Kioxia เริ่มการผลิตอุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง QLC UFS Ver. 4.0 รุ่นแรกจำนวนมากสำหรับอุตสาหกรรม

Logo

อุปกรณ์ 512GB ใหม่นําความหนาแน่นบิตที่สูงขึ้นของ QLC มาสู่ UFS

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–30 ตุลาคม 2024

Kioxia Corporation ผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ประกาศในวันนี้ว่าได้เริ่มการผลิตอุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง1 Universal Flash Storage (UFS)2 Ver. 4.0 รุ่นแรกจำนวนมากสำหรับอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีบันทึกข้อมูล 4 บิตต่อเซลล์ (QLC)

QLC UFS Ver. 4.0 Embedded Flash Memory Devices (Photo: Business Wire)

อุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง QLC UFS Ver. 4.0 (ภาพ: Business Wire)

QLC UFS มีความหนาแน่นของบิตที่สูงกว่า TLC UFS แบบดั้งเดิม ทําให้เหมาะสําหรับแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ต้องการความจุในการจัดเก็บข้อมูลที่สูงขึ้น ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีคอนโทรลเลอร์และการแก้ไขข้อผิดพลาดทําให้เทคโนโลยี QLC สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพในการแข่งขันไว้ได้ QLC UFS ขนาด 512 กิกะไบต์ (GB) ใหม่ของ Kioxia มีความเร็วในการอ่านแบบเรียงสูงสุด 4,200 เมกะไบต์ต่อวินาที (MB/s) และความเร็วในการเขียนแบบเรียงสูงสุด 3,200 MB/s โดยใช้ประโยชน์จากความเร็วอินเทอร์เฟซ UFS 4.0 ได้อย่างเต็มที่

QLC UFS ของ Kioxia เหมาะอย่างยิ่งสําหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ตลอดจนแอปพลิเคชันรุ่นต่อไปอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึงความจุและประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลที่สูงขึ้นเป็นหลัก รวมถึงพีซี เครือข่าย AR/VR และ AI

Kioxia เป็นบริษัทแรกที่เปิดตัวเทคโนโลยี UFS3 และยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์ QLC UFS Ver. 4.0 ใหม่นี้ผสานรวมหน่วยความจําแฟลช BiCS FLASH™ 3D ที่เป็นนวัตกรรมของบริษัทและคอนโทรลเลอร์ในแพ็คเกจมาตรฐาน JEDEC UFS 4.0 ผสานรวม MIPI M-PHY 5.0 และ UniPro 2.0 และรองรับความเร็วอินเทอร์เฟซเชิงทฤษฎีสูงสุด 23.2 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ต่อเลนหรือ 46.4 Gbps ต่ออุปกรณ์ UFS 4.0 เข้ากันได้กับ UFS 3.1 รุ่นเก่าได้

คุณสมบัติหลัก ได้แก่ :

  • รองรับคุณสมบัติ High Speed Link Startup Sequence (HS-LSS): ด้วย UFS ทั่วไป การเริ่มต้นลิงค์ (ลําดับการเริ่มต้น M-PHY และ UniPro) ระหว่างอุปกรณ์และโฮสต์จะดําเนินการที่ PWM-G1 ความเร็วต่ำ (3~9 เมกะบิตต่อวินาที 4) แต่ด้วย HS-LSS สามารถทํางานได้ที่ HS-G1 Rate A ที่เร็วกว่า (1,248 เมกะบิตต่อวินาที) คาดว่าจะช่วยลดเวลาในการเริ่มต้นลิงค์ได้ประมาณ 70% เมื่อเทียบกับวิธีทั่วไป
  • เพิ่มความปลอดภัย: โดยใช้ Advanced RPMB (Replay Protected Memory Block) เพื่อปรับปรุงการเข้าถึงการอ่านและเขียนข้อมูลความปลอดภัย เช่น ข้อมูลประจําตัวของผู้ใช้ในพื้นที่ RPMB และ RPMB Purge เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลความปลอดภัยที่ถูกทิ้งจะถูกทำความสะอาดอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว
  • รองรับ Extended Initiator ID (Ext-IID): ออกแบบมาเพื่อใช้กับ Multi Circular Queue (MCQ) ที่ตัวควบคุมโฮสต์ UFS 4.0 เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการสุ่ม

หมายเหตุ

(1)การอ้างสิทธิ์ครั้งแรกในอุตสาหกรรมจากการสํารวจข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะของ Kioxia ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2024

(2)Universal Flash Storage (UFS) เป็นหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์สําหรับผลิตภัณฑ์หน่วยความจําแบบฝังที่สร้างขึ้นตามข้อกําหนดมาตรฐาน JEDEC UFS เนื่องจากมีอินเทอร์เฟซแบบอนุกรม UFS จึงรองรับการพิมพ์แบบดูเพล็กซ์เต็มรูปแบบซึ่งช่วยให้สามารถอ่านและเขียนพร้อมกันระหว่างโปรเซสเซอร์โฮสต์และอุปกรณ์ UFS ได้

(3)การจัดส่งตัวอย่างครั้งแรกของ Kioxia Corporation ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2013
https://www.kioxia.com/en-jp/business/news/2013/20130208-1.html

(4)ความเร็วในการสื่อสาร PWM-G1 ขึ้นอยู่กับโฮสต์และอุปกรณ์

*ทุกครั้งที่การกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ Kioxia: ความหนาแน่นของผลิตภัณฑ์จะถูกระบุตามความหนาแน่นของชิปหน่วยความจําภายในผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่ปริมาณความจุหน่วยความจําที่ผู้ใช้ปลายทางสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ ความจุที่ผู้บริโภคใช้ได้จะลดลงเนื่องจากพื้นที่ข้อมูลโอเวอร์เฮด การจัดรูปแบบ บล็อกที่ไม่ดี และข้อจํากัดอื่นๆ และอาจแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์โฮสต์และแอปพลิเคชัน สําหรับรายละเอียด โปรดดูข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ ที่เกี่ยวข้อง คําจํากัดความของ 1KB = 2^10 ไบต์ = 1,024 ไบต์ คําจํากัดความของ 1Gb = 2^30 บิต = 1,073,741,824 บิต คําจํากัดความของ 1GB = 2^30 ไบต์ = 1,073,741,824 ไบต์ 1Tb = 2^40 บิต = 1,099,511,627,776 บิต

*1 Gbps คํานวณเป็น 1,000,000,000 บิต/วินาที ความเร็วในการอ่านและเขียนเป็นค่าที่ดีที่สุดที่ได้รับในสภาพแวดล้อมการทดสอบเฉพาะที่ Kioxia และ Kioxia รับประกันความเร็วในการอ่านหรือเขียนในอุปกรณ์แต่ละเครื่อง ความเร็วในการอ่านและเขียนอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้และขนาดไฟล์ที่อ่านหรือเขียน

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ซึ่งทุ่มเทให้กับการพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายหน่วยความจําแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 Toshiba Memory รุ่นก่อนได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจําแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจํา” โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและคุณค่าตามหน่วยความจําสําหรับสังคม เทคโนโลยีหน่วยความจําแฟลช 3D ที่เป็นนวัตกรรมของ Kioxia ที่เรียกว่า BiCS FLASH™ กําลังกําหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่มีความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

*ข้อมูลในเอกสารนี้ เช่น ราคาและข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54143662/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สอบถามข้อมูลสื่อ:

Kioxia Corporation

ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การขาย

Satoshi Shindo

โทรศัพท์: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

Veea, O.N.E. Amazon และ AECOM ร่วมกันสร้างเครือข่าย Internet of Forests (IoF) โซลูชันคอมพิวเตอร์แบบไฮบริด Edge-Cloud เพื่อปกป้องชีวนิเวศป่าฝนและสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น

Logo

โครงการ IoF แรกจะมีการสาธิตสดที่งานประชุมว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติ (COP 16) ในเมืองกาลิ โคลอมเบีย ในเดือนตุลาคม 2024

นิวยอร์ก และกาลิ, โคลอมเบีย–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Veea (NASDAQ : VEEA) ผู้นำรายแรกในตลาดด้านเครือข่ายมัลติแอ็กเซสแบบไฮเปอร์คอนเวอร์จ (hyperconverged multiaccess) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้จับมือกับรัฐบาลโคลอมเบีย, O.N.E. Amazon และ AECOM ร่วมกันติดตั้งโซลูชันแบบไฮบริดที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าและหลากหลาย ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และการสื่อสารแบบ Edge-Cloud ในพื้นที่อนุรักษ์ที่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลโคลอมเบีย วัตถุประสงค์ของการติดตั้งครั้งนี้คือเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์สุขภาพของป่าฝนและเชื่อมโยงทุกเฮกตาร์ของป่าเข้าสู่ระบบดิจิทัล เพื่อมอบประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนแก่ชุมชนในชนบท โครงการริเริ่ม Internet of Forests นี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแต่ละหน่วยงานต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งมุ่งส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองขณะเดียวกันก็ปกป้องโลกใบนี้ด้วย

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งทวีปอเมริกากล่าวว่า “ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศทั่วโลกกำลังลดลง และแรงกดดันที่นำไปสู่การลดลงดังกล่าวยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องการการดำเนินการเร่งด่วนเพื่อผันกลับความสูญเสียทางธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการสูญพันธุ์ขนานใหญ่ครั้งที่ 6 (IPBES, 2019) ตั้งแต่ปี 1970 ทั่วโลกมีการลดลงโดยเฉลี่ยของประชากรสัตว์ถึง 69% ในขณะที่ภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียนอยู่ในอันดับสูงสุดของรายชื่อนี้ โดยมีการลดลงที่น่าตกใจถึง 94% (WWF, 2022)” โครงสร้างเทคโนโลยีขั้นสูงของ IoF ได้รับการออกแบบมาไม่เพียงเพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศของอุทยาน Chiribiquete อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดของโคลอมเบียและเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกเท่านั้น แต่ยังเพื่อเผยคุณค่าที่แท้จริงของทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของโลก ซึ่งมุ่งสู่การบริหารจัดการและปกป้องป่าฝนอะเมซอนอย่างยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต

“เมื่อเราให้การมองเห็นทางโลกดิจิทัลกับสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก เราเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการอนุรักษ์ สร้างการมีส่วนร่วม และพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจ” Allen Salmasi ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Veea กล่าว “ด้วยโซลูชันขั้นสูงอย่าง digital twins นั้น IoF มีศักยภาพในการแปลง (transformative capabilities) ที่สามารถคำนวณและมองเห็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้ในวิธีใหม่หมดจด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุรักษ์และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน”

โครงการริเริ่ม IoF จะช่วยให้สามารถตรวจสอบและเก็บข้อมูลได้โดยละเอียด โดยเริ่มจากเซ็นเซอร์ภาคพื้นดินและกล้องที่ติดตั้งในป่าฝน ซึ่งข้อมูลที่เก็บได้จะถูกประมวลผลในพื้นที่ด้วยอุปกรณ์ VeeaHub ที่ทำงานในระบบคลัสเตอร์แบบ mesh ที่ติดตั้งในโซนต่าง ๆ ที่ได้รับการคัดเลือกอย่างรอบคอบทั่วป่าฝน โดยใช้การเชื่อมต่อดาวเทียมเป็นตัวสนับสนุน การผสานข้อมูล (data fusion) ผ่านการรวมข้อมูลภาคพื้นดินที่ได้รับการประมวลผลจากแหล่งที่มาต่าง ๆ เข้ากับข้อมูลจาก LIDAR ที่ใช้ดาวเทียม และ/หรือภาพความละเอียดสูง พร้อมการแมชชีนเลิร์นนิงและ AI ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญและความรู้ขั้นสูงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ สภาพแวดล้อม กิจกรรมของมนุษย์ ตัวแปรชีวฟิสิกส์ และทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ความสามารถหลากหลายที่ติดตั้งใน IoF นี้ทำให้สามารถสร้างกลไกการตรวจสอบ การรายงาน และการยืนยัน (monitoring, reporting and verification : MRV) ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถให้ข้อมูลสภาพของพื้นดินแบบเรียลไทม์ เช่น การเริ่มต้นของไฟป่า การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะเดียวกันยังช่วยในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิและความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่น

Rodrigo Veloso ซึ่งเป็น CEO ของ O.N.E. Amazon กล่าวว่า “ภารกิจของเราคือการขับเคลื่อนโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยเกือบ 50 ล้านคนในภูมิภาคอะเมซอน ในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาชีวนิเวศ (biome) ไว้สำหรับคนรุ่นหลัง”

Robert Spencer หัวหน้าฝ่ายธรรมชาติและความยั่งยืนระดับโลกของ AECOM กล่าวว่า “เทคโนโลยีด้านธรรมชาติกำลังปฏิวัติวิธีการตัดสินใจเกี่ยวกับป่าฝนเขตร้อนอะเมซอนที่เป็นเอกลักษณ์และชุมชนที่พึ่งพาอยู่ การใช้ข้อมูลสดช่วยให้เรามั่นใจได้ว่า การดำเนินการของเรามีประสิทธิภาพและยั่งยืน AECOM มุ่งมั่นที่จะผลักดันการตัดสินใจที่ดีขึ้นและผลลัพธ์ของชุมชนผ่านความร่วมมือที่มีธรรมชาติเป็นโฟกัสนี้”

แพลตฟอร์ม IoF ที่สร้างโดยพันธมิตรในระบบนิเวศนี้ไม่เพียงแต่มีศักยภาพในการปกป้องระบบนิเวศป่าฝนและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมสำหรับชุมชนท้องถิ่นด้วย ซึ่งจะช่วยให้แอปพลิเคชันที่ใช้ Edge AI สามารถสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน เช่น เกษตรอัจฉริยะด้วยการเกษตรที่มีความแม่นยำ การจัดการน้ำ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การผลิตพลังงานหมุนเวียนที่หลากหลาย และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์แบบไฮบริด Edge-Cloud ของ Veea ช่วยให้เกิดเครือข่ายขั้นสูงและแอปพลิเคชัน Edge ที่รองรับโดยการเชื่อมต่อและการจัดการแอปพลิเคชันที่ครอบคลุม รวมถึงบล็อกเชน IoT/IIoT/AIoT และเทคโนโลยีการจัดการข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้ผสานรวมกันให้โซลูชัน “last-hectare” ที่ครบวงจรในป่าฝน เช่น :

  • การเข้าถึงเนื้อหาที่แคชไว้ในพื้นที่และอัปเดตเป็นประจำสำหรับการศึกษา การดูแลสุขภาพ การฝึกอบรม ข่าว และความบันเทิง
  • การวางแผนและการจัดการโซลูชันพลังงานหมุนเวียนในราคาย่อมเยา
  • การติดตามมลพิษทางน้ำ คุณภาพอากาศ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เกี่ยวกับ Veea

Veea® ทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานที่ขอบเครือข่ายง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น Veea ได้รวมการประมวลผลแบบหลายผู้เช่า การสื่อสารแบบมัลติแอคเซสหลายโปรโตคอล การจัดเก็บข้อมูลที่ขอบเครือข่าย และโซลูชันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ไว้ในผลิตภัณฑ์ที่บริหารจัดการทั้งบนคลาวด์และที่ขอบเครือข่ายแบบครบวงจร ผลิตภัณฑ์ Multiaccess Edge Computing (MEC) ของ Veea ซึ่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่ต้นในรูปแบบขนาดกะทัดรัด ได้นำฟังก์ชันการทำงานที่โดยปกติจะได้รับจากการรวมกันของเซิร์ฟเวอร์, อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่าย (Network Attached Storage หรือ NAS), เราท์เตอร์, ไฟร์วอลล์, จุดเชื่อมต่อ Wi-Fi (Access Points หรือ AP), เกตเวย์ IoT, การเข้าถึงไร้สาย 4G หรือ 5G และการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud Computing หรือ CC) มารวมไว้ในผลิตภัณฑ์เดียวกัน ที่มีการบูรณาการระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบต่าง ๆ ซึ่งผู้ปฏิบัติงานด้าน IT/OT จะต้องดูแลรักษา เมื่อเปรียบเทียบกับโซลูชันแบบเดิมแล้ว Veea Edge Platform ให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองแอปพลิเคชันที่สูงขึ้น เพิ่มความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ปกป้องข้อมูล และมีการรับรู้ตามบริบท รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งข้อมูลและค่าใช้จ่ายรวมของการเป็นเจ้าของ ทั้งยังติดตั้ง ใช้งาน ตรวจสอบ และบำรุงรักษาเครือข่ายขอบได้อย่างง่ายดาย ผลิตภัณฑ์ VeeaHub ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่รันด้วยระบบ Linux ซึ่งมีสภาพแวดล้อมซอฟต์แวร์ที่จำลองแบบเสมือนอย่างครบถ้วนสำหรับแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบคลาวด์โดยใช้คอนเทนเนอร์ Docker™ ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง โดยมีการแยกข้อมูลผู้ใช้และแอปพลิเคชันออกจากกันอย่างเข้มงวด รวมถึงมีการสร้างเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software Defined Networking หรือ SDN) และการจำลองฟังก์ชันของเครือข่าย (Network Function Virtualization หรือ NFV) ที่ครอบคลุมความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อส่งมอบเครือข่ายแบบมัลติฟังก์ชันผ่านเครือข่ายเชื่อมต่อและประมวลผล โซลูชันครบวงจรที่ติดตั้งได้ง่ายนี้มีการจัดการอุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และบริการเสริมต่าง ๆ จากคลาวด์อย่างครบวงจร พร้อมการเข้าถึงเครือข่ายแบบ Zero Trust Network Access (ZTNA) และบริการ Secure Access Service Edge (SASE) ที่ใช้ 5G ซึ่งติดตั้งได้อย่างง่ายดายที่เลือกติดตั้งได้ Veea Edge Platform รองรับการเชื่อมต่อโดยตรงจากเครือข่ายไฟเบอร์ออปติก เครือข่ายเซลลูลาร์ และดาวเทียม สู่เครือข่ายท้องถิ่นที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเครือข่าย VeeaHub ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi และอุปกรณ์ IoT ในลักษณะเดียวกับการจัดการเครือข่ายเซลลูลาร์ ซึ่งเป็นความสามารถที่ได้รับการจดสิทธิบัตรภายใต้ชื่อการแบ่งเครือข่าย (Network Slicing) นอกจากนี้ Veea Developer Portal และเครื่องมือพัฒนายังช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ขอบเครือข่ายเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมความสามารถในการรองรับ Edge AI เป็นทางเลือกเสริม Veea ได้พัฒนาโซลูชันที่คุ้มค่าหลากหลายสำหรับข้อเสนอ B2B และ B2B2C ผ่านผู้ให้บริการ ผู้จัดจำหน่ายพันธมิตร ระบบอินทิเกรเตอร์ พันธมิตรด้านองค์กร และหน่วยงานรัฐบาล สำหรับการใช้งานด้านการค้าปลีกอัจฉริยะ การก่อสร้างอัจฉริยะ โลจิสติกส์และคลังสินค้าอัจฉริยะ การเกษตรอัจฉริยะ อาคารอัจฉริยะ โรงเรียนอัจฉริยะ โรงพยาบาลอัจฉริยะ พิพิธภัณฑ์อัจฉริยะ ไปจนถึงเมืองอัจฉริยะ Veea ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก โดยมีประวัติอันยาวนานในด้านนวัตกรรมเครือข่ายขั้นสูง เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไร้สายและการประมวลผล รวมถึงมีสิทธิบัตรที่ได้รับการอนุมัติกว่า 103 รายการ และกำลังรอการอนุมัติอีก 33 รายการในเทคโนโลยีหลักด้านการประมวลผลที่ขอบเครือข่ายแบบมัลติฟังก์ชัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม veea.com และติดตามเราทาง X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ O.N.E. Amazon

ในฐานะผู้บุกเบิกการผสานรวมด้านความยั่งยืน การทำโทเคไนเซชัน (tokenization) เทคโนโลยี และตลาดการเงิน O.N.E. Amazon พัฒนาโซลูชันนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ภารกิจของบริษัทคือการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคอะเมซอนผ่านกองทุนเพื่อผลกระทบเชิงบวก O.N.E. Amazon ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาล เจ้าของที่ดินภาคเอกชน ชนเผ่าพื้นเมือง องค์กรไม่แสวงหากำไร และภาคธุรกิจในดินแดนป่าฝนอะเมซอนครอบคลุมพื้นที่โบลิเวีย บราซิล โคลอมเบีย เอกวาดอร์ กายอานา เปรู ซูรินาเม เวเนซุเอลา และเฟรนช์เกียนา เยี่ยมชมได้ที่ www.oneamazon.com

เกี่ยวกับ AECOM

AECOM คือบริษัทที่ปรึกษาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเชื่อถือระดับโลก บริการระดับมืออาชีพตลอดวงจรชีวิตของโครงการ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางแผน การออกแบบและวิศวกรรม ไปจนถึงการบริหารจัดการโครงการและการก่อสร้าง ลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนไว้วางใจให้เราแก้ไขความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดในโครงการต่าง ๆ ครอบคลุมด้านการขนส่ง อาคาร น้ำ พลังงานใหม่ และสิ่งแวดล้อม ทีมงานของเราขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายร่วมกันในการสร้างโลกที่ดีกว่าผ่านความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและดิจิทัลที่ไม่มีใครเทียบ ผ่านวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ความหลากหลาย และการอยู่ร่วมกัน รวมถึงความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล AECOM เป็นบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 โดยธุรกิจบริการระดับมืออาชีพมีรายได้ 14.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2023 ติดตามวิธีการที่เรากำลังสร้างมรดกแห่งความยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปได้ที่ aecom.com และ @AECOM

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ
สื่อมวลชนติดต่อ :
James Christopherson
Sterling Communications สำหรับ Veea Inc.
veea@sterlingpr.com

แหล่งที่มา : Veea

.

.

ปฏิวัติการจัดการและเก็บหลักฐานดิจิทอลด้วยกล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ 5G จาก Hytera

Logo

เซินเจิ้น ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Hytera Communications (SZSE: 002583) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลกได้เปิดตัวนวัตกรรมกล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ (Body Camera) รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมเปิดตัวสองรุ่นใหม่: กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่อัจฉริยะ 4G SC780 และ SC880 รุ่น 5G ทั้งสองรุ่นพร้อมที่จะปฏิวัติการจัดการ จัดเก็บ และเก็บภาพหลักฐานดิจิทอลให้กับหน่วยงานที่ต้องบังคับใช้กฎหมายและบริการฉุกเฉิน

New Smart SC Series Body Camera (Photo: Business Wire)

กล้องบอดี้แคมอัจฉริยะ SC Series ใหม่ (รูปภาพ: Business Wire)

กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ SC Series รุ่นใหม่ของ Hytera โดดเด่นด้วยความสามารถในการบันทึกวิดีโอและเสียงความละเอียดสูง ทั้งยังมาพร้อมกับการรับส่งข้อมูลความเร็วสูง การสตรีมสดแบบเรียลไทม์ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือของหลักฐาน จึงช่วยให้ศูนย์ควบคุมรู้ถึงสถานการณ์ภาคสนามได้อย่างดี เมื่อใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มจัดการหลักฐานดิจิทอล (Digital Evidence Management Platform/DEM) กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ ตัวใหม่นี้ก็จะสามารถยกระดับกระบวนการดูแลจัดการ จัดเก็บ และเก็บภาพหลักฐานดิจิทอลได้

กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ SC Series ตัวใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหวที่ล้ำสมัยและเลนส์มุมกว้าง จึงทำให้วิดีโอออกมาครอบคลุมและนิ่ง ฟีเจอร์กล้องมองกลางคืนช่วยให้ได้ภาพที่ชัดแม้ในสภาวะแสงน้อย รุ่น SC880 ยกระดับไปอีกขั้นด้วยการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงเป็นพิเศษระดับ 4k และขยายเวลาการบันทึกก่อน/หลังได้สูงสุด 300 วินาที นอกจากนี้ กล้องเหล่านี้ยังสามารถบันทึกเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม โดยบันทึกเสียงได้ชัดเจนภายในระยะ 10 เมตร และยังตัดเสียงรบกวนด้วยฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้เสียงออกมาชัดเจนไร้ที่ติ ฟีเจอร์จดจำใบหน้าและป้ายทะเบียนยังช่วยเพิ่มความสามารถในการมอบข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำไปยังศูนย์บัญชาการ ช่วยให้ระบุผู้ต้องสงสัยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

Hytera ออกแบบโซลูชันกล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ โดยคำนึงถึงความสามารถด้านเครือข่าย โดยใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบจากเครือข่าย 4G และ 5G SC880 ช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูล 5G ได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการบันทึกข้อมูลและการสื่อสารสด นอกเหนือจากความสามารถในการบันทึกขั้นสูงแล้ว ทั้งสองรุ่นยังมีฟังก์ชันการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นสองเท่าของวิทยุระบบสัญญาณมือถือ (Push-to-Talk over Cellular/PoC) เพื่อการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ที่สำคัญต่อภารกิจ กล้องทั้งสองรุ่นสามารถกันฝุ่นและกันน้ำได้อย่างสมบูรณ์ด้วยมาตรฐานระดับ IP68 จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

แพลตฟอร์มจัดการหลักฐานดิจิทอล (DEM) ของ Hytera มอบการป้องกันที่แข็งแกร่งให้กับหลักฐานดิจิทอล โดยเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลที่เข้มงวด จึงทำให้มั่นใจได้ว่าหลักฐานจะถูกจัดเก็บอย่างแน่นหนาและปลอดภัยตั้งแต่ ณ วินาทีที่เก็บหลักฐานไปจนถึงตอนนำสืบหน้าบัลลังก์ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การแก้ไขและจัดการอุปกรณ์ระยะไกล จึงทำให้เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานด้านความปลอดภัยสาธารณะที่ต้องการมาตรฐานสูงสุดด้านความสมบูรณ์ของข้อมูลและความปลอดภัยตลอดวงจรชีวิตของหลักฐานดิจิทอล

เกี่ยวกับ Hytera

Hytera Communications Corporation Limited (SZSE: 002583) เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลก ด้วยความสามารถด้านเสียง วิดีโอ และข้อมูล เราให้การเชื่อมต่อที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีความหลากหลายมากขึ้นสำหรับธุรกิจและผู้ใช้งานที่สำคัญ เราช่วยให้ลูกค้าของเราบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้นทั้งในการดำเนินงานประจำวันและการตอบสนองฉุกเฉิน เพื่อทำให้โลกมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54140926/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

lele.yao@hytera.com

แหล่งข้อมูล: Hytera Communications

.

เส้นทางที่เป็นไปได้สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน: APO เปิดตัวกลยุทธ์ Green Productivity 2.0 ที่การประชุม Workshop Meeting ของผู้นำกลุ่ม NPO ครั้งที่ 65

Logo

นาดี ฟิจิ–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2024

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (The Asian Productivity Organization – APO) ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop Meeting – WSM) ของผู้นำในกลุ่มองค์กรเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (NPO) ครั้งที่ 65 ในเมืองนาดี ประเทศฟิจิตั้งแต่วันที่ 23 ถึง 25 ตุลาคม งานประจำปีนี้จัดขึ้นโดยรัฐบาลฟิจิ โดยมีหัวหน้ากลุ่ม NPO และที่ปรึกษา 51 คนจากสมาชิก APO 19 ประเทศ เพื่อช่วยกันกำหนดอนาคตของการผลิตที่ยั่งยืนในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (Green Productivity – GP) และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

เซสชั่นเปิดงานครั้งแรกได้รับเกียรติจากการมาเยือนของรองนายกรัฐมนตรีมาโนอา เซรู นาคาอุซาบาเรีย คามิคามิกาของฟิจิ ซึ่งเน้นย้ำถึงการต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เหมือนใครของประเทศหมู่เกาะในการสร้างสมดุลการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน เขากล่าวว่า “ในฐานะชาวเกาะที่วิถีชีวิตถูกคุกคามจากผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง ชาวฟิจิรู้สึกถึงแรงกดดันสองประการในการแสวงหาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่พยายามบรรเทาผลกระทบด้านลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปด้วยกัน”

ไฮไลท์ของการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้คือการเปิดตัวกลยุทธ์ Green Productivity 2.0 ของ APO: รายงานจาก The Road Ahead ศาสตราจารย์โยอิชิโร มัตสึโมโตะ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (MOFA) ของญี่ปุ่น และสมาชิกสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GPA) ของ APO ได้นำเสนอวิวัฒนาการของแนวคิดการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (Green Productivity – GP) นับตั้งแต่ APO เริ่มต้นขึ้นในปี 1994 รายงานฉบับนี้นำเสนอแผนงานที่มีแนวคิดก้าวหน้าสำหรับรัฐบาล ธุรกิจ และบุคคลทั่วไปในการนำกลยุทธ์ GP 2.0 มาใช้ โดยผสานประสิทธิภาพการผลิตเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การนำเสนอจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงดร. ชินซู ลิน ประธานคณะทำงานด้านเทคนิคเกี่ยวกับ GP 2.0 และตัวแทนจาก Korea Development Institute (KDI) และ MOFA ของญี่ปุ่นช่วยเน้นย้ำว่าการนำกลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GO) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาบูรณาการจะสามารถส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนในภูมิภาคได้อย่างไร

ประธานาธิบดีฟิจิเอชอี ราตู วิเลียม ไมวาลิลี คาโตนิเวียร์ได้เป็นผู้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานเลี้ยงต้อนรับซึ่งจัดโดยประธาน APO ปี 2024-25 และผู้อำนวยการฟิจิโจเน มาริติโน่ เนมานี่ เขาเรียกร้องให้มีความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและเน้นย้ำบทบาทของ GP ในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน “มาร่วมกันควบคุมพลังการผลิตเพื่อปกป้องโลกของเรา” เขาเร่งเร้า โดยเน้นย้ำถึงความทุ่มเทของฟิจิในการเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก นอกจากนี้ เนมานี ประธาน APO ก็ยังได้ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GPA) ของ APO จากศาสตราจารย์เรียวอิจิ ยามาโมโตะ ซึ่งฝากเชื้อเชิญมาโดยศาสตราจารย์มัตสึโมโตะอีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฟิจิในการพัฒนาความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ การประชุม WSM ยังมีเซสชั่นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ซึ่งผู้นำในกลุ่ม NPO หารือเกี่ยวกับแผนโครงการสำหรับปี 2025 และ 2026 ด้วย แผนเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนสมาชิก APO ในการใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GO) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านการผลิตที่เร่งด่วน และกำหนดรูปแบบการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ขององค์กรหลังวิสัยทัศน์ปี 2025

ในขณะที่ภูมิภาคเผชิญกับความท้าทายระดับโลกอย่างต่อเนื่อง การประชุม WSM ครั้งที่ 65 ก็ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำของ APO ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังเสริมสร้างความมุ่งมั่นร่วมกันของเศรษฐกิจสมาชิกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นอีกด้วย

เกี่ยวกับ APO

Asian Productivity Organization (APO) เป็นองค์กรร่วมระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่มุ่งมั่นเพื่อปรับปรุงผลิตภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือร่วมกัน โดยไม่มีความเกี่ยวข้องด้านการเมือง ไม่แสวงหาผลกำไร และไม่เลือกปฏิบัติ APO ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งแปดประเทศ และปัจจุบันประกอบด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สปป.ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย เตอร์กิเย และเวียดนาม

APO มีการดำเนินการเพื่ออนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก ผ่านบริการให้คำปรึกษาด้านนโยบายระดับชาติ ทำหน้าที่เป็นคลังความคิด มีโครงการริเริ่มเพื่อสร้างขีดความสามารถระดับสถาบัน และแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54142727/en

ติดต่อ

หากต้องการรายละเอียด โปรดติดต่อ:
Digital Information Unit, APO: pr@apo-tokyo.org เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org

แหล่งข้อมูล: Asian Productivity Organization (APO)

NIQ เปิดตัวโซลูชันแบบจำลองส่วนประสมการตลาด พร้อมขยายธุรกิจด้านสื่อ

Logo

  • ข้อมูลระดับร้านค้าที่ละเอียดและเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ ที่ดีที่สุดในวงการ
  • ความเชี่ยวชาญอิสระระดับสากล พร้อมฐานการดำเนินงานในพื้นที่ ในกว่า 75 ประเทศ
  • การบูรณาการข้อมูลสื่อดิจิทัลที่ไร้รอยต่อ ผ่านความร่วมมือกับผู้ให้บริการสื่อชั้นนำ

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

NIQ บริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคระดับสากลชั้นนำ ประกาศเปิดตัวโซลูชันแบบจำลองส่วนประสมการตลาด (Marketing Mix Modeling : MMM) เพื่อช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกสามารถบริหารการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดได้ดียิ่งขึ้น การเปิดตัวครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายธุรกิจด้านสื่อระดับสากลของ NIQ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการนำเสนอ Full View™ (มุมมองแบบรอบด้าน) และเสริมความแข็งแกร่งด้านการตลาดให้กับลูกค้า ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 75 ประเทศ MMM ของ NIQ วางอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลระดับร้านค้าที่เชื่อถือได้และเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ ที่ขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมและการวิเคราะห์กว่า 100 ปี

ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนนับจากการขยายธุรกิจ MMM ของ NIQ ขณะนี้มีโครงการที่ดำเนินการอยู่กับลูกค้ามากกว่า 30 รายทั่วโลก ครอบคลุมภาคธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการสื่อ และผู้ผลิตจากบริษัทในกลุ่ม Fortune 500

เพิ่มผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ด้วยวิธีการที่พิสูจน์แล้วและโซลูชันชั้นนำ :

  • NIQ นำเสนอมุมมองแบบรอบด้าน Full View™ : ครอบคลุมข้อมูลในระดับโลก ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลการขาย ณ จุดขายระดับร้านค้า และข้อมูลสื่อดิจิทัล เพื่อข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและนำไปสู่การดำเนินการได้จริง
  • การบูรณาการข้อมูลสื่อแบบไร้รอยต่อ : บูรณาการข้อมูลผ่านความร่วมมือที่ปลอดภัยต่อความเป็นส่วนตัวกับผู้ให้บริการสื่อชั้นนำและระบบเชื่อมต่อข้อมูลโดยตรง
  • การผสานความเชี่ยวชาญด้านการตลาดเข้ากับความเป็นเลิศด้านการให้คำปรึกษา :
    • ทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและทีมวิทยาศาสตร์การตลาดทั้งในระดับสากลและในพื้นที่
    • แบบจำลองข้อมูลที่ละเอียดเป็นเอกลักษณ์ ที่ช่วยปรับผลกระทบของการตลาดทั้งแบบ Below the Line (BTL) และ Above the Line (ATL) ให้เหมาะสมที่สุด
    • มอดูลสำหรับวัดผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวของสื่อ รวมถึงเฮโลเอฟเฟกต์ (Halo effect) ในทุกผลิตภัณฑ์
    • วัดการเพิ่มขึ้นของยอดขายจากแคมเปญสื่อและพื้นที่เฉพาะ เพื่อประเมินประสิทธิภาพ
    • แอปพลิเคชันที่มุ่งเน้นอนาคตบนคลาวด์ ที่ช่วยในการจำลองสถานการณ์และปรับแต่งแผนสื่อให้เหมาะสมที่สุด

“เรารู้สึกตื่นเต้นกับการขยายธุรกิจครั้งนี้ เราได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในแผนกสื่อของเรา NIQ มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ในการนำเสนอโซลูชันด้านการตลาดและการวิเคราะห์ที่ดีที่สุดในวงการ โดยอาศัยข้อมูลระดับโลกที่เหนือชั้น ทีมผู้เชี่ยวชาญ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแบรนด์ของลูกค้า เราประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือกับผู้ให้บริการสื่อชั้นนำ และจะยังคงลงทุนในแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ รวมถึงขยายการครอบคลุมและฐานข้อมูลเพื่อนำเสนอโซลูชันการวัดผลด้านการตลาดระดับโลกให้กับลูกค้าของเรา” Lana Busignani ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายสื่อระดับโลก ของ NIQ กล่าว

การเปิดตัว MMM ในฐานะส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอด้านสื่อของ NIQ สอดคล้องกับพันธกิจของเราในการมอบความเข้าใจที่ครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับผู้บริโภค และช่วยให้ลูกค้าสามารถแปลงข้อมูลเชิงลึกไปสู่การดำเนินการได้จริง นอกจากนี้ เรายังได้ขยายบริการให้ครอบคลุมการทดสอบตลาดแบบจับคู่ (Matched Market Testing : MMT) ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถวัดผลกระทบด้านยอดขายของแคมเปญสื่อในสภาพแวดล้อมจริงก่อนเริ่มใช้งานจริง NIQ จะยังคงพัฒนาโซลูชันสนับสนุนผ่านระบบนิเวศข้อมูลที่สมบูรณ์ เทคโนโลยีชั้นนำ ความสามารถด้าน AI และความเชี่ยวชาญ เพื่อผลักดันการเติบโตให้กับลูกค้าและพันธมิตรค้าปลีกของเรา

เกี่ยวกับ NIQ :

NIQ เป็นบริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคระดับสากลชั้นนำ ที่มอบความเข้าใจที่ครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคและเผยเส้นทางในการเติบโตใหม่ ๆ ในปี 2023 NIQ ได้ควบรวมกิจการกับ GfK เป็นการรวมสองผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีเครือข่ายระดับสากล ซึ่งไม่มีใครเทียบได้ ปัจจุบัน NIQ ดำเนินงานในกว่า 95 ประเทศ ครอบคลุม 97% ของ GDP โลก NIQ ใช้ข้อมูลค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคที่ครอบคลุมที่สุด ผสานเข้ากับการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ทันสมัย เพื่อนำเสนอมุมมองแบบรอบด้าน Full View™

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม www.niq.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ :
Sweta Patra
Sweta.patra@nielseniq.com

แหล่งที่มา : NIQ

วิทยาลัยเฟลตเชอร์ (Fletcher) แห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ส (Tufts) เปิดตัวสายวิชาในหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การพัฒนาระหว่างประเทศ ที่ได้รับการกำหนดเป็นการศึกษาด้านสเตม (STEM)

Logo

หลักสูตรใหม่ให้ทักษะเชิงปริมาณขั้นสูงแก่นักศึกษาเพื่อรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจระดับโลก

เมดฟอร์ด, แมสซาชูเซตส์–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

วิทยาลัยเฟลตเชอร์ (The Fletcher School) บัณฑิตวิทยาลัยด้านกิจการทั่วโลก แห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ส ได้เปิดตัวสายวิชาที่ได้รับการกำหนดเป็นการศึกษาด้านสเตม ในหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การพัฒนาระหว่างประเทศ (International and Development Economics : IDE) ภายใต้หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิตสาขากฎหมายและการทูต (Master of Arts in Law and Diplomacy : MALD) อันทรงเกียรติ สายวิชาใหม่ที่มีชื่อว่า MALD : IDE นี้ ได้ผสานการศึกษาเศรษฐศาสตร์เชิงปริมาณและเศรษฐมิติ (econometrics) เข้ากับการศึกษาการพัฒนาระหว่างประเทศ เป็นการให้เครื่องมือที่ก้าวล้ำแก่นักศึกษา เพื่อการจัดการกับปัญหาด้านเศรษฐกิจที่สำคัญต่าง ๆ

สายวิชา MALD : IDE เพิ่มการมุ่งเน้นด้านวิธีการเชิงปริมาณเข้าไปในหลักสูตร MALD แบบสหวิทยาการ นักศึกษาสามารถเลือกเน้นเฉพาะทางได้ ทั้งด้านการค้าและการเงินระหว่างประเทศ (International Trade & Finance) หรือการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) หลักสูตรประกอบด้วยวิชาที่จำเป็นด้านสถิติเศรษฐศาสตร์ เศรษฐมิติ และการสร้างแบบจำลองทั้งทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค วิชาเหล่านี้เตรียมความพร้อมเพื่อให้บัณฑิตสามารถวิเคราะห์เศรษฐกิจขั้นสูงและพัฒนาแนวทางแก้ไขเชิงนโยบายสำหรับภาครัฐและเอกชนได้

ในฐานะของสายวิชาที่ได้รับการกำหนดเป็นการศึกษาด้านสเตม สายวิชา MALD : IDE เปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติสามารถสมัครขอรับการฝึกงานภาคปฏิบัติเพิ่มเติม (Optional Practical Training : OPT) ในสหรัฐอเมริกาได้อีกสองปี

บัณฑิตจากสายวิชา MALD : IDE จะสามารถ :

  • วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยใช้เทคนิคทางสถิติและเศรษฐมิติขั้นสูง
  • พัฒนาและประเมินนโยบายเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เช่น การค้าระหว่างประเทศ การเงิน และการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • สื่อสารแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อนได้อย่างชัดเจน แก่ผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และผู้นำในภาคอุตสาหกรรม

สายวิชานี้เป็นการขยายหลักสูตรที่ได้รับการกำหนดเป็นการศึกษาด้านสเตมของวิทยาลัยเฟลตเชอร์ ซึ่งรวมถึงปริญญามหาบัณฑิต สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ : ด้านวิธีการเชิงปริมาณ (Master's in International Business : Quantitative Methods หรือ MIB : QM) ที่มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้างแบบจำลองทางการเงิน เพื่อจัดการกับความท้าทายทางธุรกิจที่ซับซ้อนในตลาดโลก และปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และนโยบายสาธารณะ (Master of Science in Cybersecurity & Public Policy : CSPP) ซึ่งฝึกอบรมนักศึกษาให้จัดการกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และนโยบายดิจิทัล

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร MALD-IDE ของวิทยาลัยเฟลตเชอร์ได้ที่นี่

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิทยาลัยเฟลตเชอร์

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Tully Sullivan
tully.sullivan@tufts.edu

ก้าวสู่เวทีระดับโลก: AITO จัดแสดงรถยนต์ SUV อัจฉริยะระดับไฮเอนด์ที่งาน Paris Motor Show 2024

Logo

AITO เข้าร่วมงาน Paris Motor Show ครั้งที่ 90 โดยนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์รุ่นล่าสุดภายใต้แนวคิด “Intelligence Redefining Luxury” ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงรถยนต์ 3 รุ่น ได้แก่ AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ซึ่งเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่าง “ความหรูหราแบบดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” ของแบรนด์ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีขั้นสูง การขับขี่อัจฉริยะ และคุณสมบัติความปลอดภัยที่ครอบคลุม โดยสะท้อนถึงความอเนกประสงค์สำหรับสถานการณ์การขับขี่ที่แตกต่างกัน การมาถึงของ AITO ในงานแสดงสินค้า ณ กรุงปารีสนี้เป็นจุดสิ้นสุดของ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ซึ่งเป็นการเดินทางยาวนาน 38 วันในระยะทางประมาณ 15,000 กิโลเมตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของรถยนต์ของแบรนด์

ปารีส–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

AITO แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์ เข้าร่วมงาน Paris Motor Show 2024 โดยจัดแสดงรถยนต์ไฟฟ้าระบบขยายระยะ (REEVs) ระดับหรู 3 รุ่น โดยผสมผสาน “ความหรูหราดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” เข้าด้วยกัน AITO เปิดตัวแนวคิดหรูหราใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางอัจฉริยะชั้นนำให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก AITO นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมต่างๆ เช่น AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 พร้อมด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF และเทคโนโลยีตัวขยายระยะทางพิเศษ ซึ่งเปิดตัวภายใต้แนวคิด “Intelligence Redefining Luxury”

Eurasian Tour with AITO (Photo: Business Wire)

ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO (ภาพ: Business Wire)

“ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” เป็นการเดินทางสำรวจระยะทางประมาณ 15,000 กิโลเมตรจากโรงงาน AITO ในเมืองฉงชิ่งก่อนที่ AITO จะมาถึงงาน Paris Motor Show โดยการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของรถ AITO รุ่นต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและท้าทาย ตั้งแต่บริเวณโรงงานไปจนถึงงานแสดงรถยนต์ ขบวนรถซึ่งประกอบด้วยรถยนต์ AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 เดินทางผ่าน 12 เมืองเป็นเวลา 38 วัน โดยมีเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะของ AITO ที่จัดการกับระยะทางกว่า 8,800 กิโลเมตร เพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ตลอดการเดินทาง

AITO 9 ซึ่งเป็นรถยนต์ SUV อัจฉริยะรุ่นเรือธงที่ใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากระหว่างการเดินทาง โดยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนนที่เลวร้าย อุณหภูมิที่รุนแรง และภูมิประเทศที่ยากลำบาก ตั้งแต่ภูเขาสูงไปจนถึงทะเลทรายที่แห้งแล้ง ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ครอบคลุม ความสามารถของ AITO 9 จึงได้รับทดสอบอย่างเข้มงวดในหลายมิติ AITO 9 ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคและตลาด โดยมียอดสั่งซื้อสะสมกว่า 140,000 คัน และส่งมอบแล้ว 100,000 คันภายในระยะเวลา 9 เดือนหลังจากเปิดตัว จนทำให้ขณะนี้ AITO 9 มียอดขายอยู่ในอันดับ 3 เมื่อเทียบกับรุ่นที่มีราคาสูงกว่า 60,000 ยูโรในตลาดรถหรูของจีน

AITO 7 เป็นรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ที่เน้นความสะดวกสบายและปรับให้เข้ากับสถานการณ์การเดินทางของครอบครัวอย่างราบรื่น รถยนต์รุ่นนี้ได้รับคำชมอย่างมากใน “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ในเรื่องของความกว้างขวางและความสะดวกสบาย โดยมาพร้อมเบาะนั่งแบบไร้แรงโน้มถ่วง พร้อมด้วยฟังก์ชันนวดที่นั่งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าระหว่างการเดินทาง รถคันนี้ผลิตจากเหล็กที่ขึ้นรูปด้วยความร้อนระดับเดียวกับที่ใช้ในเรือดำน้ำ โดยมาพร้อมกับถุงลมนิรภัย 8 จุดเป็นมาตรฐาน และแบตเตอรี่ที่มีฉนวนกันความร้อนเกรดการบิน 5 ชั้นเพื่อความปลอดภัยภายใต้ทุกสภาวะ

AITO 5 เป็นรถสปอร์ต SUV ขนาดกลางที่มีสไตล์สำหรับการขับขี่ในเมืองและมอบสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม โดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์สปอร์ตพร้อมรูปทรงที่สะอาดตาและทรงพลัง ผลิตจากโครงสร้างอะลูมิเนียมอัลลอยด์ทั้งหมด พร้อมปีกนกคู่ที่ด้านหน้าและระบบกันสะเทือนอิสระแบบมัลติลิงก์ด้านหลัง ซึ่งช่วยให้การควบคุมรถยอดเยี่ยมขณะที่ยังมีโครงสร้างน้ำหนักเบา สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 5 วินาที AITO 5 มอบสมรรถนะที่น่าประทับใจในระหว่างการเดินทางผ่านยุโรปตะวันออก ทีมงานได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่เร้าใจหลังพวงมาลัย ในด้านฟีเจอร์อัจฉริยะ รถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบช่วยการขับขี่ รวมถึงฟังก์ชันการจอดอัตโนมัติ การช่วยจอดจากระยะไกล และการถอยหลังแบบติดตาม เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่

ประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์อันยอดเยี่ยมของ AITO ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF ที่มีความหลากหลายและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพียงหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถรองรับตัวเลือกพลังงานแบบขยายระยะทางพิเศษ พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ และพลังงานไฮบริดอัลตรา โดยมีคุณสมบัติหลัก 4 ประการ ได้แก่ ความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย พื้นที่ห้องโดยสารที่ปรับเปลี่ยนได้ และเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับชั้นนำ แพลตฟอร์มนี้เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีตัวขยายระยะทางพิเศษ ด้วยประสิทธิภาพความร้อนที่น่าประทับใจที่ 45% และอัตราการแปลงเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้าชั้นนำในอุตสาหกรรมที่ 3.65 kWh/L เทคโนโลยีขยายระยะทางพิเศษจะปรับสมดุลพลังงานไฟฟ้าแบบ NVM ที่ปรับให้เหมาะสม เพื่อการขับขี่ในเมืองที่ราบรื่นและเงียบสงบ พร้อมกับการเติมเชื้อเพลิงระยะไกล นอกจากนี้ยังปรับกลยุทธ์การสร้างพลังงานตามพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการผสมผสานที่เหมาะสมระหว่างความสะดวกสบายและความประหยัดอีกด้วย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54135079/en

ข้อมูลติดต่อ

Joanna Gong
gongqiong@dsconsulting.com

ที่มา: AITO




จากพื้นโรงงานถึงงานแสดงรถ: ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” เดินทางถึงปารีส

Logo

AITO ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์จากประเทศจีน นำความหรูหราแบบดั้งเดิมมาผสมผสานเข้ากับความหรูหราทางเทคโนโลยีเพื่อมอบประสบการณ์ในการเดินทางแบบอัจฉริยะแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ซึ่งประกอบด้วย AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ได้เดินทางเป็นเวลา 38 วันซึ่งกินระยะทางถึง 15,000 กิโลเมตรจากเมืองฉงชิ่งสู่ปารีสเพื่อแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของรถที่มีทั้งความยอดเยี่ยมและเชื่อถือได้ โดย AITO ได้แสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายใต้ธีม “ความอัจฉริยะที่นิยามถึงความหรูหรา” ซึ่งประกอบด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยี Super Range-extender ในงาน Paris Motor Show ปี 2024

ปารีส–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

จากพื้นโรงงานถึงงานแสดงรถ ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับAITO” ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์รุ่น AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ได้เดินทางข้ามจากเอเชียถึงยุโรปเป็นระยะทางถึง 15,000 กิโลเมตรใน 38 วัน ผ่าน 12 ประเทศก่อนที่จะเข้าสู่ปารีสเพื่อร่วมงาน Paris Motor Show ครั้งที่ 90

Press Conference (Photo: Business Wire)

งานแถลงข่าว (ภาพ: Business Wire)

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา AITO ได้แสดงไลน์อัปผลิตภัณฑ์ชั้นนำของอุตสาหกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายใต้ธีม “ความอัจฉริยะที่นิยามถึงความหรูหรา” แก่ผู้ชมทั่วโลก โดยมี AITO 9 คันพิเศษหนึ่งเดียวซึ่งเป็นสมาชิกหลักของขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ร่วมแสดงในงานด้วย การเดินทางอันยาวนานจากเมืองฉงชิ่งสู่ปารีสของรถแบรนด์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของรถยนต์ AITO รุ่นต่างๆ ในสภาพถนนที่มีความซับซ้อนและในสภาพแวดล้อมสุดหฤโหด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภูมิภาคที่มีโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จไฟที่จำกัด แน่นอนว่าการรักษาแหล่งพลังที่เชื่อถือได้เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ในระหว่างทริป “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ที่กินเวลานานนี้ แต่เทคโนโลยี Range-extender ของ AITO ก็สามารถเอาชนะข้อจำกัดในการชาร์จไฟไปพร้อมๆ กับมอบประสบการณ์ในการขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยเทคโนโลยีนี้แก้ปัญหาความกังวลเรื่องระยะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้สามารถขับขี่ได้ไกลเป็นพิเศษ คุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุม อาทิเช่น โครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง ฉนวนแบตเตอรี่ 5 ชั้น และฟังก์ชันความปลอดภัยเชิงรุกถึง 20 ฟังก์ชัน ช่วยให้ตลอดการเดินทางในครั้งนี้มีความปลอดภัยบนท้องถนนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

เทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะของ AITO ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลดภาระและความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่เมื่อต้องเดินทางไกล โดยเข้ามาช่วยจัดการการขับขี่ถึง 8,800 กิโลเมตรจากระยะทางทั้งหมด 15,000 กิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้น ระบบจอดอัจฉริยะของ AITO ยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่หลากหลาย โดยมีโหมดจอดรถหลากหลายโหมดให้เลือกใช้ ซึ่งสามารถขับผ่านพื้นที่จอดรถแคบๆ ได้สบาย และด้วยโหมดช่วยจอดรถระยะไกล ผู้ขับขี่สามารถเลือกจุดจอดแล้วปล่อยให้รถเข้าจอดเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์ที่ผู้คนในท้องถิ่นให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องตลอดการเดินทาง

ประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์จาก AITO ล้วนมีรากฐานมาจากแพลตฟอร์ม AITO MF ที่มีความสามารถรอบด้านและได้รับการพัฒนาอยู่เสมอ ซึ่งมอบคุณสมบัติหลักๆ 4 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบส่งกำลังที่มีความหลากหลาย พื้นที่ห้องโดยสารที่ปรับเปลี่ยนได้ และระบบอัจฉริยะชั้นนำ แพลตฟอร์มนี้รองรับตัวเลือกด้านพลังงานหลายแบบ ได้แก่ ระบบไฟฟ้า Super Range-extended, ระบบไฟฟ้าแบตเตอรี่ และอัลตร้าไฮบริด อีกทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มเดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ร่วมกับระบบพลังงานใหม่ทั้ง 3 แบบ จึงให้ประสบการณ์ในการขับขี่ที่ “ขับสนุก สะดวกสบาย และปลอดภัย” แก่ผู้บริโภค

เทคโนโลยี Super Range-extender ที่ได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม AITO MF ให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นถึง 45% และมีอัตราการแปลงเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้าอยู่ที่ 3.65 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ลิตร เทคโนโลยีนี้ปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ขับขี่ได้ทุกประเภท ซึ่งจะให้พลังงานไฟฟ้าสำหรับการขับขี่ในเมือง และสามารถเติมเชื้อเพลิงสำหรับการเดินทางข้ามเมืองได้สะดวก การมอบ “สมรรถนะเท่ากันโดยใช้เชื้อเพลิงเพียงครึ่งเดียว” ให้พลังงานเทียบเท่ากับเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบ 3.0T ดั้งเดิม ประสบการณ์ในการขับขี่จะไม่ต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ซึ่งมาพร้อมกับห้องโดยสารที่เงียบ การเร่งความเร็วที่ราบรื่น และการบังคับรถที่ตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานภายนอกระหว่างตั้งแคมป์กลางแจ้งได้อีกด้วย เทคโนโลยีนี้ยังปรับแต่งการสร้างพลังงานตามพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ โดยจะปรับ NVH (เสียงรบกวน การสั่นสะเทือน และความกระด้าง) และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงให้เหมาะสม เพื่อการเดินทางที่นุ่มนวลและประหยัดค่าใช้จ่าย

คุณภาพที่โดดเด่นของรถยนต์จาก AITO เกิดขึ้นจากการผลิตอัจฉริยะขั้นสูง AITO ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นกรรมสิทธิ์หลัก โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการเชื่อมต่ออุปกรณ์การผลิตกับข้อมูล ด้วยหุ่นยนต์มากกว่า 3,000 ตัวและกระบวนการสำคัญที่ใช้ระบบอัตโนมัติ 100% ช่วยให้โรงงานที่ล้ำสมัยมีการผลิตที่มีประสิทธิภาพในระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรม โดยรองรับการผลิตที่ยืดหยุ่น โปร่งใส เป็นแบบอัตโนมัติ เชื่อมโยงถึงกัน และเป็นระบบอัจฉริยะ ในฐานะบริษัทแรกที่นำเครื่องจักรหล่อฉีดไดแคสต์ระดับ 10,000 ตันมาใช้ในการผลิต AITO รับประกันว่าการผลิตมีประสิทธิภาพ มีน้ำหนักเบา และปลอดภัย ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพและผลผลิตของผลิตภัณฑ์

ในฐานะแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์จากจีน AITO เป็นผู้บุกเบิกแนวหน้าด้านรถยนต์พลังงานใหม่อัจฉริยะ ซึ่งมาพร้อมกับแนวคิดด้านความหรูหราแบบใหม่ที่ผสมผสาน “ความหรูหราแบบดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” เพื่อมอบประสบการณ์ในการเดินทางแบบอัจฉริยะชั้นนำแก่ผู้บริโภคทั่วโลก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54135078/en

ข้อมูลติดต่อ

Joanna Gong
gongqiong@dsconsulting.com

ที่มา: AITO





MidOcean Energy ของ EIG ดำเนินการซื้อหุ้นเพิ่ม 15% ใน Peru LNG จาก Hunt Oil Company เสร็จสิ้นแล้ว

Logo

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–24 ตุลาคม 2024

MidOcean Energy (ต่อจากนี้เรียกว่า “MidOcean” หรือ “บริษัท”) บริษัทแก๊สธรรมชาติเหลว (LNG) ที่จัดตั้งและบริหารจัดการโดย EIG สถาบันลงทุนชั้นนำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ประกาศในวันนี้ว่าได้ดำเนินการตามข้อตกลงที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ในการซื้อหุ้นเพิ่มอีก 15% ใน Peru LNG (“PLNG”) จาก  Hunt Oil Company (ต่อจากนี้เรียกว่า “Hunt”) จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ขณะนี้ หุ้นของ MidOcean ใน PLNG จึงคิดเป็น 35% โดยที่ Hunt จะยังคงเป็นผู้ดำเนินงานของ PLNG

PLNG เป็นเจ้าของและดำเนินงานเฉพาะโรงงานส่งออก LNG ในอเมริกาใต้ ซึ่งตั้งอยู่ใน Pampa Melchorita ห่างจากทางใต้ของกรุงลิมา ประเทศเปรู 170 กิโลเมตร สินทรัพย์ของ PLNG ประกอบด้วยโรงงานแปรสภาพแก๊สธรรมชาติให้เหลวที่มีขีดความสามารถในการแปรสภาพที่ 4.45 ล้านตันต่อปี (mmtpa), ระบบสายท่อ 408 กิโลเมตรภายใต้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ที่มีความสามารถอยู่ที่ 1,290 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmcf/d), ถังจัดเก็บขนาด 130,000 ลูกบาศก์เมตร (m3) จำนวน 2 ถัง, สถานีขนส่งทางทะเลภายใต้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ 1.4 กิโลเมตร และสถานที่บรรจุลงรถที่มีขีดความสามารถสูงสุดที่ 19.2 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmcf/d) PLNG อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ Hunt และเป็นหนึ่งในโรงงานผลิต LNG จำนวนเพียง 2 แห่งในลาตินอเมริกา

Morgan Stanley ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ MidOcean โดยเฉพาะเกี่ยวกับการทำธุรกรรมครั้งนี้ และ Latham & Watkins ก็เป็นผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย โดยที่ Bracewell LLP ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ Hunt

เกี่ยวกับ MidOcean Energy

MidOcean Energy บริษัท LNG ที่จัดตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งเป้าสร้างกลุ่มหลักทรัพย์ LNG ในระดับสากลที่มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น และสามารถแข่งขันด้านต้นทุนและการปล่อยคาร์บอน ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อของ EIG ที่เชื่อว่า LNG เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเอื้อในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและเชื่อว่าความสำคัญของ LNG ในฐานะแหล่งพลังงานเชิงกลยุทธ์ภูมิรัฐศาสตร์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ MidOcean Energy อยู่ภายใต้การบริหารของ De la Rey Venter ผู้ชำนาญการในอุตสาหกรรมเป็นระยะเวลา 26 ปีที่เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมาอย่างหลากหลาย รวมถึง Global Head of LNG ที่ Shell Plc.

เกี่ยวกับ EIG

EIG เป็นสถาบันลงทุนชั้นนำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกที่มีมูลค่า 24.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายใต้การบริหารจัดการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน โดย EIG มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการลงทุนเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก ตลอดระยะเวลา 42 ปีที่ดำเนินการมา EIG ลงทุนไปกว่า 48.6 พันล้านดอลลาร์ในภาคส่วนพลังงานผ่าน 413 โครงการหรือบริษัทใน 42 ประเทศ 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG รวมถึงบริษัทประกันบำนาญ ประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์ มูลนิธิ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป สำนักงานใหญ่ของ EIG อยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. และมีสำนักงานอยู่ในฮิวสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ Hunt Oil Company

Hunt ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1934 และเป็นหนึ่งในบริษัทเอกเทศที่เป็นเจ้าของโดยเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา บริษัทจัดตั้งอยู่ในแดลลัส รัฐเท็กซัส ซึ่งมีสถานที่ปฏิบัติการหลักอยู่ในเปรู สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเคอร์ดิสถานในอิรัก รวมถึงมีโครงการสำรวจในตูนิเซียและโมร็อกโก โดย Hunt นั้นเป็นบริษัทสำรวจที่ดำเนินการในระดับนานาชาติและได้ทำการขุดเจาะมาแล้วในทุกทวีป ยกเว้นแอนตาร์กติกา

หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com หรือเว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อ EIG/MidOcean
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

ข้อมูลติดต่อ Hunt
Paul Schulze
+1 214-978-8534
publicaffairs@huntconsolidated.com

แหล่งที่มา: EIG

Tabreed คว้ารางวัลใหญ่ในสิงคโปร์ที่งาน Asian Power Awards ปี 2024

Logo

  • บริษัทได้รับรางวัลใหญ่สองรางวัลสําหรับโครงการริเริ่มที่ก้าวล้ำล่าสุดในด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพหมุนเวียนและความก้าวหน้าด้านประสิทธิภาพที่พลิกโฉม

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–25 ตุลาคม 2024

Tabreed บริษัทระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ชั้นนําของโลกได้รับเกียรติจากงานประกาศรางวัล Asian Power Awards ประจําปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่สิงคโปร์ในสัปดาห์นี้ คณะกรรมการยกย่องให้ Tabreed เป็นแชมป์ด้านการทําความเย็นที่ยั่งยืนมาอย่างยาวนาน จึงมอบรางวัลสําคัญสองรางวัลให้กับบริษัท: 'โครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพแห่งปี – ทองคํา' และ 'โครงการริเริ่มระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์แห่งปี – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์'

Tabreed Wins Big in Singapore at the 2024 Asian Power Awards (Photo: AETOSWire)

Tabreed คว้ารางวัลใหญ่ในสิงคโปร์ที่งาน Asian Power Awards ปี 2024 (รูป: AETOSWire)

Asian Power Awards เป็นงานประกาศรางวัลอันทรงเกียรติที่ยกย่องโครงการและความคิดริเริ่มที่ล้ำสมัยและสร้างสรรค์โดยบริษัทกำลังและพลังงาน งานประกาศรางวัลนี้จัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติผู้ที่ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเพื่อจัดการกับผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศขณะเดียวกันก็ตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น Irshad Hussain รองประธานฝ่ายโครงการซึ่งเป็นตัวแทนของ Tabreed รับทั้งสองรางวัลในคืนนั้น

โครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพแห่งปี

Tabreed เป็นผู้นําด้านการทําความเย็นอย่างยั่งยืนด้วยโครงการความร้อนใต้พิภพ 'G2COOL' ในเมืองมาสดาร์ อาบูดาบี ร่วมกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ADNOC โดยเริ่มดําเนินการในเดือนธันวาคม ปี 2023 โดยโรงงานนวัตกรรมแห่งนี้ใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพในการให้บริการทําความเย็นและบูรณการกับเครือข่ายทําความเย็นแบบรวมศูนย์ที่มีอยู่เดิม โดยเป็นโรงงานทําความเย็นแบบรวมศูนย์แห่งแรกในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ช่วยลดคาร์บอนในการทําความเย็นในเมืองมาสดาร์ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์พลังงานแห่งชาติปี 2050 ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

โรงงานแห่งนี้ใช้น้ำร้อนจากแหล่งความร้อนใต้พิภพที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินเพื่อจ่ายไฟให้กับเครื่องทําความเย็นแบบดูดซึมพิเศษ ซึ่งให้ประสิทธิภาพทางไฟฟ้าที่น่าประทับใจที่ 0.5 ถึง 0.55 กิโลวัตต์ต่อตันทําความเย็น (RT) เมื่อเทียบกับ 0.85 กิโลวัตต์ต่อตันทำความเย็นทั่วไปในระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์ทั่วไป พลังงานความร้อนใต้พิภพก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีการแบบดั้งเดิม ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการกระจายแหล่งพลังงานและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

โครงการริเริ่มระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์แห่งปี – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

รางวัลนี้เป็นเกียรติแก่การศึกษานําร่องที่โรงงานแห่งหนึ่งของ Tabreed ในอาบูดาบี ซึ่งร่วมมือกับ HT Materials Science (HTMS) ของไอร์แลนด์ เพื่อสํารวจศักยภาพของเทคโนโลยีนาโนฟลูอิดที่ปฏิวัติวงการที่เรียกว่า 'Maxwell' ซึ่งได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงการถ่ายเทความร้อน Tabreed ค้นพบว่าการใช้ Maxwell ในลูปน้ำเย็นทําให้ประสิทธิภาพของระบบทําความเย็นเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจประมาณ 15%

Maxwell ตั้งชื่อตาม James Clerk Maxwell นักวิทยาศาสตร์ผู้บุกเบิกที่พัฒนาแนวคิดของของเหลวนาโนเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 เป็นวิศวกรรมการแขวนลอยของอนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ขนาดเล็กกว่าไมครอนในของเหลวฐานพื้นฐานที่เป็นน้ำหรือน้ำ/ไกลคอล ('นาโนฟลูอิด') ซึ่งเป็นสารเติมแต่งแบบดรอปอินสําหรับระบบทําความเย็นและทําความร้อน ซึ่งทํางานโดยเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนในระบบทําความเย็นโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนหรือเปลี่ยนอุปกรณ์

 Khalid Al Marzooqi ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tabreed กล่าวว่ารางวัลเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจที่สําคัญว่าการแสวงหาการดําเนินงานที่ยั่งยืนของบริษัทเป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นที่มีต่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น “การแสวงหาประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเราไม่มีขีดจํากัด” “เราเป็นผู้นําอุตสาหกรรมที่สําคัญนี้ด้วยแนวทางที่เป็นนวัตกรรมของเรา ซึ่งเราไม่ละเลยแม้แต่น้อยในการลดการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผมภูมิใจมากกับสิ่งที่ทุกคนใน Tabreed ประสบความสําเร็จ และการได้รับเกียรติจากรางวัลเหล่านี้เป็นการยอมรับถึงขั้นตอนสําคัญที่เรากําลังดําเนินการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการก่อสร้าง”

ก่อนหน้านี้ Tabreed ได้ประกาศเป้าหมายที่จะขยายการดำเนินงานในระดับนานาชาติ โดยมุ่งเน้นไปที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ บริษัทซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1998 และดําเนินกิจการอยู่ใน 6 ประเทศโดยมีพอร์ตโฟลิโอของโรงงานระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีจำนวน 91 แห่งเนื่องจากหลายประเทศประสบกับผลกระทบจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นความต้องการระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในฐานะผู้นําระดับโลกด้านระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์อย่างยั่งยืน การดําเนินงานของ Tabreed สามารถป้องกันการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายล้านตันด้วยการประหยัดพลังงานอย่างมาก

เกี่ยวกับ Tabreed:

Tabreed ให้บริการระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์ที่จําเป็นและยั่งยืนให้กับโครงการสำคัญต่างๆ ในตะวันออกกลางและเอเชีย ซึ่งเป็นแรงผลักดันหลักในการพัฒนาผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมทั่วโลกสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ก่อตั้งขึ้นในปี 1998 และจดทะเบียนในตลาดการเงินดูไบ เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ด้วยการดำเนินงานที่กว้างขวางระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพที่เป็นผู้นําในอุตสาหกรรม โปรแกรมการวิจัยและพัฒนา  และการลงทุนในเทคโนโลยี AI ทำให้ Tabreed เป็นผู้นําระดับโลกในอุตสาหกรรมระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์ นอกเหนือจากระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์แล้ว บริการด้านประสิทธิภาพพลังงานของ Tabreed ยังช่วยขยายผลกระทบต่อความยั่งยืนของบริษัท ช่วยให้ธุรกิจและองค์กรต่างๆ ปรับปรุงการใช้พลังงานโดยรวมได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

LinkedIn

*ที่มา: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54141284/en

ติดต่อ

Samer Al Tawil
ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดและการมีส่วนร่วม
saltawil@tabreed.ae

Kevin Hackett
ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารภายนอก
khackett@tabreed.ae

ที่มา: Tabreed

The Bangkok Reporter