Black & Veatch เสนอข้อมูลเชิงลึกในการเข้าร่วมภารกิจการค้าและการลงทุนระดับสูงของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไปยังฟิลิปปินส์

Logo

กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์–(BUSINESS WIRE)–21 มีนาคม 2024

Black & Veatch ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ได้รับเลือกให้เข้าร่วมภารกิจการค้าและการลงทุนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (PTIM)  ไปยังฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 11-12 มีนาคม

ภารกิจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่มีต่อประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ อาร์ มาร์กอส จูเนียร์ของฟิลิปปินส์ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของบริษัทสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ภาคส่วนแร่ธาตุที่สำคัญ และความมั่นคงทางด้านอาหารสำหรับประชากรในภูมิภาค

จีนา ไรมอนโด เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา จะเป็นผู้นำคณะผู้แทนในภารกิจดังกล่าว

ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจการค้าและการลงทุนครั้งแรกในฟิลิปปินส์ภายใต้การบริหารของไบเดน วัตถุประสงค์ของ PTIM คือการเสริมสร้างฟิลิปปินส์ให้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคและการลงทุนที่มีคุณภาพสูง

“การพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและโอกาสในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ซึ่งรวมถึงการปรับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับโลกเพื่อสนับสนุนความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์ด้วยการใช้แหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำและไร้คาร์บอน Black & Veatch รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่สำคัญนี้” Narsingh Chaudhary ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black & Veatch กล่าว

Black & Veatch ดำเนินธุรกิจในฟิลิปปินส์เป็นเวลากว่า 30 ปีเพื่อให้บริการในด้านพลังงานและโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าสีเขียวมากกว่า 3,000 เมกะวัตต์จนถึงปัจจุบัน

เพื่อรองรับความต้องการทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์และโครงการระดับโลกอื่นๆ Black & Veatch ได้จัดตั้งศูนย์วิศวกรรมในอาลาบัง

โครงการนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงที่ Black & Veatch กำลังดำเนินการในฟิลิปปินส์ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สำหรับการผลิตพลังงาน และพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำขนาดใหญ่ บริษัทยังมีส่วนร่วมในการหารือในระยะเริ่มต้นเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์อีกด้วย

นอกจากนี้ Diode Ventures ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Black & Veatch กำลังร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาโครงการศูนย์ข้อมูลในจังหวัดตาร์ลักและนิวคลากซิตี้

Chaudhary พร้อมด้วย Lee Mather รองประธานและผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Black & Veatch และผู้นำธุรกิจรายสำคัญของสหรัฐอเมริกาคนอื่นๆ จะพบปะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลฟิลิปปินส์ในกรุงมะนิลา เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจ และหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปกฎระเบียบต่างๆ นอกจากนี้ คณะผู้แทนภารกิจการค้าจะพบปะกับบริษัทท้องถิ่นและองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนโอกาสในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ

ติดต่อ Black & Veatch เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่มีพนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสบการณ์ด้านนวัตกรรมในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนกว่า 100 ปี เราช่วยให้ลูกค้าของเราพัฒนาชีวิตของผู้คนทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 1915 ด้วยการจัดการกับความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ติดตามเราบน  www.bv.com และบนโซเชียลมีเดีย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

EMILY CHIA | โทร. +65 6335 6623 (สำนักงาน) | +65 9875 8907 (มือถือ) | Chialp@bv.com
อีเมลสื่อตลอด 24 ชั่วโมง | Media@bv.com

แหล่งข้อมูล: Black & Veatch

งานเลี้ยงอาหารค่ำคณะทูตสมาชิกและคณะกรรมการอำนวยการ APO เพื่อพบปะหารือการติดตามและประเมินผลวิสัยทัศน์ APO ปี 2568: กิจกรรมหยุดคิดและพิจารณาทบทวน

Logo

กรุงโตเกียว—(BUSINESS WIRE)–15 มีนาคม 2024

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567 เลขาธิการใหญ่ขององค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) Dr. Indra Pradana Singawinata ได้จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับคณะทูตซึ่งเป็นสมาชิก APO ในกรุงโตเกียว งานเลี้ยงในครั้งนี้มีทูตและตัวแทนจากสมาชิก APO ทั้ง 14 ประเทศเข้าร่วมเพื่อประชุมหารือกับคณะกรรมการอำนวยการเรื่องวิสัยทัศน์ APO ปี 2568: กิจกรรมหยุดคิดและพิจารณาทบทวน (APO Vision 2025: Pause-and-reflect Activity) ซึ่งผู้แทนจากสมาชิก APO จำนวน 7 ประเทศได้มารวมตัวกันในกรุงโตเกียวเพื่อทบทวนความคืบหน้าในวิสัยทัศน์ APO ปี 2568 นี้และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงวิสัยทัศน์ในอนาคตภายหลังปี 2568

Group photo with ambassadors and representatives from APO members, delegates from the APO Vision 2025: Pause-and-reflect Activity Steering Committee and Technical Working Group, APO Secretary-General, and Secretariat staffs. (Photo: Business Wire)

ภาพถ่ายทูตและตัวแทนจากประเทศสมาชิก APO, ผู้แทนจากคณะกรรมการอำนวยการและกลุ่มทำงานฝ่ายเทคนิค APO Vision 2025: Pause-and-reflect Activity, เลขาธิการใหญ่ APO และเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการ (ภาพจาก Business Wire)

เลขาธิการใหญ่ Dr. Indra ได้เน้นย้ำในคำกล่าวเปิดงานถึงความสำคัญของงานเลี้ยงอาหารค่ำในครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อทบทวนความมุ่งมั่นของ APO ในการแผ่ขยายความร่วมมือและเชื้อเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มาเข้าร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อผลผลิต ประธาน APO อย่าง Sheng-Hsiung Hsu จาก ROC ซึ่งได้รับเลือกจากการประชุมคณะประศาสน์การ (Session of the Governing Body) สมัยที่ 65 ยังได้ร่วมแสดงความคิดเห็นโดยเน้นย้ำถึงประสิทธิผลอันโดดเด่นขององค์กรในการนำพาผู้คนมารวมกันผ่านผลผลิตด้วย

Yoshiaki Makino รัฐมนตรีช่วยประจำกระทรวงต่างประเทศ (MOFA) แห่งประเทศญี่ปุ่นจากสำนักเลขาธิการ APO ได้กล่าวเปิดงานในนามของผู้อำนวยการ APO ประเทศญี่ปุ่น Hideo Ishizuki ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่/ผู้ช่วยรัฐมนตรี สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ MOFA โดยได้ชมเชยการสร้างเครือข่ายและตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสมาชิก APO ต่าง ๆ ในขณะที่หยิบยกโครงการริเริ่มที่ดำเนินอยู่อย่างกิจกรรมการหยุดคิดและพิจารณาทบทวนและการประเมินภายนอก

งานเลี้ยงดังกล่าวปิดท้ายด้วยคำกล่าวจากกรรมการอิสระของ APO ประเทศอินเดีย S. Gopalakrishnan จาก IAS ซึ่งได้แสดงความขอบคุณแก่เหล่าทูตที่มาเข้าร่วม รวมถึงกล่าวขอบคุณเลขาธิการใหญ่ Dr. Indra ในนามของผู้เข้าร่วมทุกคน S. Gopalakrishnan ยังได้เน้นย้ำถึงประโยชน์ที่หลายคนมองข้ามจากแพลตฟอร์ม APO และสนับสนุนให้ทุกคนนำเครือข่ายระหว่างประเทศของ APO อย่างองค์การเพิ่มผลผลิตระดับประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อสนับสนุนโครงการริเริ่มของรัฐบาล รวมถึงแนวคิดด้านความร่วมมือและเป้าหมายร่วมกันของงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย

เกี่ยวกับ APO

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐบาลในระดับภูมิภาคที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปรับปรุงผลผลิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือ โดยเป็นองค์กรที่ไม่ข้องเกี่ยวกับการเมือง ไม่แสวงผลกำไร และไม่แบ่งแยก องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชียก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2504 โดยมีสมาชิกร่วมก่อตั้งจำนวน 8 ประเทศ ทั้งนี้ในปัจจุบัน APO มีสมาชิกรวม 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ บังกลาเทศ, กัมพูชา, กลุ่ม ROC, ฟิจิ, ฮ่องกง, อินเดีย, อินโดนีเซีย, สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน, ญี่ปุ่น, กลุ่ม ROK, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, มาเลเซีย, มองโกเลีย, เนปาล, ปากีสถาน, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ศรีลังกา, ไทย, ตุรกี และเวียดนาม

APO กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของภูมิภาคโดยบ่มเพาะการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศสมาชิกผ่านบริการให้คำแนะนำทางนโยบายระดับประเทศ รวมถึงทำหน้าที่เป็นแหล่งความเชี่ยวชาญ โครงการริเริ่มในการสร้างประสิทธิผลระดับสถาบัน และการแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิผล

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53910598/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อโดยละเอียดมีดังนี้
Digital Information Unit, APO
pr@apo-tokyo.org
โทร: +81-3-3830-0411
เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org

แหล่งข้อมูล: Asian Productivity Organization (องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย)

จากความมุ่งมั่นไปสู่การปฏิบัติ: Mary Kay เผยแพร่ภาพรวมของความร่วมมือเชิงการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการสตรีทั่วโลก

Logo

รายงานครบรอบสี่ปีที่ Women's Entrepreneurship Accelerator เน้นย้ำถึงผลกระทบของ WEA ในการแก้ปัญหาความต้องการที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการสตรี: การเข้าถึงการศึกษา เงินทุน เครือข่ายและตลาด และการสนับสนุนระดับโลก

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–6 มีนาคม 2024

Mary Kay Inc. ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านการเสริมพลังสตรี ได้ประกาศเปิดตัวรายงานพิเศษในหัวข้อ "Advancing Women's Entrepreneurship: จากความมุ่งมั่นไปสู่การปฏิบัติ (from Commitment to Action.)รายงานดังกล่าวให้รายละเอียดถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของบริษัทในการสนับสนุนประเด็นของผู้หญิงทั่วโลกผ่านความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่บริษัทได้ทำในช่วงสี่ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งเครือข่ายความร่วมมือหลายฝ่ายที่มีผู้มีส่วนได้เสียหลายภาคส่วนอย่าง Women’s Entrepreneurship Accelerator (WEA) อันล้ำสมัย

The Women’s Entrepreneurship Accelerator Fourth Anniversary Report Highlights WEA’s Impact on Solving the Most Critical Needs of Women Entrepreneurs: Access to Education, Funding, Networks and Markets and Global Advocacy. (Photo: Mary Kay Inc.)

รายงานครบรอบสี่ปีของ Women's Entrepreneurship Accelerator เน้นย้ำถึงผลกระทบของ WEA ในการแก้ปัญหาความต้องการที่สําคัญที่สุดของผู้ประกอบการสตรี: การเข้าถึงการศึกษา เงินทุน เครือข่ายและตลาด และการสนับสนุนทั่วโลก (ภาพ: Mary Kay Inc.)

ในปี 2019 Mary Kay ก่อตั้ง WEA ขึ้นด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานสหประชาชาติ 6 แห่งเพื่อเป็นแรงผลักดันในการส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจทั่วโลก รายงานพิเศษปี 2023 ให้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการสำคัญต่างๆ และสถิติผลกระทบของ WEA โดยเน้นการเข้าถึงทั่วโลกและแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์ในการจัดการกับความท้าทายหลักที่ผู้ประกอบการผู้หญิงต้องเผชิญ

“ด้วย Women’s Entrepreneurship Accelerator เราได้สร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งซึ่งไม่เพียงแต่สนับสนุน แต่ยังเฉลิมฉลองจิตวิญญาณการเป็นผู้ประกอบการของผู้หญิงทั่วโลก” Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay กล่าว “เป้าหมายของเราคือการเสริมพลังให้กับผู้หญิงห้าล้านคนภายในปี 2030 และเรากำลังดำเนินการไปอย่างดี จนถึงขณะนี้เราได้มีส่วนร่วมกับผู้หญิงมากกว่า 600,000 คนในโครงการและกิจกรรมของเรา และปี 2024 จะเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์อีกปีหนึ่ง”

รายงานนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางแบบองค์รวมของ Mary Kay ในการเสริมพลังของผู้หญิงผ่านความร่วมมือแบบหลายฝ่ายของ WEA ซึ่งครอบคลุมการเข้าถึงการศึกษา ทุน เครือข่ายและตลาด การสนับสนุน และนโยบาย ประกอบด้วยความสำเร็จอันน่าทึ่ง อาทิ:

  • การลดอัตราส่วนความยากจนในโครงการหมู่บ้านนำร่อง SDG ในชนบทของจีน โดยใช้ประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบการสตรีและการพัฒนาความเป็นผู้นำ;
  • การเปิดตัวงาน Women’s Entrepreneurship Regional EXPO และกิจกรรมดาวเทียมในประเทศในยุโรปและภูมิภาคเอเชียกลางที่รวบรวมผู้ประกอบการสตรี นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ งานประจำปี 2023 ซึ่งจัดร่วมกับพันธมิตรในท้องถิ่น 33 ราย มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 15,308 ราย รวมถึงผู้ประกอบการ 1,047 ราย และนักลงทุน 75 ราย รวมถึงงานสัมมนา/แผง และพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ 27 แห่ง;

  • ความสำเร็จในการดำเนินการตามโปรแกรมการฝึกอบรมและการให้คำปรึกษาต่างๆ ที่ดำเนินการโดยพันธมิตรระดับสูงทั่วโลก เช่น โครงการใบรับรองผู้ประกอบการสตรีออนไลน์ (Women’s Entrepreneurship Certificate Programme);
  • WEA Digital Innovation Challenge สำหรับผู้ประกอบการสตรีได้รับใบสมัคร 250 ใบจากสตาร์ทอัพที่นำโดยผู้หญิงจาก 54 ประเทศ
  • การวิจัยผู้ประกอบการสตรี เพื่อแนะนำนโยบายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศในการพัฒนาองค์กรในภูมิภาคละตินอเมริกา

ความพยายามที่โดดเด่นของบริษัทในการส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างและการลงทุนที่คำนึงถึงความเสมอภาคทางเพศ (GRPI) ยังมีส่วนสำคัญต่อการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและการเสริมอำนาจของสตรีอีกด้วย

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Women’s Entrepreneurship Accelerator และอ่านรายงานพิเศษปี 2023 ฉบับเต็ม โปรดคลิกที่นี่ click here

เกี่ยวกับ Mary Kay

จากตอนนั้นถึงตอนนี้และตลอดไป (Then. Now. Always.) หนึ่งในผู้ทำลายเพดานกระจกแบบเดิม Mary Kay Ash ก่อตั้งบริษัทเพื่อความงามในฝันของเธอในปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือการทำให้ชีวิตผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่โอกาสโดย Mary Kay ได้เพิ่มขีดความสามารถของผู้หญิงในการกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอางที่มีสี อาหารเสริม รวมไปถึงน้ำหอมที่ทันสมัย Mary Kay เชื่อในการรักษาโลกของเราไว้ให้คนรุ่นอนาคต ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการทารุณกรรมในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนทำตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com หรือค้นหาเราได้ใน FacebookInstagram, และ LinkedIn, หรือติดตามเราใน X (ชื่อเดิมคือTwitter)

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Mary Kay Inc. การสื่อสารองค์กร
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc.


ผู้นําตลาดด้านสุขภาพผนึกกําลังกัน: The DRIPBaR ซึ่งขับเคลื่อนโดย REVIV

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–5 มีนาคม 2024

การที่ The DRIPBaR ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นแฟรนไชส์เกี่ยวกับการบําบัดด้วย IV ที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกับ REVIV ผู้นําด้านการบําบัดด้วย IV ระดับโลกนั้น ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมดังกล่าว จากความร่วมมือนี้ทำให้เกิดข้อเสนอที่ไม่มีใครเทียบได้ เนื่องจากเป็นการรวมเอาความเชี่ยวชาญพิเศษของยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมที่มีที่ตั้งมากกว่า 200 แห่งใน 6 ทวีป โดยมีแผนเพิ่มที่ตั้งอีกหลายพันแห่งในไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อเร็ว ๆ นี้มีความต้องการการบําบัดด้วย IV เพิ่มขึ้นจึงทำให้เกิดโอกาสมหาศาลแก่บริษัททั่วโลกในการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่และเป็นผู้นำของการบําบัดด้วย IV ในยุคต่อไป

Ben Crosbie, CEO of The DRIPBaR and Sarah Lomas, Founder and CEO of REVIV Global, announce their exciting partnership. (Photo: Business Wire)

Ben Crosbie ซีอีโอของ The DRIPBaR และ Sarah Lomas ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ REVIV Global ประกาศความร่วมมือที่น่าตื่นเต้นของพวกเขา (ภาพ: Business Wire)

ด้วยระบบการวางแผนการขายมูลค่าสูงที่มีแฟรนไชส์มากกว่า 450 แห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา The DRIPBaR ตัดสินเข้าร่วมเทคโนโลยี REVIV X ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ REVIV อันเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นในการจัดหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านโภชนาการเฉพาะบุคคลและที่มีความแม่นยําสำหรับลูกค้าของบริษัท ความร่วมมือนี้ช่วยให้ The DRIPBaR ได้ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญาและวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตของ REVIV ที่มีมาตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายด้วยการตรวจเลือดและการวิเคราะห์ดีเอ็นเอเพื่อปรับการรักษาด้วย IV ให้สอดคล้องกับตามความต้องการของแต่ละบุคคล The DRIPBaR นั้นจะปฏิวัติภูมิทัศน์ด้านสุขภาพในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยอาศัย REVIV X ซึ่งจะนําเสนอการแก้ไขปัญหาที่มุ่งเน้นไปที่ผู้ป่วยแต่ละคนโดยจะเพิ่มประสิทธิภาพด้านสุขภาพที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทในฐานะผู้นําด้านนวัตกรรม

Ben Crosbie ซีอีโอของ The DRIPBaR ตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้ในการร่วมมือกันในครั้งนี้ โดยยืนยันว่า "การเลือก REVIV เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเรานั้น เรากําลังปลดล็อกความสามารถส่วนบุคคลและความแม่นยําเพื่อการนําเสนอผลิตภัณฑ์ขั้นสูงและประสบการณ์ของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น ผมมั่นใจว่าการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญของ REVIV จะช่วยเร่งให้แฟรนไชส์ของเราเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น รวมถึงทำให้พวกเขานําหน้าบรรทัดฐานของอุตสาหกรรมอีกด้วย การเสนอ REVIV X ควบคู่ไปกับหลักสูตรการฝึกอบรม IV ที่ได้รับการรับรองนั้นจะกำหนดมาตรฐานระดับโลกในความเป็นเลิศสำหรับวงการของเรา และยิ่งผนึกกำลังให้เราสามารถรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ไว้ได้”

Sarah Lomas ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ REVIV Global เน้นย้ำถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของความเป็นหุ้นส่วนนี้ โดยระบุว่า "ทั้ง The DRIPBaR กับ REVIV เน้นย้ำถึงการอุทิศตนร่วมกันเพื่อนวัตกรรมและความปลอดภัยในตลาดของการบําบัดด้วย IV ในฐานะผู้นําในอุตสาหกรรม เรากําลังพลิกโฉมอนาคตด้านสุขภาพด้วยการนําเสนอการแก้ไขปัญหาด้านโภชนาการเฉพาะบุคคลและที่มีความแม่นยําซึ่งจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เราจะยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ SaaS ของเราต่อไปเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทั่วโลก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาและการลงทุนที่สำคัญในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นความสำเร็จและการนํา REVIV X ไปใช้”

พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่าง REVIV และ The DRIPBaR ทำให้เกิดช่วงเวลาสำคัญในอุตสาหกรรมการบําบัดด้วย IV และในหลายภาคส่วน โดยการพัฒนาการจัดหาการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับลูกค้าทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงที่อื่น ๆ ในขณะที่ตลาดการบําบัดด้วย IV ยังคงขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนดในระดับชั้นนำ REVIV X จึงกลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่สร้างโอกาสทางธุรกิจในหลายรูปแบบที่มีอยู่ในการเข้าถึงนวัตกรรมของ REVIV และการดำรงตำแหน่งบริษัทในระดับแนวหน้าแห่งนวัตกรรมด้านสุขภาพและมาตรฐานอุตสาหกรรม

สำหรับการสอบถามของสื่อ:

REVIV Global: Emma Robertson, erobertson@revivme.com

The DRIPBaR: Marketing@thedripbar.com“>Marketing@thedripbar.com

เกี่ยวกับ REVIV Global

REVIV Global คือผู้เชี่ยวชาญอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านการบำบัดด้วย IV ซึ่งเป็นวิธีการให้สารอาหารส่วนบุคคลที่มีความแม่นยำสูง ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีในอุตสาหกรรมนี้ พวกเขาช่วยส่งมอบ IV กว่า 2 ล้านเส้นอย่างปลอดภัยใน 40 กว่าประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่สนใจในการดูแลสุขภาพ รวมถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและเชิงรุกอีกด้วย REVIV ได้พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพที่มีความแม่นยำขั้นสูงเป็นระบบแรกและระบบเดียวที่ดึงข้อมูลด้านชีววิทยาและจีโนมิกส์มาใช้ประโยชน์เพื่อมอบการบำบัดด้วย IV ส่วนบุคคลและมีความแม่นยำสูง REVIV เปิดตัวผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีในช่วงปลายปี 2023 ซึ่งได้ขยายขอบเขตของแบรนด์ไปพร้อม ๆ กับยกระดับการควบคุม ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการบำบัดด้วย IV ไปทั่วโลก

เกี่ยวกับ The DRIPBaR

The DRIPBaR เป็นผู้บุกเบิกในวงการสุขภาพที่พร้อมที่จะกำหนดภูมิทัศน์ด้านสุขภาพและชีวิตผ่านความก้าวหน้าในการบําบัดด้วยวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัยและให้ความสำคัญกับความปลอดภัย The DRIPBaR นําเสนอแนวทางการเปลี่ยนแปลงเพื่อสุขภาพของเซลล์และการดูแลเฉพาะบุคคล มุ่งเน้นไปที่การรักษาที่พัฒนาตลอดเวลาและการแพทย์ที่มีความก้าวหน้า The DRIPBaR นำไปสู่ยุคสมัยใหม่แห่งการฟื้นฟู ความมีชีวิตชีวาและการมีสุขภาพที่ดี

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53903816/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ที่มา: REVIV

NIQ เพิ่มศักยภาพให้กับลูกค้าและพันธมิตรด้วยการเปิดตัว Global Media Division

Logo

CHICAGO–(BUSINESS WIRE)–29 กุมภาพันธ์ 2024

NIQ บริษัทข่าวกรองผู้บริโภคชั้นนำของโลก มีความยินดีที่จะประกาศเปิดตัว Media Division ใหม่ ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ที่มีการออกแบบมาเพื่อเสริมมูลค่าที่ผู้ลงโฆษณาจะได้รับจากการดำเนินการด้านการตลาด และช่วยให้พันธมิตรสามารถสนับสนุนลูกค้าผู้ลงโฆษณาของเรา การเคลื่อนไหวครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ NIQ ในการให้บริการลูกค้าพร้อม Full View™ อย่างต่อเนื่อง และเสริมสร้างความสามารถทางการตลาด

หัวหน้าของ Global Media Division คือ Lana Busignani ซึ่งเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์และมีประวัติที่น่าประทับใจในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในผลิตภัณฑ์สื่อต่างๆ Lana เคยร่วมงานกับ Quotient Technology Inc. โดยนำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมาเป็นผู้นำโครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์นี้ สั่งสมประสบการณ์เป็นเวลาเจ็ดปีจาก Nielsen Media และเริ่มต้นจากการเป็นผู้นำด้าน Marketing Effectiveness ระดับโลก และจากนั้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการสื่อต่างประเทศ ด้วยประสบการณ์มากมายด้านการวิจัยตลาด รวมถึงประสบการณ์ 15 ปีจาก IPSOS ในการเป็นผู้นำด้านข่าวกรองการโฆษณาระดับโลก Lana จึงมีคุณสมบัติดีเยี่ยมเหมาะในการขับเคลื่อนความสำเร็จเพื่อ Media Division ของ NIQ

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เปิดตัว Media Division ของเรา ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเราในการบริการ พร้อม Full View™ แก่ลูกค้าของเรา โดยความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์นี้รวมความสามารถของ NIQ, GfK และ MRI-Simmons เข้าด้วยกัน เพื่อเสริมเพิ่มมูลค่าสำหรับลูกค้า และถือเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตของอุตสาหกรรมที่น่าตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา” Lana Busignani ผู้จัดการทั่วไปของ Global Media ที่ NIQ กล่าว “ด้วยการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งร่วมกันของเรา เรามีการกำหนดแนวทางอนาคตของธุรกิจต่างๆ โดยสามารถตัดสินใจด้วยความรอบรู้ในการลงทุนด้านการตลาดและการดำเนินการ เสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดยืนของเราในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรม”

Media Division มุ่งเน้นประเด็นหลักสามประการในอุตสาหกรรม นั่นคือ การกำหนดกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมสำหรับแบรนด์ การนำเสนอบริการสำหรับกลุ่มลูกค้า และการรับรองด้านประสิทธิภาพ โดยการบูรณาการพลังของ NIQ, GfK และ MRI-Simmons เข้าด้วยกัน

“ด้วยการเปิดตัว Media Division ภายใต้การนำของ Lana เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ใช้บริการต่างๆ ของ NIQ” Susan Dunn ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ NIQ กล่าว “ความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์นี้เป็นการประสานความสามารถของเราเข้าไว้ด้วยกัน โดยนำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมแก่ลูกค้า เพื่อใช้ในการตัดสินใจโดยมีข้อมูลสนับสนุนทางการตลาด ประสบการณ์ที่สั่งสมมาและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของ Lana สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการให้บริการลูกค้าพร้อม Full View ซึ่งตอกย้ำจุดยืนของ NIQ ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้เพื่อการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ”

About NIQ 
NIQ เป็นบริษัทข่าวกรองผู้บริโภคชั้นนำของโลก นำเสนอความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค และนำเสนอทิศทางการเติบโตใหม่ ในปี 2023 NIQ ได้รวมตัวกับ GfK เพื่อรวบรวมผู้นำด้านอุตสาหกรรมทั้งสองที่สามารถเข้าถึงทั่วโลกที่ไม่มีใครเทียบ ด้วยข้อมูลด้านการค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ครอบคลุมสูงสุด พร้อมนำเสนอการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ล้ำสมัย NIQ นำเสนอ Full ViewTM

NIQ เป็นบริษัทในเครือของ Advent International ที่มีการดำเนินงานในตลาดกว่า 100 แห่ง ครอบคลุมประชากรโลกมากกว่า 90% สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ NIQ.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Media
Gillian Mosher (Gillian.Mosher@NIQ.com)

แหล่งข้อมูล: NIQ

ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพการประชุมสัมมนาเพื่อส่งเสริมการเติบโตและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยูเครน

Logo

เจ้าหน้าที่ภาคส่วนรัฐบาลและตัวแทนภาคธุรกิจสามร้อยคนรวมตัวกันเพื่อแสดงการสนับสนุนการฟื้นตัวของยูเครนจากญี่ปุ่น

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–29 กุมภาพันธ์ 2024

วันที่ 19 เดือนกุมภาพันธ์ ตัวแทนภาคส่วนรัฐบาลญี่ปุ่นและยูเครน รวมถึงองค์กรธุรกิจต่างๆ รวมตัวกันที่โตเกียวเพื่อเข้าร่วมการประชุมสัมมนาญี่ปุ่น-ยูเครน เพื่อส่งเสริมการเติบโตและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

Prime Minister Kishida Fumio emphasized how Japan can contribute to Ukraine’s post-war reconstruction. (Photo by: Cabinet Public Affairs Office)

นายกรัฐมนตรี Kishida Fumio เน้นย้ำเกี่ยวกับญี่ปุ่นจะสามารถมีส่วนร่วมในการฟื้นตัวหลังสงครามของยูเครนได้อย่างไร (ภาพถ่ายโดย: Cabinet Public Affairs Office)

คณะผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่น นำโดย Kishida Fumio นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ให้คำมั่นว่า จะให้การสนับสนุนการฟื้นตัวของยูเครนในระยะยาวผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน คณะผู้แทนยูเครน นำโดย Denys Shmyhal นายกรัฐมนตรียูเครน กล่าวขอบคุณญี่ปุ่นสำหรับความช่วยเหลือ และเรียนเชิญภาคส่วนธุรกิจของญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนเพื่อการฟื้นตัวของยูเครน คณะผู้แทนแต่ละคณะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐและองค์กรมากกว่า 100 คน มีผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งหมดประมาณ 300 คนและบริษัท 130 แห่ง รัฐบาลทั้งสองเห็นพ้องในการร่วมกันในเจ็ดประเด็นหลัก ได้แก่ การดำเนินการปรับพื้นที่กับระเบิดและการกำจัดขยะ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูวิถีชีวิต การพัฒนาด้านการเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ โครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและพลังงาน และมาตรการต่อต้านการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล

ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ นายกรัฐมนตรี Kishida กล่าวถึงการสนับสนุนการฟื้นตัวของยูเครนจากสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ว่า เป็น "การลงทุนเพื่ออนาคต" และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศมีส่วนร่วม “ภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นจะทำงานร่วมกันผ่านแนวทางแบบญี่ปุ่น โดยใช้ความรู้ที่ได้รับจากความพยายามในการฟื้นฟูหลังสงครามและภัยพิบัติของญี่ปุ่น” เขากล่าวในสุนทรพจน์ของเขา “การส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่เพียงแต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของยูเครนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงทุนในญี่ปุ่นและทั่วโลกด้วยเช่นกัน” มีการร่างโครงการริเริ่มใหม่สำหรับภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นเพื่อการสนับสนุนยูเครน Kishida ยังประกาศอีกด้วยว่า ญี่ปุ่นจะผ่อนปรนข้อกำหนดวีซ่าเข้าประเทศสำหรับพลเมืองยูเครนที่เกี่ยวข้องกับโครงการความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่น-ยูเครน

นายกรัฐมนตรี Shmyhal กล่าวขอบคุณญี่ปุ่นที่ให้ความช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง และขอบคุณนายกรัฐมนตรี Kishida สำหรับการเยือนยูเครนในปี 2023 เขากล่าวเสริมว่า “การประชุมสัมมนาในวันนี้จะเป็นก้าวต่อไปในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างต่อเนื่อง” Shmyhal กล่าวถึงความสำเร็จทางการเงินของบริษัทญี่ปุ่นในยูเครนจนถึงขณะนี้ และมีการเชิญชวนภาคส่วนธุรกิจต่างๆ ให้เข้ามาลงทุนใน “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของยูเครน” ที่จะมีขึ้น เขายังเน้นย้ำภาคส่วนหลักต่างๆ เช่น พลังงาน การเกษตร และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการนำเสนอโอกาสในการลงทุนที่สำคัญ และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ผู้นำทั้งสองเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในความร่วมมือกันตลอดจนความสำคัญของภาคเอกชนในการฟื้นตัวของยูเครน

การประชุมสัมมนาดังกล่าวส่งผลให้มีการประกาศเอกสาร 56 ฉบับ รวมถึงข้อตกลงระหว่างรัฐบาล โดยรัฐบาลทั้งสองมีการลงนามในอนุสัญญาการจัดการเก็บภาษีซ้ำซ้อน โดยจะสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นในยูเครน ยังได้ลงนามในข้อตกลงด้านการให้สินเชื่อทวิภาคี แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเงินช่วยเหลือเพื่อการฟื้นฟูฉุกเฉิน และให้คำมั่นว่า จะร่วมมือกันด้านการศึกษาและเทคโนโลยี

เอกสารอื่นๆ ได้แก่ ข้อตกลงระหว่างหน่วยงานรัฐบาลและภาคส่วนธุรกิจแต่ละรายและองค์กรธุรกิจ บริษัทญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงกับบริษัทยูเครนและหน่วยงานรัฐบาลเพื่อพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงาน สร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ กำจัดกับระเบิด และอื่นๆ อีกมากมาย

นับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 ญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและความช่วยเหลือด้านอื่นๆ แก่ยูเครนมาโดยตลอด โดยการประกาศความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการประชุมสัมมนาครั้งนี้ ญี่ปุ่นวางแผนที่จะใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและประสบการณ์ในการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ เพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนเพื่อการฟื้นตัวสำหรับยูเครน

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53903285/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Ministry of Foreign Affairs
+81-(0)3-3580-3311

แหล่งข้อมูล: Ministry of Foreign Affairs of Japan


Rimkus เฉลิมฉลองการดำเนินงานมาเป็นเวลา 40 ปี พร้อมการลงทุนจาก HGGC

Logo

ความร่วมมือกับ HGGC จะเพิ่มศักยภาพให้กับ Rimkus ในการเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญและขยายการเข้าถึงตลาดได้มากยิ่งขึ้น

HOUSTON–(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2024

Rimkus Consulting Group, Inc. ("Rimkus") ผู้นำระดับโลกในการให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมและทางเทคนิค ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้รับการลงทุนเพื่อการเติบโตเชิงกลยุทธ์จาก HGGC ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในการลงทุนตลาดระดับกลาง โดยนักลงทุนรายย่อยปัจจุบันของ Century Equity Partners และทีมผู้บริหารของ Rimkus จะนำหุ้นที่มีนัยสำคัญนี้เข้าสู่ธุรกรรมดังกล่าว แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินของข้อตกลงนี้

“เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับ HGGC ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเรา การลงทุนของบริษัทไม่เพียงแต่เป็นการตระหนักถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของทีม Rimkus แต่ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของพวกเราอีกด้วย ด้วยความเชี่ยวชาญและทรัพยากรของ HGGC เราพร้อมที่จะก้าวไปสู่มิติใหม่ และขยายข้อเสนอการบริการของเราเพื่อมอบมูลค่าที่มากยิ่งขึ้นแก่ลูกค้าของเรา” Jonathan Higgins ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Rimkus กล่าว

Rimkus ให้บริการด้านการให้คำปรึษาทางวิศวกรรมและทางเทคนิคให้แก่ลูกค้าทั่วโลก รวมถึง องค์กร สำนักงานกฎหมาย บริษัทประกันภัย ผู้บริหารจัดการบุคคลที่สาม และหน่วยงานภาครัฐ ความร่วมมือครั้งใหม่กับ HGGC จะช่วยให้ Rimkus สามารถขยายการบริการให้กว้างยิ่งขึ้น ให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และสร้างชื่อเสียงให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำทางเทคนิคในอนาคต

“Rimkus เป็นบริษัทชั้นนำที่ได้รับการพิสูจน์แล้วด้วยแบรนด์ที่ยอดเยี่ยมและวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างแท้จริง ประวัติและชื่อเสียงของบริษัทเป็นที่รู้จักและยอมรับกันในหมู่ลูกค้า จึงเป็นพันธมิตรที่น่าดึงดูดใจยิ่งสำหรับเรา” HGGC กล่าว “เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ Rimkus สามารถบรรลุการเติบโต โดยขยายขอบเขตการให้บริการ เพิ่มพูนความเชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเสริมการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น”

ตั้งแต่ปี 2020 Rimkus มีการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์มาแล้ว 15 แห่ง มีการขยายเครือข่ายจนปัจจุบันมีพนักงานกว่า 1,500 คน และมีสำนักงานมากกว่า 110 แห่งทั่วโลก นับจากมีการรีแบรนด์เชิงกลยุทธ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Rimkus ได้ปรับปรุงขอบเขตการดำเนินงานที่มีอยู่ให้ก้าวนำความต้องการของลูกค้าทั่วโลก และมีการลงทุนมหาศาลในโซลูชันทางเทคโนโลยี และบุคลากร ซึ่งทำให้บริษัทยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบริการที่ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

“ด้วยแรงผลักดันการเติบโตที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เรามีความยินดีที่จะให้การสนับสนุน Rimkus และร่วมมือกับ HGGC รวมถึงทีมผู้บริหารเพื่อขยายความเป็นผู้นำในตลาดให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น” Century Equity Partners กล่าว

J.P. Morgan ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียวของ Rimkus โดย Baird เป็นที่ปรึกษาของ Century Equity Partners และ Piper Sandler เป็นที่ปรึกษาของ HGGC

เกี่ยวกับ Rimkus
Rimkus เป็นผู้ให้บริการให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมและทางเทคนิคทั่วโลกแก่องค์กรต่างๆ บริษัทประกันภัย สำนักงานกฎหมาย และหน่วยงานภาครัฐ Rimkus มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศาในการให้คำปรึกษาด้านนิติวิทยาศาสตร์ การระงับข้อพิพาท และการบริการบริหารจัดการด้านการก่อสร้าง โซลูชันสำหรับสภาพแวดล้อม และการสนับสนุนปัจจัยสำหรับมนุษย์ในภาคส่วนอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และการดูแลสุขภาพ เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วที่วิศวกร สถาปนิก นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคมืออาชีพของบริษัทได้รับการยอมรับในความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศจากชุมชนธุรกิจในท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ Rimkus มีสำนักงานมากกว่า 110 แห่งทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.rimkus.com

เกี่ยวกับ HGGC
HGGC เป็นองค์กรด้านการลงทุนภาคเอกชนที่มุ่งเน้นคุณค่าและการเป็นหุ้นส่วน ระบบนิเวศขององค์กรประกอบด้วยนักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้เชี่ยวชาญต่างมีภารกิจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในการพัฒนาองค์กรชั้นนำ และสร้างคุณค่าระยะยาวร่วมกัน HGGC มีการลงทุนในเทคโนโลยี บริการทางธุรกิจ บริการทางการเงิน และองค์กรผู้บริโภค ซึ่งมีมูลค่าโดยทั่วไประหว่าง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ – 1.5 พันล้านเหรียญสหรัญ บริษัทมีที่ตั้งอยู่ในเมือง Palo Alto, CA และบริหารจัดการภาระผูกพันด้านทุนสะสมมากกว่า 6.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2007 HGGC มีการลงทุนในกว่า 600 แพลตฟอร์ม มีการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม มีการเพิ่มทุน และมีการปรับสภาพคล่องกว่าโดยมีมูลค่าธุรกรรมรวมกว่า 71 พันล้านเหรียญสหรัฐ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงรายการลงทุนทั้งหมดทั้งในปัจจุบันและอดีตได้ที่ www.hggc.com

เกี่ยวกับ Century Equity Partners
Century Equity Partners, LLC ("Century") เป็นองค์กรเอกชนด้านเงินทุน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Boston โดยมีการจัดหาเงินทุนสำหรับบริษัทในตลาดระดับกลางและระดับล่างที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโต หรือซื้อกิจการกองทุน มีการซื้อหุ้นบางส่วน หรือมีการปรับฐานเพื่อเพิ่มทุน Century มุ่งเน้นในบริษัทที่ดำเนินงานภาคประกันภัย การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่ง การเงินเฉพาะด้าน และภาคส่วนการบริการทางการธนาคารและกู้ยืม

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53899544/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ
สำหรับ Rimkus
Victoria Cook
Pierpont Communications for Rimkus
vcook@piercom.com
+1-713-627-2223

สำหรับ HGGC
Trevor Blaisdell
Stanton
TBlaisdell@StantonPRM.com
+1-646-502-3532

แหล่งข้อมูล: Rimkus Consulting Group, Inc.

การประชุมเชิงปฏิบัติการระดับนานาชาติด้านวัสดุขั้นสูงครั้งที่ 15th ที่ Ras Al Khaimah

Logo

ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และอาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์วัสดุขั้นสูงที่มีชื่อเสียงระดับโลกกว่า 200 คน

RAS AL KHAIMAH, United Arab Emirates–(BUSINESS WIRE)–20 กุมภาพันธ์ 2024

วันนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการระดับนานาชาติด้านวัสดุขั้นสูง (IWAM) ครั้งที่ 15th จัดขึ้นโดยศูนย์ Ras Al Khaimah สำหรับวัสดุขั้นสูง (RAKCAM) ที่ Mövenpick Resort บนเกาะ Al Marjan

HH Saud bin Saqr attends the opening of the 15th #IWAMRasAlKhaimah and takes part in a fireside discussion that highlights Ras Al Khaimah’s commitment to scientific progress and innovation. #Science (Photo: AETOSWire)

HH Saud bin Saqr เข้าร่วมพิธีเปิดงาน #IWAMRasAlKhaimah ครั้งที่ 15 และเข้าร่วมในการอภิปรายโต๊ะกลมที่เน้นย้ำความมุ่งมั่นของ Ras Al Khaimah ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม #Science (ภาพถ่าย: AETOSWire)

IWAM ครั้งที่ 15 รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ นักวิจัย และนักศึกษาที่มีชื่อเสียงกว่า 200 คนจากสถาบันการศึกษาที่ได้รับการยกย่องระดับนานาชาติ และผู้เข้าร่วมกว่า 100 คนจากมหาวิทยาลัยใน UAE เพื่อเข้าร่วมหารือเกี่ยวกับการที่วัสดุขั้นสูงจะสามารถกำหนดอนาคตได้อย่างไร งานนี้มีการจัดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากชีค Saud bin Saqr Al Qasimi สมาชิกสภาสูงสุดของ UAE และผู้ปกครองเมือง Ras Al Khaimah ซึ่งเข้าร่วมในการอภิปรายโต๊ะกลมเกี่ยวกับความสำคัญของวัสดุขั้นสูงในการช่วยแก้ไขปัญหาที่มีความท้าทายยิ่งของโลกด้วยเช่นกัน

วัสดุขั้นสูงนี้สามารถพบได้ในโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบพลังงาน รวมถึงโลหะ เซรามิก และโพลีเมอร์ ซึ่งอาจเป็นวัสดุใหม่หรือผ่านการปรับปรุงให้ดีกว่าสภาพเดิม นวัตกรรมในวัสดุขั้นสูงเหล่านี้มีศักยภาพในการปฏิวัติอุตสาหกรรมหลายประเภท รวมถึงการบินและอวกาศ การขนส่ง การก่อสร้างและการดูแลสุขภาพ โดยช่วยให้ภาคส่วนเหล่านี้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการใช้พลังงานได้

IWAM ยินดีต้อนรับนักวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุขั้นสูงที่มีชื่อเสียงจากสถาบันต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ และสถาบัน Max Planck รวมถึงศาสตราจารย์ Andre Geim จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ผู้ชนะเลิศได้รับรางวัลโนเบล

โดยเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของ IWAM ที่นำเยาวชนเข้ามีส่วนร่วมในด้านวิทยาศาสตร์ นักเรียนนักศึกษากว่า 500 คนจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยใน Ras Al Khaimah ได้เข้าร่วมในโครงการ ‘Innovation and Sustainability Challenge’ โดยร่วมสร้างโซลูชันนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลก จะมีการประกาศผลผู้ชนะการแข่งขันสำหรับความท้าทายในครั้งนี้และรวมถึงรางวัล Sheikh Saud International Prize สาขาวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุอันทรงเกียรติประจำปี (โดยจะได้รับรางวัลมูลค่า 100,000 เหรียญสหรัฐ) ในปลายสัปดาห์นี้

Sir Anthony Cheetham ประธานของศูนย์ Ras Al Khaimah สำหรับวัสดุขั้นสูง ให้ความเห็นว่า “ชีค Saud ทรงอุทิศตนเพื่อใช้ประโยชน์จากการศึกษาและวิทยาศาสตร์เป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมที่มีส่วนช่วยในการพัฒนามนุษยชาติ และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสาขาวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น IWAM มีบทบาทสำคัญในวิสัยทัศน์นี้ โดยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับ Ras Al Khaimah และเมืองอื่นๆ รวมทั้งช่วยสร้างอนาคตที่สดใสสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป”

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IWAM ได้ที่นี่

*แหล่งข้อมูล: AETOSWire

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53897910/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Steven McCombe
Media@rakmediaoffice.ae

แหล่งข้อมูล: Ras Al Khaimah Government Media Office

การออกแบบเพื่อเท่าเทียม: แบบจําลองสําหรับการจัดการความเสี่ยงที่เลือกปฏิบัติของ AI

Logo

Mary Kay สนับสนุนมาตรฐานทางกฎหมายชุดใหม่เกี่ยวกับการออกแบบเพื่อเท่าเทียมที่บุกเบิกโดย Equal Rights Trust

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)--16 กุมภาพันธ์ 2024

ตั้งแต่ปี 2021 Mary Kay Inc. ได้ร่วมมือกับ Equal Rights Trust (ERT) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีภารกิจในการพัฒนาความเท่าเทียมกันผ่านกฎหมายทั่วโลก ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือนี้ Mary Kay Inc. ได้สนับสนุนการวิจัยใหม่ ที่มุ่งเน้นไปที่การทําความเข้าใจ และจัดการกับผลกระทบที่เลือกปฏิบัติของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และผลกระทบต่อความเท่าเทียมทางเพศ และการพัฒนา "แนวทางการออกแบบเพื่อเท่าเทียม" ใหม่

“Our collaboration with Equal Rights Trust underscores our dedication to ensuring that technological advancements, especially in AI, champion gender equality. The impact of the Principles on Equality by Design in Algorithmic Decision-Making has already been transformative for key stakeholders in AI and echoes our commitment to helping create an inclusive digital economy where women entrepreneurs can excel without bias or barriers,” said Melinda Foster Sellers, Chief People Officer at Mary Kay Inc. (Photo: Mary Kay Inc.)

"ความร่วมมือของเรากับ Equal Rights Trust ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการสร้างความมั่นใจว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน AI สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ ผลกระทบของหลักการว่าด้วยการออกแบบเพื่อเท่าเทียมในการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วสําหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักใน AI และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรา ในการช่วยสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ครอบคลุม ซึ่งผู้ประกอบการสตรีสามารถเป็นเลิศได้โดยปราศจากอคติหรืออุปสรรค” Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Mary Kay Inc. กล่าว (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

ความคิดริเริ่มนี้จบลงด้วยการเปิดตัวมาตรฐานทางกฎหมายชุดใหม่ – หลักการว่าด้วยการออกแบบเพื่อเท่าเทียมในการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึม – พัฒนาโดย Equal Rights Trust และได้รับการรับรองโดยกลุ่มองค์กรความเสมอภาคระหว่างประเทศชั้นนํา หลักการนี้อธิบายอย่างละเอียดว่าเหตุใดรัฐบาลและภาคธุรกิจของประเทศต่างๆ จึงต้องนําแนวทางดังกล่าวมาใช้ และให้คําแนะนําโดยละเอียดสําหรับการนําไปปฏิบัติ

Jim Fitzgerald ผู้อํานวยการ Equal Rights Trust เพิ่งเผยแพร่บทความที่เน้นย้ำถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงของปัญญาประดิษฐ์ ในขณะเดียวกันก็เตือนเกี่ยวกับผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ และภัยคุกคามที่เลือกปฏิบัติที่ระบบอัลกอริทึมที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจก่อให้เกิด

  • อ่านบทความของ Jim Fitzgerald เรื่อง การออกแบบเพื่อเท่าเทียม: แบบจำลองสำหรับการจัดการความเสี่ยงที่เลือกปฏิบัติของ AI ที่นี่

คําแถลงจาก Jim Fitzgerald ผู้อํานวยการ Equal Rights Trust และ Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Mary Kay Inc. มีดังต่อไปนี้:

  •      "ในช่วงสามปีที่ผ่านมา Mary Kay ได้สนับสนุนการวิจัย การวิเคราะห์ และการให้คําปรึกษาของเราเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติด้วยอัลกอริทึม และช่วยให้เราสามารถพัฒนาหลักการว่าด้วยการออกแบบเพื่อเท่าเทียม" Jim Fitzgerald ผู้อํานวยการ Equal Rights Trust กล่าว  "ตอนนี้ Mary Kay กําลังทํางานร่วมกับเราในขณะที่เราก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไป: ความพยายามร่วมกันในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติสําหรับธุรกิจ เกี่ยวกับวิธีการนําการออกแบบเพื่อเท่าเทียมมาใช้ ในการทําเช่นนั้น มันกําลังก้าวไปอีกขั้นในการเดินทางซึ่งเริ่มต้นด้วยนโยบายความเท่าเทียมภายในและการไม่เลือกปฏิบัติที่แข็งแกร่ง ย้ายไปที่การทำงานร่วมกันและสนับสนุนเราและผู้มีบทบาทอื่นๆ ในสาขานี้ และตอนนี้มุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะ และนําร่องแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ในการเดินทางครั้งนี้ Mary Kay กําลังช่วยสร้างแบบจําลองว่าธุรกิจต่างๆ สามารถมีบทบาทเชิงรุกในการพัฒนาแนวทางที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติและพัฒนาความเท่าเทียมกันได้"
  •      "ที่ Mary Kay เราตระหนักถึงผลกระทบอันลึกซึ้งที่ AI มีต่อการกําหนดอนาคตของธุรกิจและสังคม" Melinda Foster Sellers ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Mary Kay Inc. กล่าว "ความร่วมมือของเรากับ Equal Rights Trust ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการสร้างความมั่นใจว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน AI สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ ผลกระทบของหลักการว่าด้วยการออกแบบเพื่อเท่าเทียมในการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วสําหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักใน AI  และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรา ในการช่วยสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ครอบคลุม ซึ่งผู้ประกอบการสตรีสามารถเป็นเลิศได้โดยปราศจากอคติหรืออุปสรรค ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพันธกิจที่ยั่งยืนของเรา ในการส่งเสริมผู้หญิงเป็นผู้นำ และส่งเสริมความเท่าเทียมกันในทุกด้าน"

เกี่ยวกับ Equal Rights Trust

Equal Rights Trust เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศที่เป็นอิสระ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติและรับรองว่าทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ องค์กรจึงทํางานร่วมกับเพื่อให้การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญแก่ผู้ที่อยู่ในแนวหน้าในการต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถผลักดันให้มีการพัฒนา การยอมรับ และการบังคับใช้กฎหมายความเท่าเทียมกัน และใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ปี 2007 Trust ได้สนับสนุนนักเคลื่อนไหวด้านความเท่าเทียมในกว่า 50 ประเทศ ขณะเดียวกันก็พัฒนาฉันทามติในระดับสากล เกี่ยวกับความต้องการและเนื้อหาของกฎหมายความเท่าเทียมที่ครอบคลุม เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ equalrightstrust.org

เกี่ยวกับ Mary Kay

ตั้งแต่นั้นมา  เดี๋ยวนี้  เสมอ  Mary Kay Ash หนึ่งในผู้ที่สามารถทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จได้ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในเท็กซัสเมื่อปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือการยกระดับชีวิตของผู้หญิง ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทระดับโลก ที่มีสมาชิกพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่โอกาสของ Mary Kay ได้เพิ่มศักยภาพให้กับผู้หญิงในการกําหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คําปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และการผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสําอางตกแต่งสี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และน้ำหอมที่ทันสมัย Mary Kay เชื่อในการอนุรักษ์โลกของเราสําหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการล่วงละเมิดในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนทําตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมที่ marykayglobal.com พบกับเราบน Facebook, Instagram และ LinkedIn หรือติดตามเราได้ที่ X (เดิมชื่อ Twitter)

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53896783/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Mary Kay Inc. ฝ่ายสื่อสารองค์กร
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc




Tsuno Group ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและยื่นขอรับสิทธิบัตรสำหรับสูตรเสถียรที่มี FERULIC ACID ในปริมาณสูง โดยมีส่วผสมจากพืชธรรมชาติที่หายากและมีหน้าที่ในการดูดซับรังสียูวี

Logo

WAKAYAMA, Japan–(BUSINESS WIRE)–31 มกราคม 2024

Tsuno Group Co., Ltd. ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Katsuragi-cho, Ito-gun, Wakayama และนำโดยประธาน Fumi Tsuno และ Matsumoto Trading Co., Ltd. ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Chuo-ku, Tokyo โดยมี Shunsuke Matsumoto เป็น CEO ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Ferulic Acid โดย Ferulic Acid เป็นตัวดูดซับรังสียูวีที่เป็นพืชธรรมชาติหายาก และมีความคงตัวพร้อมการละลายได้ยากใน ferulic acid ที่มีความเข้มข้นสูง

สำหรับ ferulic acid

Tsuno Group เป็นรายแรกในโลกที่ประสบความสำเร็จในการผลิต ferulic acid ปริมาณมาก ซึ่งเป็นโพลีฟีนอลจากรำข้าว Ferulic acid มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ยอดเยี่ยม และได้รับการยอมรับว่า มีศักยภาพในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ เบาหวาน และคอเลสเตอรอลสูง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตวานิลลินธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนผสมในเครื่องปรุงวานิลลา ในเครื่องสำอาง ก็เป็นสารช่วยยับยั้งการผลิตเมลานิน โดยปิดกั้นการทำงานของไทโรซิเนส และมีคุณบัติด้านการอักเสบ ต้านจุลชีพ และต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้น จึงมีการนำมาใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอสงหลากหลายชนิด

“ในฐานะบริษัทชั้นนำด้านเคมีภัณฑ์จากข้าวและรำข้าวของโลก เราได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงฟังก์ชันจำนวนหนึ่งด้วยความพยายามเป็นอย่างมาก โดยใช้เทคโนโลยีในการผสานรวม รวมทั้งยังมีการวิจัยระดับความปลอดภัยและผลกระทบ เพื่อให้ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในอุตสาหกรรมยา อาหาร อาหารสัตว์ และเครื่องสำอาง ปัจจุบัน เรามีการเปิดตัวเทคโนโลยีในการใช้ ferulic acid จากรำข้าง เพื่อใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ และเป็นตัวดูดซับรังสียูวี ซึ่งเป็นนวัตกรรมแรกของโลก เรามั่นใจว่า คุณจะพบว่า ผลิตภัณฑ์นี้มีเอกลักษณ์และสร้างผลดีไม่เฉพาะเพียงต่อสุขภาพและความงามของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจแบบหมุนเวียนของโลกอีกด้วย” —— Fumi Tsuno ประธานของ Tsuno Group Co., Ltd.

ผลการดูดซับรังสียูวีของ ferulic acid

Ethylhexyl methoxycinnamate (EHMC) ซึ่งเป็นตัวกรองรังสียูวีจากปิโตรเคมี มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในครีมกันแดด อย่างไรก็ตาม มีผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า มีผลกระทบด้านลบต่อสภาวะแวดล้อมทางน้ำ รวมถึงการฟอกขาวของปะการัง Ferulic acid ซึ่งเป็นส่วนผสมของสารพันแดดจากธรรมชาติจากข้าว จะช่วยดูดซับรังสียูวีในช่วงสเปกตรัมที่ใกล้เคียงกันกับ octyl methoxycinnamate (OMC) คุณลักษณะดังกล่าวเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทน EHMC ท่ามกลางความกังวลทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ศักยภาพของ ferulic acid เนื่องจากเป็นส่วนผสมของครีมกันแดดที่เป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพดี มีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น มีศักยภาพที่สำคัญเมื่อนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลากหลายประเภทของญี่ปุ่น

การพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ดูแลรังสียูวีที่มีความเสถียรสูง โดยมีส่วนประกอบ Ferulic Acid ที่มีความเข้มข้นสูง

การได้รับการยอมรับด้านคุณสมบัติดูดซับรังสียูวี สำหรับ ferulic acid ที่เป็นส่วนผสมจากพืชธรรมชาติ ทำให้มีการนำเสนอความท้าทายในด้านความสามารถในการละลาย และความคงตัวที่ความเข้มข้นสูงสำหรับสูตรครีมกันแดด เพื่อเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้  Matsumoto Trading จึงทุ่มเทในการวิจัยและการพัฒนา โดยบุกเบิกเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ โดยใช้ ferulic acid ที่มีความเข้มข้นสูงในสูตรที่เป็นแท่งสติ๊ก สูตรใหม่นี้ได้รับการพัฒนาให้มี SPF50+ และ PA++ (in vitro) โดยมีเพียงส่วนผสมของ ferulic acid ซึ่งเป็นสารดูดซับรังสียูวีธรรมชาติที่สกัดได้จากรำข้าวเท่านั้น สูตรเฉพาะนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ส่วนผสมป้องกันรังสียูวีอื่นๆ ที่มีการใช้กันโดยทั่วไป ในขณะที่ยังสามารถคงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดในระดับสูง และอยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร

เกี่ยวกับ Tsuno Rice Fine Chemicals Co., Ltd.

Tsuno Rice Fine Chemicals ผลิตส่วนผสมต่างๆ จากผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นในกระบวนการกลั่นน้ำมันรำข้าว และสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเพื่อสุขภาพ วัตถุเจือปนอาหาร อาหารสัตว์ และสารเคมีทางอุตสาหกรรม นอกจากนี้ เรายังมีส่วนร่วมในการผลิตเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ของเราเองโดยใช้ส่วนผสมเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

โปรไฟล์ธุรกิจของ Tsuno Group Co., Ltd.

เรามีการส่งเสริมการใช้รำข้าวขั้นสูงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสุขภาพและความงามที่ได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยโบราณ เรากำลังพัฒนาธุรกิจสามประเภท ได้แก่ ธุรกิจการผลิตน้ำมันรำข้าว ธุรกิจเคมีภัณฑ์ละเอียด และธุรกิจเคมีภัณฑ์ Oleo

ก่อตั้งเมื่อ: วันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1947
กรรมการฝ่ายตัวแทนและประธานของ Fumi Tsuno
URL : https://www.tsuno.co.jp/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Fine Chemical dept
Tsuno Group Co., Ltd.
Mayu Aizawa
+81-739-22-8000
boeki@tsuno.co.jp

แหล่งข้อมูล: TSUNO GROUP CO., LTD.

The Bangkok Reporter