Mary Kay Inc. นำเสนอผลการวิจัยใหม่เกี่ยวกับความก้าวหน้าในการดูแลผิวและการใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์ในการระบุความไวของผิว

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–20 มิถุนายน 2024

Mary Kay Inc. ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมการดูแลผิว ได้เปิดเผยผลการวิจัยที่สำคัญ 2 รายการ อันได้แก่ ประการแรก การรักษาด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถลดผลกระทบที่มองเห็นได้จากมลพิษและการเสื่อมสภาพของผิว และประการที่สอง การประยุกต์ใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์เพื่อทำนายความปลอดภัยและปฏิกิริยาที่เป็นไปได้ของผิวมนุษย์ต่อส่วนประกอบเครื่องสำอางต่างๆ ผลการวิจัยเหล่านี้ถูกนำเสนอโดยนักวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay ในการประชุม Society of Investigative Dermatology (SID) ปี 2024 ที่ดัลลัส เท็กซัส ซึ่งบริษัทได้เป็นผู้สนับสนุนระดับซิลเวอร์ของงานนี้

Mary Kay Inc. recently revealed the results of two breakthrough research studies at the 2024 Society of Investigative Dermatology. (Photo: Mary Kay Inc.)

Mary Kay Inc. เพิ่งเปิดเผยผลการวิจัยที่สำคัญสองรายการในการประชุม Society of Investigative Dermatology ปี 2024 (ภาพ: Mary Kay Inc.)

“นักวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay อยู่ในแนวหน้าของการวิจัยการดูแลผิว และเรายินดีที่จะแบ่งปันผลการวิจัยล่าสุดของเรากับชุมชนวิทยาศาสตร์ที่กว้างขวางขึ้น” ดร.ลูซี่ กิลเดีย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay กล่าว การเป็นพันธมิตรกับ Society of Investigative Dermatology อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Mary Kay ในการพัฒนาวิทยาศาสตร์การดูแลผิว โดยการรักษาความร่วมมือเหล่านี้ บริษัทจึงยังคงมุ่งมั่นในการทำให้เกิดความก้าวหน้าสำคัญในสาขาวิชาด้านผิวหนัง ซึ่งสุดท้ายจะให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ความมุ่งมั่นอันยาวนานของ Mary Kay ต่อการวิจัยและพัฒนา สอดคล้องอย่างสมบูรณ์แบบกับเป้าหมายของเราที่ Society for Investigative Dermatology” ดร.รีเบคก้า มินนิลโล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายโปรแกรม การสื่อสาร และการพัฒนาที่ SID กล่าว “การเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืนของเรา ช่วยให้เราสามารถสำรวจขอบเขตใหม่ในวิทยาศาสตร์ด้านผิวหนัง ซึ่งทำให้เราเข้าใกล้ความก้าวหน้าที่สามารถเปลี่ยนแปลงการดูแลผิวและตัวเลือกการรักษาได้มากขึ้น”

การวิจัยของ Mary Kay เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อผิวหนัง ดำเนินการผ่านความร่วมมือทางวิชาการหลายครั้งตั้งแต่ปี 2016 พบว่าสารต้านอนุมูลอิสระผสมของเรสเวอราทรอล ไนอาซินาไมด์ และโอลิโกเปปไทด์-1 ช่วยปกป้องไขมันผิวหนังจากความเสียหายจากการออกซิเดชันที่เกิดจากอนุภาค (PM) และรังสียูวี ทั้งเมื่อแยกและรวมกัน นอกจากนี้ยังพบว่าส่วนผสมนี้สามารถป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระที่เกิดจากแสงสีฟ้า แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการลดผลกระทบที่เป็นอันตรายจากปัจจัยความเครียดด้านสิ่งแวดล้อมหลายประการต่อผิว

นอกจากนี้ Mary Kay ยังใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์ทางพิษวิทยาเพื่อปรับปรุงการประเมินความปลอดภัยของส่วนประกอบเครื่องสำอางและส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนตัว วิธีการที่เป็นนวัตกรรมนี้เกี่ยวข้องกับการใช้วิธีการคอมพิวเตอร์ขั้นสูงเพื่อทำนายความปลอดภัยและความเป็นพิษที่อาจเกิดขึ้นของส่วนประกอบในระยะแรก ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการทดสอบในห้องปฏิบัติการอย่างมาก การคัดกรองเสมือนจริงช่วยให้การคัดกรองสารประกอบในระยะแรกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รับรองว่าส่วนประกอบที่ปลอดภัยเท่านั้นจะถูกพัฒนา วิธีนี้ไม่เพียงแต่ประหยัดเวลาและทรัพยากรเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับมาตรฐานทางจริยธรรมและข้อบังคับ ด้วยการบูรณาการเครื่องมือขั้นสูงเหล่านี้ Mary Kay ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อรับประกันมาตรฐานความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้บริโภค

ดร.กิลเดียแห่ง Mary Kay ยังได้เป็นเจ้าภาพจัดแผงอภิปรายที่น่าสนใจที่ SID ในหัวข้อ “มุมมองใหม่เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษต่อสุขภาพผิว: การค้นพบล่าสุดและมุมมองที่เกิดขึ้นใหม่” โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาในด้านผิวหนังวิทยาและชีววิทยาโมเลกุล ซึ่งรวมถึง ดร.โทมัส ฮาร์มันน์-สเตมมานน์ หัวหน้ากลุ่มที่สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อม Leibniz ที่พูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างอุณหภูมิโดยรอบที่เพิ่มขึ้นกับการเสื่อมสภาพของผิว ดร.เอลมา บารอน รองศาสตราจารย์ด้านผิวหนังที่ Case Western Reserve University ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระเฉพาะที่ในการบรรเทาความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นและการปรับปรุงสุขภาพผิว และดร.หง ซัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ NYU Grossman School of Medicine ที่ศึกษาการเปลี่ยนแปลงระดับโมเลกุลในเซลล์ผิวที่ได้รับปัจจัยความเครียดด้านสิ่งแวดล้อม แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการรักษาด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในการย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายของผิวที่เกิดจากการได้รับรังสี UV และมลพิษ

การสนับสนุนและผลการวิจัยที่นำเสนอในการประชุม SID ปี 2024 เป็นตัวแทนของความพยายามล่าสุดของ Mary Kay ในการเสริมสร้างความมุ่งมั่นที่ยาวนานของแบรนด์ในการพัฒนาการวิจัยและพัฒนาในด้านสุขภาพผิวและความงาม ด้วยสิทธิบัตรมากกว่า 1,600 รายการสำหรับผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอทั่วโลก Mary Kay ยังคงเป็นผู้นำในนวัตกรรมการดูแลผิว

เกี่ยวกับ Mary Kay

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในผู้บุกเบิกที่ก้าวข้ามอุปสรรค Mary Kay Ash ได้ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในรัฐเท็กซัสในปี 1963 ด้วยเป้าหมายหนึ่งเดียว: เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของผู้หญิง ความฝันนั้นได้กลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีสมาชิกขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา โอกาสของ Mary Kay ได้ช่วยให้ผู้หญิงกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay มุ่งมั่นที่จะลงทุนในวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางสี อาหารเสริม และน้ำหอมที่ทันสมัย Mary Kay เชื่อในการรักษาโลกของเราสำหรับคนรุ่นต่อไป การปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากมะเร็งและการทารุณกรรมในครอบครัว และการสนับสนุนเยาวชนให้ตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com ค้นหาเราบน FacebookInstagram และ LinkedIn หรือติดตามเราบน Twitter

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54075312/en

ติดต่อ

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom 
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc.

NIQ และ World Data Lab เปิดเผยรายงาน “Spend Z”

Logo

รายงานฉบับใหม่ที่มีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายของกลุ่ม Generation Z ซึ่งคาดว่าจะกลายเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์

“Spend Z” ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการจับจ่ายในตลาด Gen Z ที่จะมีมูลค่าถึง $12 ล้านล้าน ภายในปี 2030

ความเชื่อมั่น ESG ที่แข็งแกร่งยังคงมีอยู่ โดย 77% ของ Gen Z กล่าวว่าพวกเขาจะไม่ซื้อสินค้าจากประเทศที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมไม่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการใช้จ่ายของกลุ่มคนในอนาคต

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–18 มิถุนายน 2024

NielsenIQ (“NIQ”) ร่วมมือกับ World Data Lab (WDL) ตีพิมพ์รายงาน “Spend Z” เป็นครั้งแรก โดยเป็นรายงานการใช้จ่ายที่มีเนื้อหาครอบคลุมและมุ่งเน้นไปที่กลุ่ม Gen Z เพียงเท่านั้น งานวิจัยและการวิเคราะห์ที่นำเสนอในรายงานนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ NIQ ในการให้ข้อมูลการตลาดเชิงลึกที่เป็นประโยชน์

รายงานนี้เปิดเผยอย่างละเอียดถึงข้อมูลสำคัญที่บริษัทต่าง ๆ ต้องการในการรักษาแนวทาง ความต้องการในการเติบโต ไปจนถึงความเข้าใจอย่างรวดเร็วและลึกซึ้งในกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและเป็นกลุ่มแรกในระดับโลกอย่างแท้จริง โดยรายงานนี้รวมความชอบ พฤติกรรมการใช้จ่าย ค่านิยม สิ่งที่ให้ความสำคัญ วิธีการและช่องทางที่ซื้อ สินค้าที่ซื้อ และวิธีที่คนกลุ่มนี้มีอิทธิพลต่อรูปแบบการใช้จ่ายของกลุ่มคนรุ่นอื่น ๆ

รายงานพบว่ากลุ่ม Gen Z ซึ่งหมายถึงผู้ที่เกิดระหว่างปี 1997 ถึง 2012 คิดเป็น 25% (2 พันล้านคน) ของประชากรโลก จะมีกำลังซื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 ทำให้พวกเขาอาจกลายเป็นรุ่นที่มีความร่ำรวยมากที่สุดในทุกภูมิภาคของโลก โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่นี้จะมีการใช้จ่ายแซงหน้ากลุ่มคนรุ่นบูมเมอร์ในช่วงเวลานั้น และภายในปี 2034 กลุ่มคน Gen Z จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั่วโลกกว่า 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่ากลุ่มคนรุ่นอื่น ๆ

กลุ่ม Gen Z ในตอนนี้พร้อมที่จะจ่ายเงิน และบริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องรู้วิธีปรับตัวเพื่อให้บริการพวกเขา การเข้าใจสิ่งที่ทำให้กลุ่มคนรุ่นนี้แตกต่างจึงเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกโอกาสในการเติบโตที่มีมูลค่ามากกว่า $12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ” Tracey Massey กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการของ NIQ กล่าว “หลาย ๆ บริษัทกำลังพยายามเรียนรู้โอกาสในการเติบโตกับ Gen Z และวิธีที่พวกเขามีอิทธิพลต่อผู้อื่น “Spend Z” เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของวิธีที่ NIQ ช่วยลูกค้าของเราให้บรรลุเป้าหมายเฉพาะโดยคาดการณ์และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค”

ประเด็นสำคัญของกลุ่มคน Gen Z:

  • พวกเขาต้องการความจริงใจ: พวกเขาให้ความสนใจกับความสัมพันธ์แบบจริงใจกับอินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์ “การเป็นตัวของตัวเอง” เป็นคำอธิบายแรกของความสำเร็จสำหรับชาว Gen Z ทั่วโลก ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและการเห็นคุณค่าในตนเองเป็นอีกสองค่านิยมที่สำคัญ เช่นเดียวกับความรู้สึกที่แข็งแกร่งของการมีตัวตนที่เชื่อมโยงกับสังคมและการเคลื่อนไหวทางสังคม
  • การจับจ่ายใช้สอยในห้างร้านแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน:  การซื้อสินค้าในร้านค้าของกลุ่มคนรุ่นนี้คิดเป็นเกือบ 50% ของส่วนแบ่งเหรียญสหรัฐและสูงกว่าทุกเจเนอเรชันก่อนหน้านี้ แม้ว่า Gen Z จะเริ่มการชอปปิงออนไลน์ แต่พวกเขาก็ให้ความสำคัญกับรีวิวออนไลน์จากผู้ซื้อรายอื่นมากที่สุดและได้รับอิทธิพลอย่างมากจากโซเชียลมีเดีย
  • กำลังซื้อทั่วโลก: Gen Z จะกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ใช้จ่ายมากที่สุดในหลาย ๆ ภูมิภาค และเป็น 30% ของคนทำงานทั่วโลกในปี 2030 อเมริกาเหนือ ยุโรป และ APAC จะยังคงครองการใช้จ่ายส่วนใหญ่ โดยที่ APAC มีความสำคัญเพิ่มขึ้น ปัจจุบันพวกเขามีส่วนแบ่งการบริโภคที่มากกว่าในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น แอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารา ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ และละตินอเมริกาและแคริบเบียน ซึ่งภูมิภาคเหล่านี้มีสัดส่วนของประชากรมากกว่า
  • สุขภาพและด้านความเป็นอยู่….ในระดับหนึ่ง: โดยรวมแล้วพวกเขาใส่ใจสุขภาพและมีจิตสำนึกในการพัฒนาอย่างยั่งยืน การเติบโตของความต้องการอย่างมีพลวัตมากที่สุดในกลุ่มผู้บริโภค Gen Z คือในหมวดสุขภาพ เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์และเครื่องดื่ม
    • คาดว่า 81% ของยอดขายเป็นหน่วยเหรียญสหรัฐบน TikTok จะมาจากหมวดสุขภาพและความงาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ใหญ่พิเศษ
    • 50% ของ Gen Z เคยใช้แอปฟิตเนสหรือแอปออกกำลังกาย และ 17% เคยใช้ฟิตเนสแบนด์เพื่อติดตามข้อมูลสุขภาพและฟิตเนส
  • เทคโนโลยีที่เร่งพฤติกรรม:
    • รีวิวออนไลน์จากผู้ซื้อรายอื่นมีความสำคัญมากที่สุดเวลาชอปปิง โดย 53% ของประชากร Gen Z มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มไลฟ์สตรีม
    • 26% ของ Gen Z ใช้โทรศัพท์ขณะชอปปิงในร้านค้าเพื่อตัดสินใจ เทียบกับ 23% สำหรับ Gen Y, 18% สำหรับ Gen X และ 12% สำหรับบูมเมอร์

.ด้วยการที่ Gen Z ให้ความสำคัญต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เรามีความคาดหวังต่อ NIQ Better For™ ซึ่งเป็นการจัดหมวดหมู่ที่ใช้ประโยชน์จากอัลกอริทึมเฉพาะของเราในการระบุแบรนด์ผ่านลักษณะผลิตภัณฑ์ การจัดวาง ยอดขาย และการจัดจำหน่ายให้ยังคงเติบโตรวดเร็วกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป ผลิตภัณฑ์ในหมวดนี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ “ดีกว่า” สำหรับผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม ปัจจุบัน แบรนด์เล็ก ๆ และกลุ่มคนเจเนอเรชันใหม่ ๆ ขับเคลื่อนการเติบโตในหมวดนี้ถึง 62%

 “Gen Z เป็นเจเนอเรชันที่เชื่อมโยงกันมากที่สุด ใหญ่ที่สุด และมีอิทธิพลมากที่สุด” กล่าวโดย Marta Cyhan-Bowles ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการสื่อสาร NIQ. “Gen Z จะมีลูกน้อยลงและมีลูกช้ากว่าเดิม จะมีกำลังการใช้จ่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะยังคงให้ความสำคัญกับบางหมวดหมู่ เช่นสุขภาพและความเป็นอยู่ อย่างที่เจเนอเรชันก่อนหน้านี้ไม่เคยทำ การวิเคราะห์ของเราชัดเจนว่า: การลงทุนกับกลุ่มคน Gen Z วันนี้ จะคุ้มค่าในอนาคต”

“Gen Z คือรุ่นที่ใหญ่ที่สุด รวยที่สุด และมีความเป็นสากลมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา” Wolfgang Fengler ซีอีโอของ WDL กล่าว “ธุรกิจต่าง ๆ จะต้องรู้ว่า Gen Z มีจำนวนคนถึง 2 พันล้านคน และการตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขานั้นเป็นสิ่งจำเป็น”

เกี่ยวกับ Spend Z

Spend Z มีข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายของ Gen Z ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวอย่างละเอียด พร้อมการวิเคราะห์ความจงรักภักดีในแบรนด์เมื่อเทียบกับเจเนอเรชันอื่น ๆ และเจาะลึกสิ่งที่สำคัญสำหรับบริษัทใน CPG เทคโนโลยี/สินค้าคงทน หรืออุตสาหกรรมค้าปลีก ทั้งนี้รายงานนี้ยังมีความสำคัญหลักต่อผู้นำทางความคิดและผู้ที่ตัดสินใจ เพื่อนำพาบริษัทของคุณไปสู่การเติบโตครั้งใหม่ที่ประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งปกป้องธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ดาวน์โหลดรายงาน ฟรี

เกี่ยวกับ NIQ

NielsenIQ (NIQ) เป็นบริษัทชั้นนำด้านข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคทั่วโลก ที่นำเสนอความรู้ความเข้าใจที่ครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค และเปิดเผยแนวทางใหม่ ๆ สู่การเติบโต ในปี 2023 NIQ ได้รวมกับ GfK นำการรวมผู้นำในสองอุตสาหกรรมที่เข้าถึงได้ทั่วโลกและไม่มีใครเทียบได้ ปัจจุบัน NIQ ดำเนินงานในกว่า 95 ประเทศ ครอบคลุม 97% ของ GDP ด้วยการอ่านข้อมูลการค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคที่ครอบคลุมที่สุด จึงนำเสนอผ่านการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ล้ำสมัย — NIQ มอบมุมมองครบวงจร (Full View™)

เกี่ยวกับ World Data Lab

World Data Lab (WDL) สร้างข้อมูลเอกสิทธิ์ที่ล้ำหน้าเพื่อทำนายและคาดการณ์แนวโน้มการบริโภค การใช้จ่ายของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) จนถึงปี 2034 ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ของข้อมูลขั้นสูงที่ได้รับการตรวจทานโดยผู้เชี่ยวชาญและตีพิมพ์ในวารสาร Nature ทำให้เรานำเสนอความแม่นยำ สดใหม่ และความสอดคล้องกันอย่างไร้ที่ติในทุกกลุ่มประชากรใน 180 ประเทศและกว่า 6,000 เมือง

วิธีการวิจัย

รายงาน “Spend Z” ได้คาดการณ์การใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวมข้อมูลการใช้จ่ายในครัวเรือนที่ได้มาจากหน่วยงานสถิติแห่งชาติและข้อมูลประชากรจากสหประชาชาติและ IIASA โดยรวมข้อมูลจาก 2,065 แบบสอบถามที่ครอบคลุม 160 ประเทศในฐานข้อมูล NIQ ในกรณีที่ประเทศใดขาดข้อมูลการสำรวจการใช้จ่าย การใช้จ่ายจะถูกอ้างขึ้นโดยการระบุลักษณะเฉพาะของประเทศอื่นที่มีโครงสร้างที่คล้ายกัน โดยใช้เทคนิคทางสถิติให้เหมาะสมที่สุด ข้อมูลจากการสำรวจจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่ได้รับในบัญชีประชาชาติของแต่ละประเทศ การคาดการณ์ในปัจจุบันและในอนาคตจะอ้างอิงตามแผนการของ IMF สำหรับระยะกลางและฉากทัศน์เส้นตัวแทนเศรษฐกิจและสังคมร่วมที่พัฒนาให้กับ UNFCCC สำหรับระยะยาว กระบวนการอันครอบคลุมนี้ช่วยให้ NIQ และ WDL สามารถคาดการณ์พฤติกรรมของผู้บริโภคใน 183 ประเทศตั้งแต่ปี 2016 ถึงปี 2034 โดยแยกออกเป็นกลุ่มตามอายุ เพศ และระดับรายได้ นอกจากนี้ เรายังแยกการใช้จ่ายรวมเป็นกลุ่มสินค้ากว่า 100 ประเภทต่าง ๆ โดยใช้การจัดหมวดหมู่ตาม COICOP วิธีการหลักของเราได้รับการตรวจทานโดยผู้เชี่ยวชาญในวารสาร Nature https://www.nature.com/articles/s41599-018-0083-y

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54028612/en

ติดต่อ

รายชื่อผู้ติดต่อทั่วโลก:

ทั่วโลก:
Sweta Patra
Sweta.patra@nielseniq.com

APAC:
Liza Martija
liza.martija@nielseniq.com

ละตินอเมริกา:
Ari Rodriguez
ari.rodriguez@nielseniq.com

อเมริกาเหนือ:
Gillian Mosher
gillian.mosher@nielseniq.com

ยุโรปตะวันตก:
Julia Mayer
julia.mayer@nielseniq.com

แหล่งข้อมูล: NielsenIQ

GBM ครั้งที่ 66 ในมาเลเซียกําหนดเส้นทางเชิงกลยุทธ์เพื่อผลผลิตที่ยั่งยืนและการเติบโตในระดับภูมิภาค

Logo

กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย

PSP เปิดเผยเกี่ยวกับธุรกิจซื้อขายหุ้นมูลค่า 500 ล้านบาทในกองทุน CPFam-LDA Asia Growth ตามสัญญาซื้อขายหุ้น

Logo

BANGKOK–(BUSINESS WIRE)–04 มิถุนายน 2024

P.S.P. Specialties Public Company Limited (“PSP”) (SET:PSP) เปิดเผยเกี่ยวกับหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับกองทุน CPFam-LDA Asia Growth (“กองทุน”) เป็นมูลค่าสูงถึง 500 ล้านบาท

เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2023 LDA และตระกูลเจียรวนนท์—เจ้าของกลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์—ได้เปิดตัวกองทุน CPFam-LDA Asia Growth เพื่อลงทุนในบริษัทที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และก่อนการเสนอขายหุ้น IPO ที่มีการเติบโตสูงทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การทำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกจาก LDA และเครือข่ายระดับภูมิภาคจากกลุ่มบริษัท CP คาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าในภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี การเกษตร และพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน

PSP มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันหล่อลื่นและผลิตภัณฑ์เฉพาะด้าน ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญสำหรับการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมและการบริการด้านยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือระหว่าง PSP และกองทุน CPFam-LDA Asia Growth ไม่เพียงช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมและการขยายธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนภาคส่วนอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทยอีกด้วย

“การทำธุรกรรมร่วมกับ PSP ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับกองทุน” Anthony Romano ผู้อำนวยการกองทุนกล่าว “การดำเนินการนี้เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของเราต่อภูมิภาคและเป็นตัวอย่างความสามารถเชิงกลยุทธ์ที่เรามุ่งหวังในการยกระดับความร่วมมือของเรา PSP เป็นตัวแทนของบริษัทที่มีศักยภาพสูงที่เรามองหามานาน — ซึ่งมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมและเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

สามารถเข้าดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข่าวสารนี้ได้ที่ https://shorturl.at/LSYJO

เกี่ยวกับ PSP

PSP เป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านน้ำมันหล่อลื่นชั้นนำสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นยานยนต์และอุตสาหกรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์เฉพาะด้าน เช่น จาระบี น้ำมันสำหรับกระบวนการผลิตยาง และน้ำมันหม้อแปลง บริษัทเป็นผู้ผลิตอิสระที่มีกำลังการผลิตสูงสุดในประเทศไทย และครองส่วนแบ่งการตลาดในผลิตภัณฑ์ต่างๆ สูงที่สุด

เกี่ยวกับ CP Group

กลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ (“CP Group”) เป็นหนึ่งในบริษัทโฮลดิ้งที่มีความหลากหลายสูงที่สุดในเอเชีย โดยมีรายได้สูงกว่า 82 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินทรัพย์มูลค่า 25 พันล้านเหรียญสหรัฐ และพนักงาน 450,000 คนใน 21 ประเทศ ตระกูลเจียรวนนท์เจ้าของ CP Group นี้เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีความร่ำรวยที่สุดในเอเชีย

เกี่ยวกับ LDA Capital

LDA Capital เป็นกลุ่มบริษัทลงทุนทางเลือกระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกรรมข้ามพรมแดนทั่วโลก ทีมงานมีการดำเนินธุรกรรมรวมมากกว่า 300 รายการในตลาดระดับกลางทั้งภาครัฐและเอกชนใน 43 ประเทศ โดยมีมูลค่าธุรกรรมรวมกว่า 11 พันล้านเหรียญสหรัฐ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

P.S.P. Specialties Public Company Limited
Chotdhanin Temsiripong
Investor Relations
chotdhanin@psp.co.th

แหล่งที่มา: P.S.P. Specialties Public Company Limited

Rhea เปิดตัวพร้อมกับคณะที่ปรึกษาอาวุโส การซื้อกิจการสำหรับการเติบโต และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาเส้นทางการเจริญพันธุ์สำหรับครอบครัวยุคใหม่

Logo

การเปิดตัวเกิดขึ้นพร้อมกับการระดมทุนรอบต่อไปซึ่งนำโดย Thiel Capital เพื่อขยายการดำเนินงานไปทั่วโลก

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–30 พฤษภาคม 2024

Rhea ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ระดับโลกที่มุ่งเน้นการยกระดับเส้นทางการเจริญพันธุ์ของครอบครัวยุคใหม่ ได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันนี้ Rhea เป็นระบบนิเวศด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ครบวงจรแห่งแรกที่เชื่อมโยงครอบครัวในอนาคตในเอเชียเข้ากับการดำเนินงานเสริมในอเมริกาเหนือและยุโรป เพื่อมอบมาตรฐานระดับสูงของการดูแลที่ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค

ระบบนิเวศการบริการของ Rhea มีศูนย์กลางอยู่ที่เครือข่ายคลินิกทั้งที่เป็นเจ้าของและเป็นพันธมิตรทั่วทั้งโลก ระบบนิเวศนี้ขับเคลื่อนโดย Rhea Labs ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีบูรณาการที่ใช้ประโยชน์จากข้อมูล การเร่งเวลาออกสู่ตลาด และลูปผลตอบรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ของผู้ป่วย บริการเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ของบริษัทให้บริการโดยเครื่องมือการจัดการการเดินทางของผู้ป่วยของ Rhea และเครือข่ายคลินิก Generation Prime ซึ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อแบรนด์อย่างเป็นทางการเป็น GenPrime

บริษัทได้ประกาศรอบต่อไปซึ่งนำโดยนักลงทุนที่กลับมาอย่าง Thiel Capital โดยมีส่วนร่วมจากกองทุนต่างๆ เช่น LifeX Ventures, Blue Lion Global และ FJ Labs เงินทุนเพิ่มเติมนี้จะนำไปใช้เพื่อขยายขอบเขตการดำเนินงานและการนำเสนอบริการของ Rhea ในตลาดใหม่

ควบคู่ไปกับการระดมทุนครั้งใหม่ Rhea เปิดเผยการเข้าซื้อกิจการ Embryonics ซึ่งเป็นบริษัทที่ใช้ประโยชน์จากชุดเทคโนโลยี AI ใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการและผลลัพธ์ของการรักษาภาวะเจริญพันธุ์ ทีม Embryonics และเครื่องมือวินิจฉัย AI ได้รับการบูรณาการภายใน Rhea Labs โดยใช้วิทยาศาสตร์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อพัฒนาแผนงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Rhea Rhea Labs กำลังสร้าง RheaX ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเซลล์สืบพันธุ์ (gamete) ระดับโลกของบริษัท โดยนำเสนอโซลูชั่นที่ไม่เหมือนใครเพื่อปรับปรุงกระบวนการจับคู่และถ่ายโอนเซลล์สืบพันธุ์ การแลกเปลี่ยนนี้จะได้รับการพัฒนาโดยเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมทุนของ Rhea กับวิทยาลัยแพทยศาสตร์ Baylor ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์ Texas Medical Center ซึ่งเป็นศูนย์การแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งไปกว่านั้น Rhea ยังร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ Baylor เพื่อเปิดตัวรางวัลร่วมสำหรับการวิจัยด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ในฤดูใบไม้ร่วงนี้อีกด้วย

เพื่อรองรับการเติบโต Rhea ได้แนะนำคณะที่ปรึกษาอาวุโสอย่างเป็นทางการ ซึ่งประกอบไปด้วย::

  • Dr. Milton Leong ผู้บุกเบิก IVF ในฮ่องกงและเป็นประธานผู้ก่อตั้งสมาคมเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์แห่งฮ่องกง ดร. Leong รับผิดชอบเด็กผสมเทียมแบบ IVF คนแรกในฮ่องกงเมื่อปี 1985 เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์มานานกว่า 30 ปี และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง IVF Worldwide;
  • Cynthia Hudson รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ทางคลินิกที่ TMRW Life Sciences Hudson เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Kindbody ซึ่งเป็นเครือข่ายคลินิกการเจริญพันธุ์ชั้นนำและผู้ให้บริการผลประโยชน์ในการสร้างครอบครัวในสหรัฐอเมริกา และมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในด้านเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์
  • Dr. Javaid I. Sheikh คณบดีแห่ง Weill Cornell Medicine – กาตาร์ คณบดี Sheikh เป็นผู้บริหารทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียง และเป็นประธานคณะกรรมการคนก่อนของสถาบัน Palo Alto Institute for Research and Education ที่ Stanford University School of Medicine และ Veterans Administration Palo Alto Health Care System ในแคลิฟอร์เนีย;
  • Dr. Michael Coburn ศาสตราจารย์และหัวหน้าภาควิชาระบบทางเดินปัสสาวะที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์ Baylor ศาสตราจารย์โคเบิร์นดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกระบบทางเดินปัสสาวะที่โรงพยาบาล Ben Taub ตั้งแต่ปี 1990 ถึง 2012 และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของ American College of Surgeons เขาเป็นผู้รับรางวัล Robertson Presidential Educator Award สำหรับความสำเร็จตลอดชีวิตในการเป็นผู้นำด้านการศึกษาที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์ Baylor;
  • Bea Camacho ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ IDEO Camacho มีประสบการณ์กว้างขวางในการออกแบบบริการและผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่คำนึงถึงมนุษย์เป็นหลัก การพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างขีดความสามารถด้านนวัตกรรม ลูกค้าของเธอครอบคลุมทั้งด้านการดูแลสุขภาพ การศึกษา งานบริการ การบริการทางการเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค และรวมถึง Merck Medtronic Roche IKEA Nike และ Marriott
  • Weylin Liew ผู้จัดการของ Global Sustainability Portfolio และหัวหน้าฝ่ายการมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นที่ Singapore Sovereign Wealth Fund GIC นอกจากนั้น Weylin ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Fertility Support SG ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลจดทะเบียนที่มุ่งเน้นด้านทรัพยากรอนามัยการเจริญพันธุ์และการสนับสนุนในสิงคโปร์อีกด้วย

Margaret Wang หุ้นส่วนผู้จัดการของ Recharge Capital และอดีตหัวหน้าของ Bridgewater Associates Singapore ได้รับการแต่งตั้งเป็นซีอีโอของ Rhea เมื่อมาร่วมงานกับบริษัทในปี 2023 Rhea ได้รับการบ่มเพาะโดย Recharge Capital ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนเอกชนแห่งแรกที่มีธีมเฉพาะซึ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมในโซลูชันการดูแลสุขภาพของผู้หญิง และ Recharge Capital ยังคงเป็นนักลงทุนรายสำคัญในบริษัท

“ตลาดบริการเรื่องการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันกระจัดกระจายและแตกต่างกัน ทำให้เกิดอุปสรรคที่ไม่จำเป็นสำหรับพ่อแม่ที่ต้องเผชิญความท้าทายในการบรรลุความฝันในการสร้างครอบครัวให้เป็นจริง” Margaret Wang ซีอีโอของ Rhea กล่าว “ด้วยเครือข่ายคลินิกที่กำลังเติบโต โซลูชันอันทรงพลังของ Rhea Labs และคำแนะนำจากที่ปรึกษาระดับโลกของเรา เรากำลังนำเสนอระบบนิเวศบริการ เทคโนโลยี และความร่วมมือที่ทันสมัยและบูรณาการ เพื่อยกระดับการเดินทางด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ทั่วโลก”

บริษัทมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์และนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีแผนที่จะสานต่อกลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการในปี 2024 และขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์สำหรับผู้ป่วยในภูมิภาคใหม่ๆ

เกี่ยวกับ Rhea

Rhea คือบริษัทผู้ให้บริการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ระดับโลกสมัยใหม่ที่ยกระดับเส้นทางการเจริญพันธุ์สำหรับครอบครัวยุคใหม่ บริการทางคลินิกของบริษัทให้บริการโดยเครือข่ายคลินิก GenPrime ของ Rhea และคลินิกพันธมิตรซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  เครือข่ายคลินิกของบริษัทนั้นขับเคลื่อนโดย Rhea Labs ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีบูรณาการที่ใช้ประโยชน์จากฟันเฟืองของการเร่งเวลาในการนำออกสู่ตลาดและลูปผลตอบรับผลิตภัณฑ์สั้นๆ เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ของผู้ป่วย Rhea ได้รับการบ่มเพาะและพัฒนาโดย Recharge Capital ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนชั้นนำที่เน้นการจับทิศทางกระแสหลักของโลกเป็นหลัก โดยเป็นบริษัทในเครือ Cayman ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์และนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ให้บริการตลาดทั่วเอเชียด้วยการดำเนินงานเพิ่มเติมในอเมริกาเหนือและยุโรป

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ฝ่ายสื่อ
Abdullah Alkudsi
Bevel
recharge@bevelpr.com

แหล่งที่มา: Rhea

ศูนย์วิจัยและพัฒนา Mitsui Chemicals Singapore R&D Centre: ผู้ผลิตฟิล์ม posica™ kukkiri™ บริจาคให้ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย Jamiyah Nursing Home

Logo

เพื่อทัศนียภาพที่ดีขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวระยะยาว

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–30 พฤษภาคม 2024

Mitsui Chemicals Asia Pacific (MCAP) – ศูนย์วิจัยและพัฒนา Mitsui Chemicals Singapore R&D Centre (MS-R&D) ได้บริจาคและติดฟิล์มกระจกนวัตกรรม posica™ kukkiri™ แก่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย Jamiyah Nursing Home เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2023 โดยได้มีการติดฟิล์มในห้องกิจกรรมภายในอาคารของศูนย์ Jamiyah Nursing Home (Darul Syifaa) ซึ่งผู้สูงอายุและผู้ป่วยใช้เพื่อรวมตัวทำกิจกรรมทางสังคมร่วมกัน

การติดฟิล์ม posica™ kukkiri™ ในห้องกิจกรรมทำให้ผู้ป่วยเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพภายนอกศูนย์ดูแลด้วยคุณภาพการมองเห็นที่ดียิ่งขึ้น โดยการปรับปรุงความสดของสีให้ดีขึ้นและการลดแสงจ้าที่ทำให้ระคายเคืองสายตา

การใช้ในสภาพแวดล้อมสำหรับการรักษาตัว

ในการศึกษาวิจัยขนาดเล็กในสถานที่ทำงานต่าง ๆ ที่คัดเลือกในญี่ปุ่นพบว่า พนักงานสามารถจดจ่อกับการทำงานได้ดีขึ้น คุณสมบัติในการพัฒนาวิสัยทัศน์ของฟิล์มนี้จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกด้วย

ความเข้าใจถึงความต้องการในการดูแลฟื้นฟูระยะยาวทำให้สามารถมอบประสบการณ์การมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบตัวที่ดีขึ้นแก่ผู้ที่ต้องอยู่ในศูนย์ดูแล ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มคุณภาพของสุขภาพจิตที่ดีให้แก่ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่พยาบาลเท่านั้น แต่ยังช่วยในเรื่องการให้บริการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพอีกด้วย

“พยาบาลของเราเล่าให้ฟังว่า ห้องกิจกรรมรู้สึกเย็นขึ้นและยังทำให้อารมณ์ของผู้พักฟื้นดีขึ้นอีกด้วย” เจ้าหน้าที่พยาบาล Hafizah Binte Abdul Ghani กล่าว “แสงจ้าลดน้อยลง และพวกเราก็ชอบการปรับปรุงสุนทรียภาพที่ดีขึ้นนี้”

ขณะนี้ MS-R&D ได้มีการปรึกษาหารือกันกับศูนย์ดูแล Jamiyah Nursing Home เกี่ยวกับการทดลองเพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ในห้องอื่น ๆ เพื่อยกระดับการบริการดูแลและประสบการณ์ต่าง ๆ ภายในสถานที่

เกี่ยวกับ Mitsui Chemicals Group ในสิงคโปร์

สิงค์โปร์เป็นศูนย์รวมของบริษัทในเครือของ Mitsui Chemicals Group 5 แห่ง ซึ่งนอกจาก MCAP แล้ว ยังเป็นสำนักงานใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Mitsui Chemicals Inc. และบริษัทอื่น ๆ อีก 4 แห่ง ได้แก่ Mitsui Elastomers Singapore Pte Ltd, Prime Evolue Singapore Pte Ltd, SDC Technologies Asia Pacific Pte Ltd และ MS-R&D

การเป็นสำนักงานใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทำให้ MCAP มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโต ให้บริการเชิงปฏิบัติการที่ดีเยี่ยมแก่บริษัทในเครือหรือธุรกิจในภูมิภาค และมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้าด้วยประโยชน์จากจุดแข็งของบริษัทในเครือทุกแห่งของ Mitsui Chemicals Group

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สำหรับคำถามเกี่ยวกับข้อมูลข้างต้นนี้ โปรดติดต่อ:
Eric Lim
Corporate & Marketing Communication
Mitsui Chemicals Asia Pacific, Ltd.
eric.lim@mitsuichemicals.com

Masahito Yano
New Business Development
Mitsui Chemicals Singapore R&D Centre Pte. Ltd.
Masahito.Yano@mitsuichemicals.com

ที่มา: Mitsui Chemicals Asia Pacific, Ltd.

Kolmar BNH ขยายตลาดโลกด้วยการเปิดตัว HemoHIM G ในไต้หวัน

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–28 พฤษภาคม 2024

Kolmar BNH (KRX: 200130) ซึ่งเป็นบริษัท ODM สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพที่มีชื่อเสียงของเกาหลี ประกาศว่าได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด HemoHIM G ในไต้หวัน การเปิดตัวครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของบริษัทในการขยายธุรกิจในตลาดโลก

Manufactured by Kolmar BNH and distributed by Atomy, HemoHIM G, containing Angelica sinensis, Ligusticum chuanxiong, and Paeonia lactiflora, is now available in Taiwan. (Photo: Kolmar BNH)

HemoHIM G ผลิตโดย Kolmar BNH และจัดจําหน่ายโดย Atomy ซึ่งประกอบด้วย Angelica sinensis, Ligusticum chuanxiong และ Paeonia lactiflora มีวางจําหน่ายแล้วในไต้หวัน (ภาพ: Kolmar BNH)

HemoHIM G แสดงถึงการทําซ้ำที่ได้รับการปรับปรุงของ HemoHIM ซึ่งปรับแต่งให้ตอบสนองรสนิยมที่โดดเด่นของผู้บริโภคในไต้หวันและยุโรป

Kolmar BNH วางแผนที่จะเร่งขยายตลาดในเอเชียด้วยการเปิดตัว HemoHIM G ในตลาดไต้หวันในวันที่ 15 พฤษภาคม HemoHIM G ซึ่งปรับให้เหมาะกับการส่งออกระหว่างประเทศ ได้ทําการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบและสัดส่วนส่วนผสมอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบด้านอาหารที่แตกต่างกันในเขตอํานาจศาลที่แตกต่างกัน ส่วนผสมสําคัญ เช่น Angelica sinensis, Ligusticum chuanxiong และ Paeonia lactiflora ได้ผ่านขั้นตอนการจัดหาที่เข้มงวด ควบคู่ไปกับมาตรการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด โปรไฟล์รสชาติและกลิ่นได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภคในยุโรป

นอกจากนี้ ในเดือนเมษายน ผลการวิจัยของ Kolmar BNH เกี่ยวกับ HemoHIM G ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ 'Toxicological Research' ซึ่งได้รับการรับรองในระดับ SCIE การค้นพบนี้ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของ OECD มีความสําคัญยิ่ง เนื่องจากไม่เพียง แต่ตรวจสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สําหรับการปฏิบัติตามกฎระเบียบในตลาดที่หลากหลาย แต่ยังสนับสนุนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาผ่านผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้อีกด้วย

HemoHIM ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงของ Kolmar BNH ได้รับการจัดจําหน่ายผ่าน Atomy ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท ผลิตภัณฑ์นี้ประสบความสําเร็จอย่างน่าทึ่ง โดยมียอดขายสะสมมากกว่า 2 ล้านล้านวอนทั้งในและต่างประเทศนับตั้งแต่เปิดตัว ความสําเร็จของผลิตภัณฑ์เป็นผลมาจากความสามารถในการวิจัยและพัฒนาของ Kolmar BNH ควบคู่ไปกับความไว้วางใจของผู้บริโภคที่ยั่งยืนซึ่งสั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง

ชื่อผลิตภัณฑ์ HemoHIM มาจากการผสมระหว่าง 'HEMO (ฮีโมโกลบิน)' และ 'HIM (H: เม็ดเลือด, I: ภูมิคุ้มกัน และ M: การปรับ)' ประกอบด้วยสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ เช่น Angelica gigas, Cnidium officinale และ Paeonia japonica ความสําเร็จนี้เป็นผลมาจากความพยายามร่วมกันของ Kolmar BNH ซึ่งจัดตั้งขึ้นร่วมกันโดยสถาบันวิจัยพลังงานปรมาณูแห่งเกาหลีและ Kolmar Korea ด้วยงบประมาณ 5 พันล้านวอนในช่วงแปดปี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันวิจัยพลังงานปรมาณูแห่งเกาหลี ซึ่งเป็นสถาบันที่เกี่ยวข้องกับรังสี ได้เสริมสร้างความไว้วางใจใน HemoHIM เนื่องจากได้ริเริ่มการวิจัยเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันตนเอง ความร่วมมือนี้ เมื่อรวมกับความเชี่ยวชาญของ Kolmar BNH ในด้านเทคโนโลยีการผลิตและเชิงพาณิชย์ ทําให้ประสบความสําเร็จในการพัฒนาสารผสมที่ช่วยเสริมการทํางานของระบบภูมิคุ้มกัน

HemoHIM ได้รับการยอมรับจากกระทรวงความปลอดภัยของอาหารและยาในปี 2006 ว่าเป็นวัตถุดิบที่ใช้งานได้ที่ได้รับการยอมรับเป็นรายบุคคลรายแรกในเกาหลี สําหรับการเสริมสร้างการทํางานของระบบภูมิคุ้มกัน นับเป็นก้าวสําคัญในการบุกเบิกการพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพในเกาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่การวิจัยและวัตถุดิบในการปรับปรุงการทํางานของระบบภูมิคุ้มกันขาดแคลน

Kolmar BNH ได้เสริมสร้างความน่าเชื่อถือผ่านความพยายามในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดตัว HemoHIM ด้วยการจัดสรรยอดขายมากกว่า 2% ต่อปีให้กับโครงการริเริ่มด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อการพัฒนาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง บริษัท ประสบความสําเร็จครั้งสําคัญโดยการบูรณาการฟังก์ชันการปรับปรุงความเหนื่อยล้าเข้ากับ HemoHIM สิ่งนี้เกิดขึ้นหกปีหลังจาก 'โครงการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืนของ HemoHIM' เริ่มต้นขึ้นในปี 2017

Kolmar BNH เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วย HemoHIM ในปี 2015 เมื่อจดทะเบียนในตลาดหุ้น KOSDAQ ที่สำคัญของเกาหลี บริษัทมียอดขาย 236.2 พันล้านวอน และปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 145% เป็น 579.6 พันล้านวอน

เจ้าหน้าที่จาก Kolmar BNH กล่าวว่า “การร้องขออย่างยาวนานของ HemoHIM ในหมู่ผู้บริโภค ตอกย้ำถึงฟังก์ชันการทํางานที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เราจะยังคงยึดมั่นในความมุ่งมั่นของเรา ในการยกระดับความพยายามในการวิจัยและพัฒนา เพื่อรักษาสถานะของ HemoHIM ในฐานะอาหารเพื่อสุขภาพที่ใช้งานได้ชั้นนําของเกาหลี”  

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: 

https://www.businesswire.com/news/home/54016626/en

ติดต่อ

Kolmar BNH
Jang Woo Lee
Jay.lee@kolmar.co.kr

ที่มา: Kolmar BNH

Quit Like Sweden เรียกร้องให้มีการควบคุมยาสูบแบบก้าวหน้า เพื่อช่วยชีวิตผู้คนนับล้านในวันงดสูบบุหรี่โลก

Logo

สตอกโฮล์ม–(BUSINESS WIRE)–29 พฤษภาคม 2024

สามารถช่วยชีวิตคนนับล้านได้ด้วยแนวทางที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นในมาตรการควบคุมยาสูบ กล่าวได้ว่าแพลตฟอร์มใหม่มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนประเทศต่างๆ ให้ปฏิบัติตามประสบการณ์ของสวีเดนและกลายเป็น 'ปลอดบุหรี่' ในขณะที่ทั่วโลกเตรียมพร้อมสำหรับการสังเกตวันงดสูบบุหรี่โลก (WNTD) ในวันที่ 31 พฤษภาคม Quit Like Sweden ซึ่งเปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ในบราซิล กําลังเรียกร้องให้มีกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เพื่อยกระดับการต่อสู้กับการสูบบุหรี่ทั่วโลก

ตามธรรมเนียม WNTD ได้รับการทําเครื่องหมายโดยเฉพาะ โดยการเรียกร้องให้เลิกสูบบุหรี่โดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม Quit Like Sweden แย้งว่าถึงเวลาแล้วที่ผู้กําหนดนโยบาย หน่วยงานกํากับดูแล รัฐบาล สื่อ และประชาชนทั่วไป จะต้องมีส่วนร่วมในการอภิปรายที่มีความหมายเกี่ยวกับกลยุทธ์ ที่จะลดผลกระทบร้ายแรงจากการสูบบุหรี่และความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่

Suely Castro ผู้ก่อตั้ง Quit Like Sweden เน้นย้ำถึงความจําเป็นในการใช้แนวทางใหม่ โดยอ้างถึงประสบการณ์ของสวีเดนและความก้าวหน้าที่น่าทึ่งในการควบคุมยาสูบ

“ทุกวันงดสูบบุหรี่โลก ประชาคมระหว่างประเทศโต้แย้งว่าโลกที่ปราศจากบุหรี่เป็นเป้าหมายสูงสุด แต่วันงดสูบบุหรี่โลกนี้ แทนที่จะพูดถึงสิ่งที่เป็นไปได้ กลับกลายเป็นเวลาที่จะต้องดูว่าประเทศเดียวที่ใกล้จะเลิกสูบบุหรี่กําลังทําอะไรอยู่ นั่นคือ สวีเดน” Suely Castro กล่าว

แม้ว่าสวีเดนจะใช้มาตรการเลิกบุหรี่และป้องกันการสูบบุหรี่อย่างเข้มงวด แต่ก็ช่วยให้ผู้สูบบุหรี่สามารถเลือกทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าได้ แนวทางนี้ซึ่งอิงจากสิ่งที่ Ms Castro เรียกว่า สามเอ ซึ่งย่อมาจาก การเข้าถึง (Accessibility) การยอมรับได้ (Acceptability) และความสามารถในการจ่ายได้ (Affordability) ของทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ส่งผลให้ชาวสวีเดนหลายล้านคนเลือกที่จะทิ้งบุหรี่ไว้ข้างหลัง และเปลี่ยนมาใช้ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

“ในสวีเดน ผู้ใหญ่ 1 ใน 4 คนใช้นิโคตินทุกวัน แม้ว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป แต่อัตราการเกิดของมะเร็งของสวีเดนลดลง 41% และการเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ในสวีเดนนั้นก็น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ใน 24 ประเทศจาก 26 ประเทศในสหภาพยุโรป” Castro  กล่าว

“นี่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศแถบยุโรป ซึ่งมีกฎระเบียบที่คล้ายคลึงกันกับสวีเดน แม้ว่าจะไม่ใช่แนวทางที่ครอบคลุมในการกําจัดการสูบบุหรี่ก็ตาม ลองจินตนการดูว่าของประสบการณ์แบบสวีเดนเต็มรูปแบบจะมีผลกระทบต่อทั่วโลกอย่างไร”

“เรามีความสามารถในการช่วยชีวิตผู้คนนับล้านได้ เพียงแค่จําลองแบบจําลองที่ใช้ได้ผลดีกับสวีเดนอยู่แล้ว” Castro  กล่าว “และไม่มีเวลาใดที่จะดีไปกว่าการเริ่มต้นการสนทนานั้นมากไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว”

พื้นหลัง

Quit Like Sweden เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่แสวงหาผลกําไร โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ ดําเนินการเพื่อจําลองประสบการณ์ของสวีเดนในกลยุทธ์ที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงมาตรการและโปรแกรมที่เน้นการเลิกบุหรี่และการป้องกัน และช่วยให้ผู้ที่สูบบุหรี่สามารถเลือกทางเลือกอื่นได้

เราไม่สนับสนุนให้ยกเลิกมาตรการและโครงการที่นําไปสู่การเลิกบุหรี่หรือการป้องกัน แต่ขอเรียกร้องให้ผู้กําหนดนโยบายทุกคนในทุกประเทศ องค์กรระหว่างรัฐบาล และองค์กรพัฒนาเอกชน เสริมมาตรการและโครงการเหล่านั้น

สถิติสวีเดน

อันเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมยาสูบที่ก้าวหน้าของสวีเดน:

  1. สวีเดนเป็นประเทศเดียวในโลกที่ 'ปลอดบุหรี่' อย่างเป็นทางการ เมื่ออัตราการสูบบุหรี่ลดลงต่ำกว่า 5% ในปลายปีนี้
  2. อัตราการสูบบุหรี่ทั่วยุโรปสูงกว่าสวีเดนถึง 5 เท่า
  3. 24 ประเทศจาก 27 ประเทศในสหภาพยุโรป มีอัตราการเสียชีวิตจากยาสูบสูงกว่าสวีเดนอย่างน้อยสองเท่า
  4. อุบัติการณ์โรคมะเร็งของสวีเดนตต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรปถึง 41% ซึ่งหมายความว่าอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทั้งหมดลดลง 38%

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สอบถามข้อมูลและสัมภาษณ์สื่อ:
Suely Castro ผู้ก่อตั้ง Quit Like Sweden
suely@quitlikesweden.org

ที่มา: Quit Like Sweden

ทุนรางวัล Mary Kay Awards ตกเป็นของห้านักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ที่สร้างแรงบันดาลใจที่งาน Regeneron International Science and Engineering Fair

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–23 พฤษภาคม 2024

Mary Kay Inc., บริษัทที่คอยให้กำลังใจสนับสนุนการศึกษาสะเต็มและการไขว่คว้าความฝันของเยาวชนได้มีการมอบทุนให้นักวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมที่โดดเด่นห้าคน คัดเลือกจากผู้เข้ามีส่วนร่วมกว่า 2,000 คน ที่เป็นตัวแทนกว่า 70 ประเทศ โดยมีการมอบทุนที่งาน Regeneron International Science & Engineering Fair (ISEF) ในลอส แอนเจลิส ทุนที่มอบเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น $10,000 มอบให้กับนักเรียนที่มีโครงงานด้านนวัตกรรมที่เน้นการค้นหาวิธีการรักษามะเร็งที่ส่งผลต่อผู้หญิง, นวัตกรรมด้านการแพ็กเกจที่ยั่งยืน, และการปกป้องทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของดาวของเรา

Mary Kay Inc. proudly served as a Special Award Organization for the 2024 Regeneron International Science and Engineering Fair, awarding three cash prizes to inspiring young scientists. (Graphic: Society for Science, Regeneron ISEF)

บริษัท Mary Kay จำกัด ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นองค์กรมอบรางวัลพิเศษสำหรับงานประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ (Regeneron International Science and Engineering Fair) ปี 2024 โดยได้มอบรางวัลเป็นเงินสดสามรางวัลให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ที่สร้างแรงบันดาลใจ (กราฟิก: สมาคมวิทยาศาสตร์, Regeneron ISEF)

ISEF โปรแกรมของ Society of Science ที่มีมากว่า 70 ปี คือการประกวดวิทยาศาสตร์ระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา นักเรียนนับล้านที่มาจากเครือข่ายท้องถิ่นระดับโลก, ภูมิภาค, และงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติ จะได้รับการสนับสนุนให้สำรวจความปรารถนาในการสงสัยใคร่รู้ทางวิทยาศาสตร์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ กลุ่มนักเรียนเหล่านี้จะได้รับการเลือกในฐานะผู้เข้ารอบสุดท้าย และจะได้รับโอกาสในการแข่งขันเพื่อชิงทุนประมาณ 9 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรางวัลและทุนการศึกษา

 “ผู้นำด้ามสะเต็มเหล่านี้สาธิตงานวิจัยนวัตกรรม, โซลูชันอันสร้างสรรค์, และวิธีการขั้นสูงในการแก้ปัญที่ซับซ้อนที่จะส่งผลกระทบต่อการรักษามะเร็งโดยตรง, การดำเนินธุรกิจยั่งยืน, และการนิยามมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม” Kristin Dasaro ผู้อำนวยการ, วิศวกรรมการแพ็กเกจและความยั่งยืนที่ Mary Kay กล่าว “เรามีอะไรให้เรียนรู้หลายอย่างจากคนรุ่นต่อไปและ Mary Kay ก็เป็นเกียรติที่ได้สนับสนุนพวกเขาในการเดินทางของการศึกษาสะเต็ม”

พบกับนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักเรียน

รางวัลอันดับหนึ่ง: Keshvee Sekhda และ Nyambura Sallinen (จอร์เจีย, สหรัฐอเมริกา)
IdentiCan:  แอปที่ตรวจจับสมอง, ทรวงอก, ปอด, ผิวหนัง, และมะเร็งตับอ่อน
แอปที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเอไอในการหาเนื้อร้ายที่เป็นมะเร็งที่มีความแม่นยำ 99.6%

รางวัลที่สอง: Madalena Filipe และ Frederico Mauritty (ลิสบอน, โปรตุเกส)
HidroQapa: พลาสติกชีวภาพกันน้ำที่ทำจากไคโตซานสกัดจากขยะที่เป็นเปลือกกุ้ง
การสร้างวัตถุดิบอันยั่งยืน, ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติจากเปลือกของสัตว์ครัสเตเชียน ช่วยลดขนะและมลพิษทางสิ่งแวดล้อม

รางวัลที่สาม: Carolina de Araujo Pereira da Silva (ริโอ เดอ จาเรโร, บราซิล)
การตรวจสอบแมงกานีสในฐานที่เป็นตัวกระตุ้นเนื้อร้ายและการถ่ายโอนธาตุเหล็กที่เป็นเป้าหมายในการบำบัดมะเร็ง
การวิจัยว่าเหล็กและตัวถ่ายโอนส่งผลร้ายต่อพฤติกรรมเซลล์มะเร็งอย่างไร เพื่อหาวิธีการบำบัดมะเร็งที่ทรงประสิทธิภาพ

เกี่ยวกับ Mary Kay

หนึ่งในผู้ที่ทำลายเพดานข้อจำกัดทั้งในอดีต ตอนนี้ และตลอดไป Mary Kay Ash ก่อตั้งแบรนด์ความงานในฝันที่เท็กซัสในปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือ การทำให้ชีวิตผู้หญิงรุ่มรวยขึ้น ความฝันนั้นผลิดอกออกผลเป็นบริษัทระดับโลกที่มีสมาชิกฝ่ายขายอิสระนับล้านในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลากว่า 60 ปี ที่โอกาสของ Mary Kay ได้สนับสนุนให้ผู้หญิงกำหนดอนาคตตัวเองผ่านการศึกษา, การให้คำแนะนำ, การหนุน, และนวัตกรรม Mary Kay อุทิศการลงทุนในวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงาน และการผลิตสกินแคร์ล้ำยุค, คอสเมติกสี, อาหารเสริม, และน้ำหอม Mary Kay เชื่อในการรักษาโลกเพื่อคนในอนาคต การปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากมะเร็งและความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงการสนับสนุนเยาวชนให้เดินตามความฝัน เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com เจอเราได้ที่ Facebook, Instagram, และ LinkedIn, หรือติดตามเราได้บน Twitter

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/54014468/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ฝ่ายสื่อสารบริษัท Mary Kay Inc.
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

แหล่งที่มา: Mary Kay Inc.

BlueScopeX สนับสนุนความคิดริเริ่มเพื่อพัฒนานวัตกรรมในการก่อสร้างที่ไม่สร้างมลภาวะทั่วอาเซียน

Logo

SINGAPORE–(BUSINESS WIRE)–21 พฤษภาคม 2024

BlueScopeX บริษัทร่วมลงทุนระดับองค์กรของ BlueScope เข้าร่วมโครงการ Australia Green Economy Innovation Challenge (AGEIC) ซึ่งจัดขึ้นโดย Enterprise Singapore ในการขับเคลื่อนการระดมทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนถ่ายอย่างยั่งยืนในธุรกิจก่อสร้าง BlueScope เป็นผู้นำระดับโลกในด้านผลิตภัณฑ์เคลือบและพ่นสีโลหะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างอาคาร

AGEIC มีการเปิดตัวเมื่อปลายเดือนเมษายน ปี 2024 โดยมีการรวมกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพและ SME ต่างๆ เข้ามาร่วมมือกับบริษัทรายใหญ่จากออสเตรเลีย โดยมีภาคส่วนสำคัญต่างๆ รวมถึง ภาคส่วนสิ่งแวดล้อมในการก่อสร้าง อาหารและการเกษตร ตลอดจนการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาที่ท้าทายด้านความยั่งยืนที่สำคัญ BlueScopeX จะพิจารณาข้อเสนอสำหรับโซลูชันใหม่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการระบายความร้อน การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และความยั่งยืนโดยทั่วไปของอาคารเพื่อภาคส่วนอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์โดยพื้นฐาน ผ่านการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ ระบบ และวิธีการติดตั้งที่ดียิ่งขึ้น โดยครอบคลุมทุกขั้นตอนในกระบวนการก่อสร้างอาคาร ตั้งแต่การออกแบบแนวความคิดตลอดไปจนถึงการก่อสร้าง การดำเนินงาน และแม้กระทั่งการรื้อถอนโครงสร้าง

บริษัทสตาร์ทอัพและ SME ที่สนใจสามารถเข้าร่วมแสดงข้อเสนอโดยละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดของตัวเอง แสดงวิธีที่เทคโนโลยีใหม่ของบริษัทจะสามารถปฏิวัติดีไซน์และการก่อสร้างอาคารเพื่อภาคส่วนอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ได้อย่างไร เพื่อให้อาคารเหล่านี้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น ผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก BlueScopeX เพื่อดำเนินการและได้รับการเปิดตัวสำหรับการพัฒนานวัตกรรมดังกล่าว พร้อมทั้งยังสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมของ BlueScope และเครือข่าย ตลอดจนถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของบริษัท

ในประเทศในกลุ่มอาเซียน BlueScope เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการขยับขยายการเปลี่ยนถ่ายเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น บริษัทมีการปรับปรุงสีที่ใช้ในโรงงานผลิต เพื่อให้สามารถนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่และประหยัดพลังงานได้มากยิ่งขึ้น ในทำนองเดียวกัน ก็มีการออกแบบสายการผลิตใหม่ ซึ่งช่วยให้ BlueScope สามารถนำไอน้ำจากหม้อต้มกลับมาใช้ใหม่ได้เพื่อเป็นการประหยัดน้ำ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถประหยัดน้ำได้ถึง 5,000 ตันต่อปีโดยประมาณจากระบบกักเก็บน้ำฝนภายในโรงงานผลิต และมีการติดตั้งกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์โดยรวม 20 เมกกะวัตต์เพื่อช่วยในการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้

BlueScope มีการสร้างสรรค์และเป็นแรงบันดาลใจในโซลูชันอัจฉริยะด้านเหล็กกล้า มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย และบริษัทมีสำนักงานและโรงงานกว่า 160 แห่งใน 16 ประเทศ โดยมีพนักงานทั่วโลก 16,500 คน ในภูมิภาคอาเซียน บริษัทมีฐานการผลิตในท้องถิ่นมาตั้งแต่ปี 1965 โดยรวมถึงการดำเนินงานในอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม BlueScope มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ที่หลากหลาย รวมถึงเหล็กกล้าเคลือบสีสำเร็จรูป COLORBOND® เหล็กเคลือบสังกะสี/อลูมิเนียมอัลลอยด์ ZINCALUME® รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับการก่อสร้างอาคารต่างๆ ของ LYSAGHT®

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

James Li | Vice President, Business Transformation, NS BlueScope Pte. Ltd.
โทร +65 6832 3512 | มือถือ +65 9626 2750
อีเมล์ james.li@bluescope.com | เว็บไซต์ www.nsbluescope.com
A 238B Thomson Road, #17-01 Novena Square Tower B, Singapore 307685

แหล่งข้อมูล: BlueScopeX

The Bangkok Reporter