI

ภายในบูธ GIGABYTE ได้เปิดตัว Edge Server E263-S30 ที่ปรับเปลี่ยนได้สูง E263-S30 ล้อมรอบด้วยพาวเวอร์ซัพพลายและมาเธอร์บอร์ด ควบคู่ไปกับ NIC และตัวเร่งความเร็วจาก AMD, Broadcom, Intel และ NVIDIA เป็นตัวอย่างว่า เซิร์ฟเวอร์โมดูลาร์ของ GIGABYTE  ตอบสนองต่อสถานการณ์ด้านไอทีที่หลากหลายได้อย่างไร โดยการอัพเกรดข้อกําหนดฮาร์ดแวร์ต่างๆ ภายในแชสซีแบบครบวงจร ความยืดหยุ่นนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงเครื่องมือในการเร่งการปรับใช้เครือข่าย 5G ขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนการบํารุงรักษาและอัปเกรด

โซลูชันแบบครบวงจรสําหรับการอัเกรดไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อม

การกระจายความร้อนส่วนเกินจากเซิร์ฟเวอร์กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทําให้สิ้นเปลืองพลังงาน GIGABYTE จัดการกับความท้าทายนี้ด้วยการนําเสนอ A1P0-EB0 ซึ่งเป็นถังระบายความร้อนแบบจุ่ม 25U EIA ขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงการกระจายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ที่โดดเด่นสูงถึง 80kW และ PUE ที่ต่ำถึง 1.02 GIGABYTE ยังมีเซิร์ฟเวอร์ที่พร้อมสำหรับการแช่ที่หลากหลาย รองรับทั้งโปรเซสเซอร์ Intel และ AMD และรองรับเวิร์กโหลดทุกประเภท. พวกเขาเป็นตัวอย่างว่าโซลูชันการประมวลผลเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุมของ GIGABYTE ช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถลดการใช้พลังงานและบรรลุต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (TCO) ที่ดีขึ้นได้อย่างไร

เซิร์ฟเวอร์องค์กรอเนกประสงค์พร้อมความสามารถด้านเครือข่ายที่แข็งแกร่ง

GIGABYTE นําเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ที่หลากหลาย ซึ่งออกแบบมาสําหรับโทรคมนาคม ผู้ให้บริการคลาวด์ องค์กร และ SMB ช่วยให้สามารถสร้างสถาปัตยกรรมดิจิทัลแบบเปิดและปลอดภัยในสภาพแวดล้อมเครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ Arm รุ่น R163-P32 มีระบบคอร์หนาแน่นที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งมอบความได้เปรียบในการปฏิบัติงานสําหรับเวิร์กโหลดบนคลาวด์ขนาดใหญ่

ในเวิร์กโหลด AI และแอปพลิเคชันเอดจ์คลาวด์  เซิร์ฟเวอร์ R243-EG0 และ R143-EG0 รองรับโปรเซสเซอร์ AMD EPYC™ 8004 Series ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมต่อวัตต์ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโทรคมนาคม สําหรับโซลูชันไอทสำหรับ SMB GIGABYTE ขอแนะนํา R113-C10 และ R123-X00 ซึ่งมาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen™ 7000 และ Intel® Xeon® E-2400 เพื่อให้มั่นใจถึงการดําเนินงานด้านไอทีที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บโฮสติ้ง ไฮบริดคลาวด์ และการจัดเก็บข้อมูล

เทคโนโลยีการขับขี่ด้วยตนเองที่มีความแม่นยําสูงซึ่งขับเคลื่อนโดย Edge AI

การบูรณาการเทคโลยีล้ำสมัย อัลกอริธึม AI และชิปล้ำสมัย ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) และ ระบบเทเลเมติกส์ ของ GIGABYTE ทําให้การตัดสินใจในการขับขี่แบบเรียลไทม์เพื่อประสบการณ์การขับขี่ด้วยตนเองที่ปลอดภัยและชาญฉลาด ด้วยอินเทอร์เฟซ I/O ที่สมบูรณ์แบบ จึงผสานรวมกับอุปกรณ์ตรวจจับต่างๆ ได้อย่างราบรื่น รวมถึงกล้อง เซ็นเซอร์อัลตราโซนิก LiDAR และเรดาร์ mmWave รวบรวมข้อมูลสภาพแวดล้อมที่ครอบคลุม เพื่อนําทางยานพาหนะไปตามเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดภายใต้สภาพถนนแบบไดนามิกและท้าทาย

เยี่ยมชม MWC event page ของ GIGABYTE

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ: Michael Pao brand@GIGABYTE.com

ที่มา: GIGABYTE Technology

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53899099/en


โตชิบาเปิดตัว Power MOSFETs พร้อมไดโอดความเร็วสูงที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของหน่วยจ่ายกำลัง

Logo

สมาชิกใหม่ในซีรีส์ DTMOSVI รุ่นล่าสุดซึ่งใช้โครงสร้างแบบ Super Junction

คาวาซากิ, ญี่ปุ่น –(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2024

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ("โตชิบา") ได้เพิ่ม DTMOSVI(HSD) ซึ่งเป็นทรานซิสเตอร์ Power MOSFETs ที่มีไดโอดความเร็วสูงและเหมาะสำหรับหน่วยจ่ายกำลังกลุ่ม Switching Power Supply รวมถึงศูนย์ข้อมูลและเครื่องกรองไฟฟ้า PV ในรุ่นล่าสุดของซีรีส์[1] DTMOSVI ซึ่งใช้โครงสร้างแบบ Super Junction โดยสองผลิตภัณฑ์แรกสุดอย่าง Power MOSFETs 650V N-channel ในแพ็กเกจ TO-247 อย่าง "TK042N65Z5” และ “TK095N65Z5" จะเริ่มจัดส่งในวันนี้

Toshiba: DTMOSVI(HSD), power MOSFETs with high-speed diodes that help to improve efficiency of power supplies. (Graphic: Business Wire)

โตชิบา: DTMOSVI(HSD) Power MOSFETs พร้อมไดโอดความเร็วสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยจ่ายกำลัง (ภาพ: Business Wire)

บรรดาผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะใช้ไดโอดความเร็วสูงเพื่อปรับปรุงการฟื้นตัวของไดโอด[2] ในแง่ของคุณสมบัติต่างๆ ที่สำคัญสำหรับการใช้งานในวงจรบริดจ์และวงจรอินเวอร์เตอร์ เมื่อเทียบกับ DTMOSVI แบบมาตรฐาน ทรานซิสเตอร์รุ่นใหม่ใช้เวลาในการฟื้นตัว (trr) น้อยลงถึง 65% และประจุฟื้นตัว (Qrr) น้อยลง 88% (สภาวะแวดล้อมการวัดผล: -dIDR/dt= 100A/μs)

กระบวนการ DTMOSVI(HSD) ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติในการฟื้นตัวของซีรีส์ DTMOSIV ที่ใช้ไดโอดความเร็วสูง (DTMOSIV(HSD)) ของโตชิบา โดยมีกระแสคัตออฟที่ขั้วเดรนต่ำลงที่อุณหภูมิสูง ส่วน Figure of Merit “Drain-Source On-resistance × Gate-Drain Charge” ก็ต่ำลงเช่นกัน  กระแสคัตออฟที่ขั้วเดรนที่อุณหภูมิต่ำของ TK042N65Z5 ต่ำลงประมาณ 90%[3] ส่วน Drain-Source On-resistance × Gate-Drain Charge ต่ำลง 72% เมื่อเทียบกับ TK62N60W5 รุ่นปัจจุบันของโตชิบา[4] [5] ตัวเลขที่ดีขึ้นนะจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานของอุปกรณ์และปรับปรุงประสิทธิภาพ โดย TK042N65Z5 มีประสิทธิภาพของหน่วยจ่ายกำลังดีกว่า TK62N60W5 รุ่นปัจจุบันสูงสุด 0.4% ดังที่วัดได้ในวงจร LLC 1.5kW[6]

สามารถดูงานออกแบบอ้างอิง “หน่วยจ่ายกำลังเซิร์ฟเวอร์ 1.6kW (รุ่นอัปเกรด)” ที่ใช้ TK095N65Z5 ได้แล้ววันนี้บนเว็บไซต์ของโตชิบา นอกจากนี้ โตชิบายังมีเครื่องมือให้ใช้สนับสนุนการออกแบบวงจรสำหรับ Switching Power Supply ด้วย นอกจากรุ่น G0 SPICE ที่ยืนยันการทำงานของวงจรได้ในเวลาอันสั้นแล้ว ยังมีรุ่น G2 SPICE ที่จำลองคุณสมบัติชั่วครู่ได้อย่างแม่นยำพร้อมให้ใช้งานเช่นกัน

โตชิบามีแผนที่จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ DTMOSVI(HSD) ด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์ต่างๆ ในแพ็กเกจ TO-220 และ TO-220SIS แบบ Through-hole และแพ็กเกจ TOLL และ DFN แบบ 8×8 Surface-mount

บริษัทจะยังคงขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ในซีรีส์ DTMOSVI ต่อไป นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ 650V และ 600V ที่เปิดตัวไปแล้ว และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีไดโอดความเร็วสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Switching Power Supply ส่งผลให้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น

หมายเหตุ:
[1] ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2024 ตามการสำรวจของโตชิบา
[2] การดำเนินการสวิตชิ่งซึ่งตัวไดโอดของ MOSFET จะเปลี่ยนจากไบแอสตรงไปเป็นไบแอสแบบย้อนกลับ
[3] วัดค่าโดยโตชิบา ค่าที่ได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ TK042N65Z5 คือ 0.2mA (สภาวะแวดล้อมการทดสอบ: VDS=650V, VGS=0V, Ta=150°C)
ค่าที่ได้จากผลิตภัณฑ์เดิม TK62N60W5 คือ 1.9mA (สภาวะแวดล้อมการทดสอบ: VDS=600V, VGS=0V, Ta=150°C)
[4] ซีรีส์ DTMOSIV(HSD) 600V
[5] วัดค่าโดยโตชิบา
สภาวะแวดล้อมการทดสอบ:
TK62N60W5
• RDS(ON): ID=30.9A, VGS=10V, Ta=25°C
• Qgd: VDD=400V, VGS=10V, ID=61.8A, Ta=25°C
TK042N65Z5
• RDS(ON): ID=27.5A, VGS=10V, Ta=25°C
• Qgd: VDD=400V, VGS=10V, ID=55A, Ta=25°C
[6] วัดค่าโดยโตชิบา
สภาวะแวดล้อมการทดสอบ: Vin=380V, Vout=54V, Ta=25°C

การใช้งาน

อุปกรณ์อุตสาหกรรม

  • Switching Power Supply (เซิร์ฟเวอร์ศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์สื่อสาร เป็นต้น)
  • สถานีชาร์จ EV
  • เครื่องกรองไฟฟ้า PV
  • ระบบสำรองไฟฟ้า

 คุณสมบัติ

  • MOSFETs ที่มีไดโอดความเร็วสูงในซีรีส์ DTMOSVI รุ่นล่าสุด
  • เวลาฟื้นตัวเนื่องจากไดโอดความเร็วสูง:
    TK042N65Z5 trr=160ns (ปกติ)
    TK095N65Z5 trr=115ns (ปกติ)
  • สวิตชิงได้ด้วยความเร็วสูงเนื่องจากมี Gate-Drain Charge ต่ำ:
    TK042N65Z5 Qgd=35nC (ปกติ)
    TK095N65Z5 Qgd=17nC (ปกติ)

ข้อมูลจำเพาะสำคัญ

(Ta=25°C เว้นแต่ระบุเป็นอื่น)

หมายเลขชิ้นส่วน

TK042N65Z5

TK095N65Z5

แพ็กเกจ

ชื่อ

TO-247

ขนาด (มม.)

ปกติ

15.94×20.95, t=5.02

สัมบูรณ์

สูงสุด

ระดับ

Drain-Source Voltage VDSS (V)

650

Drain Current (DC) ID (A)

55

29

Drain-Source On-resistance RDS(ON) (Ω) 

VGS=10 V

สูงสุด

0.042

0.095

Gate charge รวม Qg (nC)

ปกติ

105

50

Gate-Drain charge Qgd (nC)

ปกติ

35

17

ความจุไฟฟ้าขาเข้า Ciss (pF)

ปกติ

6280

2880

ความต้านทางความร้อน Channel-to-case Rth(ch-c) (°C/W)

สูงสุด

0.347

0.543

เวลาฟื้นตัว  trr (ns)

ปกติ

160

115

ซีรีส์ปัจจุบันของโตชิบา (DTMOSIV) หมายเลขชิ้นส่วน

TK62N60W5[7]

TK35N65W5,

TK31N60W5[7]

หมายเหตุ:
[7] VDSS=600V

คลิกลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TK042N65Z5
TK095N65Z5

คลิกลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MOSFETs ของโตชิบา
MOSFETs

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation เป็นซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชั่นเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง โดยใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมที่สั่งสมมากว่าครึ่งศตวรรษในการนำเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน, ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ
พนักงานของบริษัทนับ 21,500 คนทั่วโลกต่างร่วมกันมุ่งมั่นเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้สูงสุด และส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในการสร้างคุณค่าและตลาดใหม่ร่วมกัน ด้วยยอดขายต่อปีเกือบ 8 แสนล้านเยน (6.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) บริษัท Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ตั้งตารอที่จะสร้างและมีส่วนร่วมในอนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนทุกที่
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53899054/en

ข้อมูลติดต่อ

สอบถามข้อมูลลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์กำลัง
โทร: +81-44-548-2216
ติดต่อเรา

สอบถามข้อมูลสื่อ:
Chiaki Nagasawa
Digital Marketing Dept.
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation


การโรมมิ่งข้อมูลโดยไม่ต้องกังวล ในทุกแอป: eSIM Innovator 1GLOBAL มอบบริการโรมมิ่งของตัวเองให้กับกลุ่มเทคโนโลยีทางด้านการเงิน (FinTech)

Logo

  • ความสนใจที่เพิ่มขึ้นในการผสานรวม API การสื่อสารเคลื่อนที่อันเป็นเอกลักษณ์ของ 1GLOBAL จากบริษัทด้านการเดินทางและการเงิน
  • แพ็คเกจข้อมูลทั่วโลกที่ไม่มีค่าบริการโรมมิ่งถูกนำเสนอให้กับลูกค้าชาวยุโรปหลายล้านคนในเร็วๆ นี้
  • กลุ่มเทคโนโลยีทางด้านการเงิน (FinTech) กลายเป็นกลุ่มแรกในภาคส่วนที่บูรณาการเทคโนโลยี 1GLOBAL เข้ากับแอปธนาคาร

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–23 กุมภาพันธ์ 2024

อุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้บริการที่เป็นนวัตกรรมของ 1GLOBAL ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลูกค้าชาวยุโรปมากกว่า 30 ล้านรายจะหลีกเลี่ยงการเสียค่าบริการโรมมิ่งในกว่า 160 ประเทศในเร็วๆ นี้ได้

Data Roaming Without Worries, Now in Every App: eSIM Innovator 1GLOBAL gives FinTech its Own Roaming Service. (Graphic: Business Wire)

โรมมิ่งข้อมูลได้โดยไม่ต้องกังวล พร้อมแล้ววันนี้ในทุกแอป: eSIM Innovator 1GLOBAL มอบบริการโรมมิ่งของตัวเองให้กับกลุ่มเทคโนโลยีทางด้านการเงิน (FinTech) (กราฟฟิก: Business Wire)

ด้วยการบูรณาการ 1GLOBAL API อย่างสมบูรณ์ ทำให้เทคโนโลยีทางด้านการเงิน(fintech) Revolut ระดับโลกช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงเครือข่ายมือถือราคาประหยัดทั่วโลกของ 1GLOBAL ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เมื่อผู้ใช้เปิดใช้งานแล้ว SIM แบบฝัง (eSIM) จะถูกสร้างขึ้นสำหรับอุปกรณ์มือถือ

"ผู้ใช้สามารถติดตั้ง eSIM ได้ภายในหนึ่งนาทีโดยไม่ต้องออกจากแอป Revolut”  คุณ Hakan Koç ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ 1GLOBAL กล่าว “นี่คือเหตุผลที่ผู้เล่นจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การเดินทาง ประกันภัย เทคโนโลยีทางด้านการเงิน(fintech) สายการบิน โลจิสติกส์ VIP และอื่นๆ ต่างมาหาเราเพื่อเพิ่มขอบเขตบริการที่พวกเขานำเสนอโดยการบูรณาการการเชื่อมต่อของเรา"

แทนที่จะต้องได้รับซิมจริงเพื่อเข้าถึงเครือข่ายท้องถิ่นเมื่อมาถึง ลูกค้าที่ใช้แอปที่รวมเทคโนโลยีของ 1GLOBAL นั้นเพียงแค่ตั้งค่า eSIM บนอุปกรณ์ของตน ซึ่งจะทำให้พวกเขาควบคุมการเชื่อมต่อได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการแสดงปริมาณการใช้ข้อมูลอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถใช้แอปเพื่อซื้อแผนบริการข้อมูลได้แม้ว่าแผนบริการจะหมดไปแล้วก็ตาม

ที่ Revolut เรารู้ว่าลูกค้าของเรายังคงเชื่อมต่อกับบริการของ Revolut อยู่เสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณข้อมูลที่ได้รับ Revolut eSIMs ซึ่งพัฒนาร่วมกับ 1Global เป็นเทคโนโลยีที่สะดวกสบายและมอบคุณค่าที่ยอดเยี่ยมซึ่งปรับให้เหมาะกับผู้ชมทั่วโลกของเรา" คุณ David Tirado รองประธานฝ่ายธุรกิจระดับโลกของ Revolut แสดงความคิดเห็น

บริษัทใดก็ตามสามารถรวมเทคโนโลยี 1GLOBAL เข้ากับข้อเสนอของลูกค้าผ่านชุด API ได้ เป็นผลให้ลูกค้าอยู่ในแอปนั้นได้นานขึ้น มีการสร้างช่องทางรายได้ใหม่ สร้างมูลค่าให้กับลูกค้า และความภักดีต่อแบรนด์เพิ่มขึ้น

ในกรณีของ Revolut การบูรณาการเทคโนโลยี 1GLOBAL อย่างเต็มรูปแบบได้ถูกสร้างขึ้นในแอปของตัวเองและภายใต้แบรนด์ของตัวเอง อีกทางเลือกหนึ่ง บริษัทต่างๆ สามารถนำเสนอการเชื่อมต่อ 1GLOBAL ในฐานะบุคคลที่สามหรือบริษัทในเครือผ่านการอ้างอิง (เช่น รหัส QR) ที่แนะนำให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ eSIM และ 1GLOBAL ของตนได้
 

"ในฐานะผู้ริเริ่มเทคโนโลยีโทรคมนาคม เราได้สร้างเครือข่ายโทรคมนาคมระดับโลกของเราเอง และสามารถออก eSIM และ International Mobile Subscriber Identity (IMSI) ได้”  Koç.อธิบาย “สิ่งนี้ทำให้เราแตกต่างจากผู้จำหน่ายที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายของตนเองและทำเพียงขายแพ็คเกจข้อมูลต่อเท่านั้น

แพลตฟอร์ม 1GLOBAL ช่วยให้ผู้ให้บริการแอปสามารถนำเสนอการเชื่อมต่อทั่วโลกแก่ผู้ใช้ ซึ่งสนับสนุนโดยผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือนบนมือถือ (MVNO) เก้าราย พันธมิตรโรมมิ่งที่ได้รับการสนับสนุนระหว่างประเทศห้าราย และการเชื่อมต่อระหว่างกันมากกว่า 150 รายการ การเชื่อมต่อ 'ไฮเปอร์สเกล' ประเภทนี้ซึ่งมีเส้นทาง 2,000 เส้นทางไปยังผู้ให้บริการมือถือ 350 ราย ครอบคลุม 2G ถึง 5G และ LPWAN จะเป็นไปไม่ได้หากปราศจากใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมของ 1GLOBAL

เกี่ยวกับ 1GLOBAL

1GLOBAL ให้การเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือที่รวดเร็วและปลอดภัยในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก เทคโนโลยี eSIM ของพวกเขาผสานรวมเข้ากับแอป Revolut ที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น และสามารถติดตั้งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่รองรับ eSIM ได้ภายในเวลาไม่ถึงนาที

1GLOBAL ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 โดยเป็นสตาร์ทอัพใหม่ของ Hakan Koç ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอร่วมของ AUTO1 Group 1GLOBAL ได้เข้าซื้อกลุ่มสินทรัพย์โทรคมนาคมที่ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งรวมถึงเครือข่ายมือถือระดับโลกที่ได้รับการรับรองจาก GSMA ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีสำนักงานใหญ่ในลอนดอน และมีศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาในลิสบอน ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 400 คนใน 12 ประเทศ และได้รับสถานะ MVNO ที่ได้รับการควบคุมโดยสมบูรณ์ใน 9 ประเทศ

www.1global.com

เกี่ยวกับ Revolut

Revolut คือเทคโนโลยีทางด้านการเงิน (FinTech) ระดับโลกที่ช่วยให้ผู้คนได้รับเงินมากขึ้น ในปี 2015 Revolut ได้เปิดตัวในสหราชอาณาจักรโดยให้บริการด้านการโอนเงินและแลกเปลี่ยน ปัจจุบัน ลูกค้ามากกว่า 35 ล้านคนทั่วโลกใช้ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของ Revolut หลายสิบรายการเพื่อทำธุรกรรมมากกว่าครึ่งพันล้านรายการต่อเดือน

ทั้งบัญชีส่วนบุคคลและบัญชีธุรกิจของเรา เราให้ลูกค้าควบคุมการเงินของตนได้มากขึ้น และเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกได้อย่างราบรื่น

www.revolut.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53900064/en

ติดต่อ

Ingmar Remus & Thomas Klimmek
1GLOBAL@siccmamedia.de

ที่มา: 1GLOBAL

สตาร์ทอัปกับความท้าทายในการช่วยพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนสำหรับการผลักดันคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ของอุตสาหกรรมทั่วโลก

Logo

ลอนดอน –(BUSINESS WIRE)–20 กุมภาพันธ์ 2024

โครงการนานาชาติบุกเบิกที่นำสตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยีมาพบกับผู้ผลิตชั้นนำในการดักจับคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์  (Net Zero) นั้นเริ่มต้นขึ้นแล้ว

Innovandi Open Challenge 2024 บริหารงานโดย Global Cement and Concrete Association (GCCA) หน่วยงานระดับนานาชาติชั้นนำของอุตสาหกรรมซึ่งมุ่งเน้นไปที่การช่วยให้อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมายบรรลุเป้าหมายคอนกรีตที่มีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในที่สุด

การสมัครกำลังได้รับความสนใจจากสตาร์ทอัปทั่วโลก ที่สนใจในการทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาการติดตามการใช้และการจัดเก็บคาร์บอน สำหรับซีเมนต์และคอนกรีตที่มีคาร์บอนต่ำ มีการแสวงหาเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรม ซึ่งรวมถึงกระบวนการที่ถูกรวบรวมและการใช้และการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปลายท่อ และช่วยป้องกันไม่ให้คาร์บอนถูกปล่อยออกไปที่ชั้นบรรยากาศ

นี่จะเป็น Innovandi Open Challenge ครั้งที่สามและสร้างขึ้นมาจากความสำเร็จของปีก่อนๆ ชาเลนจ์ครั้งแรกในปี 2022 ก็มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน และมีสตาร์ทอัปสองรายได้ไปถึงขั้นตอนนำร่องแล้ว สตาร์ทอัป 15 รายที่ได้รับเลือกใน Innovandi Challenge ครั้งที่ 2 เมื่อปีที่แล้ว ที่จะทำงานในการพัฒนาคอนกรีตที่มีคาร์บอนต่ำ ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตในการจัดตั้งพันธมิตร

Claude Loréa ผู้อำนวยการ GCCA’s Cement, Innovation and ESG กล่าวว่า “อุตสาหกรรมของเรามีพันธะในการบรรลุคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และการพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนเป็นส่วนสำคัญของงานนั้น โครงการ Innovandi Opem Challenge ขั้นนำระดับโลกของเราได้มีความคืบหน้าที่สำคัญทั้งที่เพิ่งผ่านไปได้สองปี ด้วยความร่วมมือกันของเหล่าสตาร์ทอัปและบริษัทสมาชิกของเรา เราเฝ้ารอที่จะดูว่าผู้สมัครปีนี้จะนำพาอะไรมา เพื่อสร้างผลงานอันแพร่หลายที่กำลังดำเนินอยู่ทั่วโลก”

สมาชิก GCCA ทั้งหมดที่คิดเป็นสัดส่วน 80% ของกำลังการผลิตซีเมนต์ทั่วโลกนอกประเทศจีน และผู้ผลิตจีนชั้นนำจำนวนหนึ่ง มีความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ด้วยกลยุทธ์  Concrete Future 2050 Net Zero ของ GCCA อุตสาหกรรมระดับโลกแห่งแรกที่กำหนดแผนที่มีรายละเอียดชัดเจน นอกจากนี้ GCCA ยังเพิ่งลงนามสัญญาใหม่ในการทำงานร่วมกันเกี่ยวกับการลดคาร์บอนกับ China Cement Association (CCA)

การพัฒนาเทคโลยีใหม่เป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมสู่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ และเทคโนโลยีการจับและกักเก็บคาร์บอนคาดว่าจะคิดเป็นประมาณ 36% ของการลดการปล่อยก๊าซทั้งหมดภายในปี 2050

โรงงานซีเมนต์ระดับอุตสาหกรรมแห่งแรกของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนมีกำหนดจะแล้วเสร็จด้วยเครื่องจักรที่ไซต์งาน Heidelberg Materials ในเมืองเบรวิค ประเทศนอร์เวย์ ภายในปี 2024 ด้วยการคาดการณ์ว่าจะมีโรงงานเปิดเพิ่มอีกหลายแห่งภายในปี 2030

Thomas Guillot ผู้บริหารระดับสูงของ GCCA กล่าวว่า “เรารู้อยู่แล้วว่าเทคโนโลยีของ CCUS ใช้งานได้ ด้วยโครงการนำร่องและโครงการอื่นๆ ที่กำลังดำเนินการทั่วโลก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูว่ามีนวัตกรรมอื่นอะไรบ้างที่นอกเหนืออุตสาหกรรมของเรา ที่อาจช่วยเร่งภารกิจคาร์บอนเป็นศูนย์ของเรา

“เราสนับสนุนการสมัครจากสตาร์ทอัปตัวโลกให้เข้าร่วมในการต่อสู่อันเร่งด่วนเพื่อจำกัดภาวะโลกร้อน ถ้าคุณเป็นสตาร์ทอัปจากออสเตรียไปจนถึงออสเตรเลีย จากบราซิลไปจนถึงบังกลาเทศ ที่มีแนวคิดนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเพื่อพัฒนา CCUS ให้ดียิ่งขึ้น ถ้าแบบนั้นคุณก็ควรสมัคร”

Jonathan Cool ซีอีโอแห่ง Ultra High Materials บริษัทสตาร์ทอัปแห่งหนึ่งที่เข้าร่วมเมื่อปีที่แล้ว ได้สนับสนุนให้บริษัทอื่นๆ มาสมัคร “การสนับสนุน คำแนะนำ การเปิดรับสมาชิก GCCA และการอำนวยความสะดวกในโอกาสในการทำงานร่วมกันกับ GCCA เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และส่งผลที่มีประโยชน์แก่พวกเราทุกคน ถ้ามีโอกาสให้ทำทั้งหมดอีกครั้ง เราก็คงจะทำแน่นอน”

สตาร์ทอัปที่สนใจในการสมัคร Innovandi Open Challenge ครั้งที่ 3 สามารถคลิกที่นี่ เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม ระยะเวลาสมัครสิ้นสุด 15 เมษายน

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

รายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอสัมภาษณ์ ให้ติดต่อ:
Simon Thomson, Head of Media, GCCA simon.thomson@gccassociation.org / +44 7380 972282

ที่มา: Global Cement and Concrete Association

Norths Collective มีการปรับแต่งประสบการณ์เฉพาะตัวสำหรับสมาชิกกว่า 61,000 ราย และเร่งการขยายตัวด้วย Boomi

Logo

กลุ่มฝ่ายต้อนรับและการออกกำลังกายแบบไดนามิกใน NSW มีการใช้ Boomi เพื่อเชื่อมต่อสภาพแวดล้อมดิจิทัลและสร้างรากฐานสำหรับการวิเคราะห์ธุรกิจ

SYDNEY–(BUSINESS WIRE)–20 กุมภาพันธ์ 2024

Boomi™ ผู้นำด้านการบูรณาการและระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ มีการประกาศในวันนี้ว่า Norths Collective มีการใช้ แพลตฟอร์ม Boomi เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์เฉพาะตัวสำหรับสมาชิก ส่งเสริมการดำเนินงานในแต่ละวัน และเร่งการขยายตัวโดยการควบรวมอุตสาหกรรม

Norths Collective Personalizes 61,000 Members’ Experiences, Expedites Expansion With Boomi (Graphic: Business Wire)

Norths Collective มีการปรับแต่งประสบการณ์เฉพาะตัวสำหรับสมาชิกกว่า 61,000 ราย และเร่งการขยายตัวด้วย Boomi (กราฟิก: Business Wire)

Norths Collective คือกลุ่มสถานบริการแปดแห่งและศูนย์ออกกำลังกายอีกสองแห่งที่สมาชิกเป็นเจ้าของ โดยตั้งอยู่ที่ชายฝั่งทางเหนือของ Sydney และทางตอนเหนือของ New South Wales ในฐานะธุรกิจที่แสวงหาผลกำไร ผลกำไรของ Norths Collective จะได้รับการคืนกลับไปสู่สมาชิกและชุมชน โดยบริการดิจิทัล Norths Collective มีการใช้แพลตฟอร์มบูรณาการของ Boomi ในฐานะบริการ (iPaaS) เพื่อช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยอนุญาตให้สามารถเชื่อมต่อระบบที่แยกจากกัน รวมศูนย์ข้อมูลการปฏิบัติงานและข้อมูลสมาชิกที่ศูนย์กลาง และปรับปรุงการตัดสินใจทางธุรกิจ

ปีนี้จะเป็น ‘ปีแห่งการเพิ่มประสิทธิภาพการบูรณาการ’ สำหรับ Norths เพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติด้านการวิเคราะห์ธุรกิจที่จะยกระดับประสบการณ์ของลูกค้ากว่า 61,000 ทั่วทั้งฐานสมาชิกที่มีอยู่ โดยจะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงวิธีการบริหารสถานที่ของเรา ตรวจสอบให้แน่ใจว่า มีการปรับการมีส่วนร่วมให้เหมาะกับความต้องการของสมาชิก และทำให้การเข้าถึงสถานที่และศูนย์ออกกำลังกายของเราได้อย่างง่ายดายเท่าที่เป็นไปได้” Robert Lopez ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายแบรนด์เพื่อสร้างประสบการณ์ของลูกค้าและนวัตกรรมที่ Norths Collective กล่าว “การบรรลุเป้าหมายทั้งหมดนี้เริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยการบูรณาการของเรา  Boomi เป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของเรา ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำเสนอมุมมองแบบ 360 องศา ใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น และขับเคลื่อนการตัดสินใจทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น”

Boomi ช่วยเสริมให้ Norths Collective สามารถบูรณาการ Salesforce เข้ากับแอปพลิเคชันที่ใช้สำหรับสถานที่ให้บริการและร้านอาหาร ฟิตเนสเซ็นเตอร์ การจองตั๋วและอีเว้นท์ต่างๆ จุดขาย และที่สำคัญที่สุดคือ โปรแกรมการเป็นสมาชิก และแอปมือถือรุ่นใหม่ ล่าสุด Norths Collective มีการบูรณาการ Tableau เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การวิเคราะห์ธุรกิจ และวางแผนที่จะรวมทรัพยากรบุคคล (HR) และบัญชีรายชื่อ ฝ่ายการเงินและการบัญชี ระบบซัพพลายเออร์ การจัดการความเสี่ยงขององค์กร (ERM) ระบบโทรศัพท์ และโซเชียลมีเดียในอนาคตอันใกล้นี้

ก่อนที่จะมี Boomi Norths Collective มีการจัดการการบูรณาการแบบจุดต่อจุดจำนวนมากด้วยตัวเอง แม้ว่าหลายระบบจะมีการดำเนินการอย่างเป็นอิสระต่อกันอย่างสมบูรณ์ก็ตาม ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของบริษัทในการเข้าถึงพฤติกรรมของสมาชิก และทำให้การนำเสนอบริการใหม่ๆ ได้ช้าลง

สภาพแวดล้อมที่เชื่อมต่อกับ Boomi ของ Norths Collective สร้างข้อได้เปรียบหลายประการ ปัจจุบันนี้ อีเมลทุกฉบับที่ส่งถึงสมาชิกจะได้รับการปรับแต่งเฉพาะสำหรับแต่ละสมาชิก ส่งผลให้มีการคลิกเพิ่มขึ้นถึง 10 เปอร์เซนต์ ด้วยการเปิดเผยข้อมูลที่สมบูรณ์ ช่วยให้ Norths Collective สามารถพัฒนาและแบ่งปันนโยบายการปรับเปลี่ยนเฉพาะตัวบุคคลอย่างมีจริยธรรมแก่ชุมชน พร้อมรายละเอียดวิธีการที่องค์กรใช้ข้อมูลอย่างมีจริยธรรม ในแผนงานอนาคต สถานที่จัดงานของ Norths Collective จะช่วยให้ผู้จัดการตามระดับขั้นสามารถมองเห็นภาพการจัดสรรพนักงานด้วยธุรกรรมแบบเรียลไทม์ เพื่อให้แน่ใจว่า มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ Boomi จะให้การสนับสนุนความมุ่งมั่นของ Norths Collective ในการผสานรวม Apple Pay และ Google Pay เข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถปรับเสริมและปรับปรุงการสมัครสมาชิกได้อย่างง่ายดาย โดยมีขั้นตอนการชำระเงินที่รวดเร็วและง่ายดาย

Boomi ยังมีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของ Norths Collective โดยการเร่งดำเนินการเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ อย่างรวดเร็วหลังการควบรวมกิจการ ดังที่กล่าวมา Norths Collective มีการวางแผนการควบรวมกิจการเพิ่มเติมในปีต่อๆ ไป โดยที่สมาชิกใหม่ที่ควบรวมเข้าด้วยกันจะสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์แบบเดียวกันกับสมาชิกที่มีอยู่อย่างรวดเร็ว

“ความสามารถในการขยายขนาดของเราได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ เราใช้เวลา 10 สัปดาห์ในการเปิดใช้สถานที่ใหม่และรวมเข้าในภูมิทัศน์ดิจิทัลของเรา” Lopez กล่าว “ปัจจุบันนี้ เราสามารถลดระยะเวลาลงได้เหลือสามสัปดาห์ – นั่นหมายถึง เราลดระยะเวลาในการเปิดตัวสู่ตลาดถึง 70 เปอร์เซนต์ Boomi ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อระบบที่แยกจากกันก่อนหน้านี้เข้ากับ Salesforce ได้แบบเรียลไทม์ ดังนั้น จึงไม่ต้องแยกข้อมูลออกจากกันอีกต่อไป และด้วยการบูรณาการแบบเรียลไทม์นี้ สมาชิกใหม่ก็สามารถเข้าถึงแอปของเราได้ในทันทีที่เข้าร่วม”

Nathan Gower ผู้อำนวยการของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ Boomi กล่าว “ประสบการณ์ของลูกค้าสามารถสร้างหรือทำลายธุรกิจของเราได้ คุณภาพในทุกการปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะต่อหน้า ผ่านแอป หรือออนไลน์ ล้วนเป็นตัวกำหนดแนวโน้มในการกลับมาอีกครั้งของผู้บริโภค Norths Collective มีการกำหนดมาตรฐานสำหรับประสบการณ์ของลูกค้าว่าควรเป็นเช่นไร ด้วยการเชื่อมต่อ Boomi เข้ากับระบบดิจิทัลทั้งหมด กลุ่มสมาชิกจึงมีความเข้าใจอย่างแท้จริงในความต้องการของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน เพื่อให้แน่ใจว่า การเข้าใช้งานแต่ละครั้งของลูกค้าจะได้รับความประทับใจในเชิงบวก”

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Boomi

Boomi ขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจด้วยการบูรณาการและระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ ในฐานะบริษัทซอฟต์แวร์และบริการชั้นนำ (SaaS) ระดับโลก Boomi เฉลิมฉลองในวาระที่มีลูกค้าทั่วโลกกว่า 20,000 คนและมีเครือข่ายพันธมิตรทั่วโลก 800 ราย องค์กรต่างๆ หันมาใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับรางวัลของ Boomi ในการเชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชัน ข้อมูล และผู้คน เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ boomi.com

© 2024 Boomi, LP. Boomi, โลโก้ ‘B’, และ Boomiverse เป็นเครื่องหมายการค้าของ Boomi, LP หรือบริษัทในเครือ หรือบริษัทสาขา สงวนลิขสิทธิ์ ชื่อหรือเครื่องหมายอื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53893507/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ:
Jasmine Ee
Head of Influencer Relations, APJ
jasmine.ee@boomi.com

แหล่งข้อมูล: Boomi, Inc.

The Bangkok Reporter