Kaniva, Kelly & Co’s และ JerHigh คว้ารางวัลจากงาน World Branding Awards Animalis Edition ปี 2023 – 2024 ที่กรุงเวียนนา

Logo

กรุงเวียนนา–(BUSINESS WIRE)–28 กรกฎาคม 2023

งาน Animalis Edition ครั้งที่ 3 ในงาน World Branding Awards ปี 2023 – 2024 ซึ่งต้อนรับแบรนด์สำหรับสัตว์และสัตว์เลี้ยงจากทั่วโลก ได้ฉลองความสำเร็จให้กับผู้ชนะระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก

พิธีมอบรางวัลนี้จัดขึ้นที่พระราชวังฮอฟเบิร์กอันทรงเกียรติในกรุงเวียนนา โดยมี Howard Nightingall เป็นเจ้าภาพ และได้ต้อนรับผู้ชนะในสาขาต่างๆ เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง การค้าปลีก การมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงสมบูรณ์ (Wellness) ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ และอื่นๆ

“งาน Animalis Edition of the Awards เป็นการยกย่องความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของทีมงานที่สร้างและพยายามรักษาสถานะของแบรนด์ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในฐานะผู้ชนะ แบรนด์เหล่านี้ได้สร้างการจดจำแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การรับรู้สูงสุด และความไว้วางใจในหมู่ผู้บริโภคของพวกเขา” Richard Rowles ประธาน World Branding Forum กล่าว

ผู้บริโภคกว่า 100,000 รายเข้าร่วมในการสำรวจออนไลน์ทั่วโลกและเสนอชื่อมากกว่า 1,500 แบรนด์ ซึ่งในจำนวนนี้จะมีแบรนด์ที่ดีที่สุดเพียง 100 แบรนด์จาก 30 ประเทศเท่านั้นที่ได้รับรางวัล

Buddy Brands, Coo & Riku, Dymax, FRONTLINE, Hikari, Kaniva และ Taiyo เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ถูกประกาศให้เป็นผู้ชนะ โดยการคว้ารางวัล World Branding Awards นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นการตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมของพวกเขาอีกด้วย

ผู้ชนะจากประเทศไทย ได้แก่ Kaniva, Kelly & Co's, JerHigh, Pet Protect, DoggyDolly, SmartHeart, Bow Jerky, Truknox, Boonma และ Marvo ส่วนผู้ชนะระดับประเทศอื่น ๆนั้น ได้แก่ Coo & Riku (ญี่ปุ่น), DeliBest (สวิตเซอร์แลนด์), Global Pet Foods (แคนาดา), Halti (สหราชอาณาจักร), Heads Up For Tails (อินเดีย), NurturePro (สิงคโปร์), PowerCat (มาเลเซีย), TopBreed ( ฟิลิปปินส์) และ VanCat (ตุรกี)

ขณะที่งาน World Branding Awards Animalis Edition ประจำปี 2023 – 2024 ใกล้จะสิ้นสุดลง งาน Global Edition of World Branding Awards ที่หลายคนตั้งตาคอยอย่างใจจดใจจ่อก็จะกลับมาสู่เวทีอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ ณ พระราชวังเคนซิงตัน ลอนดอน

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ awards.brandingforum.org.

เกี่ยวกับ WORLD BRANDING AWARDS

World Branding Awards เป็นรางวัลชั้นนำของ World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ได้จดทะเบียนไว้ รางวัลนี้เป็นการยกย่องความสำเร็จของแบรนด์ที่ดีที่สุดของโลก

สื่อสังคม

Facebook: https://www.facebook.com/worldbrandingforum/

Twitter: https://twitter.com/WorldBranding

Instagram: https://www.instagram.com/worldbranding/

LinkedIn: https://linkedin.com/company/world-branding-forum

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ดูเวอร์ชันต้นฉบับได้ที่ businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20230727961711/en/

ติดต่อ

editorial@brandingforum.org

ที่มา: World Branding Awards

AmbioPharm ผู้พัฒนาและรับจ้างผลิตยาเปปไทด์ระดับโลก (Global Peptide CDMO)

Logo

  • ผู้พัฒนาและรับจ้างผลิตยาเปปไทด์ระดับโลกที่มีโรงงานผลิตในจีนและสหรัฐอเมริกา

เซี่ยงไฮ้–(BUSINESS WIRE)–26 กรกฎาคม 2023

AmbioPharm เป็นผู้นำระดับโลกด้านการให้บริการพัฒนาและรับจ้างผลิตยาเปปไทด์ API ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของกำลังการผลิตเปปไทด์เชิงพาณิชย์และการผลิตเฟสสุดท้าย AmbioPharm พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดโลก ด้วยการเป็น CDMO ด้านเปปไทด์ที่เชื่อถือซึ่งมีโรงงานผลิตทั้งในประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา

วิทยาเขตเซี่ยงไฮ้ของ AmbioPharm

วิทยาเขตเซี่ยงไฮ้ของ AmbioPharm ที่ขยายเพิ่มล่าสุดทำให้มีพื้นที่การผลิตและการบริหารทั้งหมดเพิ่มขึ้นประมาณ 380,550 ตารางฟุต (35,354 ตร.ม.) ตลอดจนการขยายที่กำลังดำเนินการอยู่ได้เพิ่มเครื่องปฏิกรณ์ขนาดใหญ่ถึง 5,000 ลิตรและชุดเครื่องมือการแยกสารให้บริสุทธิ์ รวมถึงคอลัมน์ HPLC ใหม่ขนาด 60 ซม. นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการไฮโดรจิเนชันสำหรับการสังเคราะห์เปปไทด์แบบวัฏภาคของเหลว (LPPS) ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและเพิ่งเสร็จสมบูรณ์เมื่อไม่นานมานี้

อีกทั้งอาคารเพิ่มเติมกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการซึ่งจะมีระบบ 3,000L SPPS และ 3,000L LPPS ที่ล้ำสมัย และคาดว่าจะพร้อมใช้งานได้เร็วที่สุดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 นี้

จุดเด่นของการขยายครั้งนี้ ได้แก่:

• ชุดเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต

• ชุดเครื่องมือการแยกสารให้บริสุทธิ์ รวมถึงคอลัมน์ HPLC ขนาด 60 ซม.

• ชุดเครื่องมือสำหรับการตกตะกอน

• ชุดเครื่องมือสังเคราะห์นำร่อง cGMP

• อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการไฮโดรจิเนชันสำหรับ LPPS

• สายการผลิต 6 สายพร้อมเครื่องปฏิกรณ์ 71 เครื่อง โดยมีแผนจะเพิ่มสายการผลิตอีก 7 สายสำหรับการผลิตขนาดใหญ่และเชิงพาณิชย์

• การรีไซเคิลสารทำละลาย

สำนักงานใหญ่และวิทยาเขตในสหรัฐอเมริกาของ AmbioPharm

วิทยาเขต AmbioPharm North Augusta ซึ่งตั้งอยู่ที่เซาท์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา เพิ่งได้รับการตรวจสอบโดย FDA ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 ที่ผ่านมา และเพิ่งทำการขยายในปี 2020 ที่ผ่านมา และมีพื้นที่การบริหารและการผลิตทั้งหมด 82,566 ตารางฟุต (7,670 ตร.ม.) การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับวิทยาเขตเซี่ยงไฮ้ของเราทำให้สามารถให้บริการการผลิตเปปไทด์แบบครบวงจรเพื่อการใช้งานทางคลินิกและเชิงพาณิชย์ ในการรองรับและสนับสนุนการเติบโตในการผลิตเชิงพาณิชย์และการผลิตเฟสสุดท้าย เราได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในวิทยาเขตนี้ ได้แก่:

• คอลัมน์โครมาโตกราฟีของเหลวประสิทธิภาพสูง 1M (HPLC)

• ไลโอฟิไลเซอร์ 1,000 ลิตร

• ระบบการกรองการไหลสัมผัสด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง

• ทางเดินขนาดใหญ่ในห้องควบคุมอุณหภูมิ 2-8 ◦C

• ทางเดินในช่องแช่แข็ง -20 ◦C

เรายังได้เพิ่มอุปกรณ์ต่อไปนี้เพื่อเพิ่มการผลิตในสหรัฐอเมริกา โดยใช้เคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเพื่อสนับสนุนการผลิตด้วย:

• เครื่องสังเคราะห์เปปไทด์ไมโครเวฟ CEM Liberty Blue (สำหรับการสังเคราะห์เปปไทด์แบบวัฏภาคของแข็งที่ไม่ใช่ GMP (SPPS) ขนาดเล็ก)

• เครื่องสังเคราะห์เปปไทด์ไมโครเวฟ CEM Liberty Pro (สำหรับการสังเคราะห์เปปไทด์แบบวัฏภาคของแข็ง GMP (SPPS) พร้อมสเกลความจุเครื่องปฏิกรณ์สูงสุด 15 ลิตร)

• YMC โครมาโตกราฟีแบบคอลัมน์คู่

เครื่องสังเคราะห์เปปไทด์ไมโครเวฟช่วยให้สถานที่แห่งนี้สามารถผลิตเปปไทด์ดิบของสหรัฐอเมริกาได้สำหรับทั้งข้อกำหนด GMP และไม่ใช่ GMP โดยมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการสังเคราะห์ในอนาคต

เราลงทุนด้านเทคโนโลยีในองค์กรคุณภาพของเรา รวมถึงการนำการควบคุมหลักมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดการคุณภาพ (QMS) ทั้งในสหรัฐอเมริกาและจีน ในขณะที่สร้างคุณภาพทุกขั้นตอนในกระบวนการผลิตของเรา

การอัปเกรดเหล่านี้ทำให้ AmbioPharm สามารถให้การสนับสนุนลูกค้าของเราตั้งแต่การผลิตผลิตภัณฑ์พิษวิทยาในระยะแรกไปจนถึงการผลิตเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยมีกำลังการผลิตต่อปีสูงถึงหน่วยเมตริกตัน ด้วยความเชี่ยวชาญชำนาญของเรา เราสามารถรับมือได้ทั้งโครงการเปปไทด์ที่เรียบง่ายและซับซ้อนด้วยประวัติความสำเร็จที่พิสูจน์แล้วในระดับการวิจัย ทางคลินิก และเชิงพาณิชย์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.ambiopharm.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

AmbioPharm

Mark DaFonseca รองประธานฝ่ายขายและการพัฒนาธุรกิจทั่วโลก
mark.dafonseca@ambiopharm.com

แหล่งที่มา: AmbioPharm

SYNTAGMA CAPITAL เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการของ Erasteel ซึ่งเป็นแผนกเหล็กกล้าความเร็วสูงและการรีไซเคิลของ Eramet S.A. (Euronext Paris: ERA)

Logo

บรัสเซลส์–(BUSINESS WIRE)–5 กรกฎาคม 2023

Syntagma Capital ประกาศในวันนี้ว่าได้เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการของ Erasteel (https://www.erasteel.com)
บริษัท Erasteel เป็นผู้นำระดับโลกในด้านโลหะวิทยาทั่วไปและผงของเหล็กกล้าความเร็วสูงที่ใช้สำหรับการตัดเฉือน การเจาะ และเครื่องมือตัดประสิทธิภาพสูง โดยบริษัทจะยังคงดำเนินการต่อไปภายใต้แบรนด์ Erasteel นอกจากนี้ Erasteel ยังมีความสามารถในการรีไซเคิลโลหะที่ไม่เหมือนใครในยุโรป ซึ่งนำเสนอโซลูชั่นที่ยั่งยืนสำหรับการฟื้นฟูแบตเตอรี่ ตัวเร่งปฏิกิริยา และโลหะ ในปี 2022 ธุรกิจนี้สร้างรายได้ประมาณ 275 ล้านยูโรจากการให้บริการในภาคการบินและอวกาศ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมเป็นหลักในโรงงานอุตสาหกรรม 6 แห่งในฝรั่งเศส สวีเดน และจีน ธุรกิจนี้มีพนักงานประมาณ 860 คนทั่วโลก

"แม้จะมีตลาดควบรวมกิจการ (M&A) ที่ท้าทายมาก แต่เรายังคงหาโอกาสที่น่าสนใจในการเพิ่มทุนในการทำงานและจัดหาโซลูชันการถอนทุนที่รวดเร็วและแน่นอน เรารู้สึกตื่นเต้นกับศักยภาพของ Erasteel และตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับฝ่ายบริหารเพื่อการเติบโตระดับโลกของบริษัท" Sebastien Kiekert Le Moult หุ้นส่วนผู้จัดการของ Syntagma กล่าว

"เรายินดีที่จะประกาศว่า Kerstin Konradsson ได้เข้าร่วม Erasteel ในตำแหน่ง CEO เธอได้นำประสบการณ์อันมีค่าอย่างมากเข้ามาใช้ในโลกของโลหะวิทยาหลังจากดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอของ Boliden Smelters รวมทั้งเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารหลายตำแหน่งใน Åkers และ SSAB นอกจากนี้ เราได้ต้อนรับ Beatrice Charon อดีตรองประธานฝ่ายกลยุทธ์ของ Constellium เข้าสู่คณะกรรมการที่ปรึกษาของ Erasteel เราตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ทั่วโลกของเราในด้านโลหะและการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่กว้างขวางของ Erasteel และความรู้ทางเทคนิค การมีตัวตนอยู่ทั่วโลก และความสัมพันธ์กับลูกค้าที่แข็งแกร่ง เพื่อยกระดับการเติบโตทั้งในเชิงธุรกิจและผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) ที่กำหนดเป้าหมาย ตลอดจนตั้งใจที่จะเร่งการพัฒนาแผนกรีไซเคิลของ Erasteel ในฝรั่งเศส" Frank Coenen หุ้นส่วน Syntagma กล่าว

ทีมของ Syntagma ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายนี้ ได้แก่ Sebastien Kiekert Le Moult (หุ้นส่วนผู้จัดการ), Frank Coenen (หุ้นส่วน), Benjamin Dahan (หุ้นส่วน), Fabio Yamasaki (ประธาน) และ Gabriele Lo Monaco (ผู้ช่วยอาวุโส)

Syntagma ได้รับคำแนะนำจาก Willkie Farr Gallagher (Hugo Nocerino และ Victor Cann (บริษัท), Faustine Viala, Charles Bodreau, Charles-Antoine Erignac และ Jordan Pontal (หน่วยงานกำกับดูแล) ), Lincoln International (Géraud Estrangin, Côme de Las Cases), PwC Transaction (Eric Douheret, Clément Meudec, François-Xavier Bornet, Geoffrey Donio, Charles Simonnetto), PwC Legal and Tax (Anne-Valerie Attias-Assouline, Mathieu Norest, Morgane Croisier) และ Advention Business Partners (Jean-Michel Schmitt, Iska Pivois)

เกี่ยวกับ Syntagma Capital

Syntagma ลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ที่สามารถได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานจริง เพื่อเร่งการเติบโตและปรับปรุงประสิทธิภาพสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เราเป็นผู้ปฏิบัติงานจริงที่มีประสบการณ์ในการทำงานและจัดการบริษัทต่าง ๆ ในระดับโลก โดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรภายในองค์กรของเราเพื่อพัฒนากลยุทธ์ให้ประสบความสำเร็จ ดำเนินการเพื่อให้บรรลุศักยภาพสูงสุดและสร้างมูลค่าระยะยาวที่ยั่งยืน Syntagma ลงทุนและดำเนินการบริษัทต่าง ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรมโดยเน้นเฉพาะตลาดวัสดุ เคมี อุตสาหกรรมและธุรกิจบริการ รวมถึงการผลิต การกระจายสินค้า การขนส่งและโลจิสติกส์ การเช่าอุปกรณ์ บริการโลหะ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ Syntagma ซึ่งเป็นผู้ลงนามใน UN PRI มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามมาตรฐาน ESG ระดับสูงในการลงทุนทั้งหมดของบริษัท และตั้งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ https://syntagmacapital.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Marie Ciparisse
โทร: +32 (0)2 315 70 12
อีเมล mciparisse@syntagmacapital.com

แหล่งที่มา: SYNTAGMA CAPITAL

NIQ และ GfK ได้รับการอนุมัติสำหรับการรวมกันตามแผนจากคณะกรรมาธิการยุโรป

Logo

  • การอนุมัติของสหภาพยุโรปถือเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จของการรวม NielsenIQ และ GfK
  • NielsenIQ และ GfK คาดว่าจะปิดธุรกรรมได้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ชิคาโกและนูเรมเบิร์ก เยอรมนี–(BUSINESS WIRE)–5 กรกฎาคม 2023

วันนี้ NielsenIQ (NIQ) และ GfK SE (GfK) ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการยุโรปสำหรับการรวมกันที่วางแผนไว้

คณะกรรมาธิการยุโรปได้อนุมัติการรวม NIQ และ GfK ที่เสนอ ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์เพื่อสร้างบริษัทผู้บริโภคอัจฉริยะชั้นนำของโลก การตัดสินใจอนุญาตมีเงื่อนไขในการขายธุรกิจ Consumer Panel ของ GfK ให้กับบุคคลที่สาม เงื่อนไขนี้ไม่มีผลระงับต่อความสมบูรณ์ของการรวมกันของ NielsenIQ และ GfK

ทั้งสองบริษัทจะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้ธุรกรรมปิดได้โดยไม่ล่าช้า

เกี่ยวกับ NIQ

NIQ บริษัทข้อมูลผู้บริโภคชั้นนำของโลก เปิดเผยเส้นทางใหม่สู่การเติบโตของผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ NIQ มอบความเข้าใจที่สมบูรณ์และชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มข่าวกรองธุรกิจขั้นสูงพร้อมการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์แบบบูรณาการ NIQ ให้ทุกมุมมองแบบเต็มรูปแบบ

NIQ ก่อตั้งขึ้นในปี 1923 และเป็นบริษัทพอร์ตโฟลิโอของ Advent International ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ NIQ.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สำหรับ NielsenIQ
Gillian Mosher
รองประธานฝ่ายสื่อสาร
โทรศัพท์: +1 647-282-9714
gillian.mosher@nielseniq.com

สำหรับ GfK
Kai Hummel
รองประธานฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์
โทรศัพท์: +49 170 7700194
public.relations@gfk.com

แหล่งที่มา: NielsenIQ

แอสตร้าเซนเนก้าประกาศการลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ ในการฟื้นฟูสภาพป่าและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสุขภาพที่ดีของประชาชน

Logo

การขยายโครงการ AZ Forest ตอกย้ำปณิธานในการปลูกต้นไม้ 200 ล้านต้น ในหกทวีปภายในปี 2030

การฟื้นฟูป่าในบราซิล อินเดีย เวียดนาม กานา และรวันดา เป็นการต่อยอดโครงการปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่ในออสเตรเลียและอินโดนีเซีย

แคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร–(BUSINESS WIRE)–28 มิถุนายน 2023

แอสตร้าเซนเนก้าประกาศการลงทุนมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ใน AZ Forest โครงการระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการตอกย้ำปณิธานในการปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ 200 ล้านต้น ภายในปี 2030 โดยขยายโครงการดังกล่าวไปในประเทศบราซิล อินเดีย เวียดนาม กานา และรวันดา เพื่อเป็นการขานรับและผลักดันนโยบายขององค์กรในการดูแลสภาพอากาศ ฟื้นฟูธรรมชาติ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และรักษาระบบนิเวศและชุมชนให้มีความยั่งยืน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 100,000 เฮกตาร์ทั่วโลก

AstraZeneca announces $400 million investment in reforestation and biodiversity in support of climate action and human health (Photo: Wien Satriady)

แอสตร้าเซนเนก้าประกาศการลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ ในการฟื้นฟูสภาพป่าและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสุขภาพที่ดีของประชาชน (ภาพ: Wien Satriady)

การลงทุนในครั้งนี้ต่อยอดจากปณิธานตั้งต้นของ AZ Forest ที่ แอสตร้าเซนเนก้าได้ประกาศในปี 2020 ในการปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้มากกว่า 50 ล้านต้น ภายในสิ้นปี 2025 เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของประชาชนและโลกที่มีสุขภาพดี1 กระบวนการปลูกต้นไม้ในออสเตรเลีย อินโดนีเซีย กานา สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ที่ดำเนินการไปด้วยความก้าวหน้าและรวดเร็ว ประกอบด้วยต้นไม้กว่า 300 สายพันธุ์ ช่วยให้สามารถฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพรวมไปถึงถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพืชและสัตว์2 นอกจากนี้ โครงการที่ขยายออกไปจะก่อให้เกิดประโยชน์นานัปการต่อชุมชนท้องถิ่น และการดำรงชีวิตกว่า 80,000 ชีวิต

AZ Forest เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ความยั่งยืนที่สำคัญของแอสตร้าเซนเนก้า คือ Ambition Zero Carbon ซึ่งมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ ตามเป้าหมายข้อตกลงปารีสในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5°C. 3 บริษัทกำลังดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) จากการดำเนินงานและการใช้ยานพาหนะลง 98% ภายในปี 2026* และจากห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 ตลอดจนถึงลดการปล่อยก๊าซสัมบูรณ์ 90% ให้กลายเป็นศูนย์โดยอิงตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างช้าที่สุด2 ภายในปี 2045 ผ่านโครงการ AZ Forest บริษัทตั้งเป้าที่จะกำจัดการปล่อยสารตกค้างออกจากชั้นบรรยากาศตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป

ปาสคาล โซริออท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า "วิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่เกิดขึ้นพร้อมกันกำลังทำลายโลกและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ เรากำลังทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาผ่าน AZ Forest เพื่อดำเนินการฟื้นฟูสภาพป่า ตลอดจนสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพและรักษาความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำเนินงาน โครงการ AZ Forest จะสามารถกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 30 ล้านตันจากชั้นบรรยากาศภายในระยะเวลาประมาณ 30 ปี”

โครงการ AZ Forest ได้รับการวางแผนร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกต้นไม้ ชุมชนท้องถิ่น และรัฐบาล เพื่อการฟื้นฟูป่าธรรมชาติและวนเกษตรโดยมีผลประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ การสร้างทักษะและแรงงานใหม่ การปกป้องและฟื้นฟูสายพันธุ์ที่ถูกคุกคามและใกล้สูญพันธุ์ ทำให้สุขภาพของประชาชนดีขึ้น4 การดำเนินงานของโครงการจะได้รับการตรวจสอบและประเมินโดยพันธมิตรชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญอิสระ รวมถึง European Forest Institute (EFI)

มาร์ค พาลาไฮ ประธาน Circular Bioeconomy Alliance (CBA) กล่าวว่า "ป่าไม้มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เป็นศูนย์กลางหลักที่รวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพให้เติบโตไปอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ป่าไม้และต้นไม้เป็นแกนหลักสำหรับสิ่งมีชีวิตบนโลกของเราและเป็นพื้นฐานสำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ ด้วยการวางแผนและการดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนผ่านโครงการ AZ Forest ซึ่งดำเนินการโดยยึดหลักการและแนวทางวิทยาศาสตร์ เราจะสามารถลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับชุมชนท้องถิ่นได้”

แอสตร้าเซนเนก้า ได้ร่วมมือกับ EFI และ CBA เผยแพร่กรอบและแผนโครงการที่ยึดหลักวิทยาศาสตร์สำหรับการฟื้นฟูภูมิทัศน์ที่ยั่งยืน และเหมาะสมในท้องถิ่นเป็นครั้งแรก หลักการ CBA สำหรับภูมิทัศน์เชิงปฏิรูป จะช่วยให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าของเศรษฐกิจชีวภาพหมุนเวียนและขับเคลื่อนให้เกิดการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ

AZ Forest มีส่วนร่วมในโครงการ 1t.org ของ World Economic Forum ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกต้นไม้หนึ่งล้านล้านต้น ภายในปี 2030

หมายเหตุ

AZ Forest

AZ Forest เป็นความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้า ในการปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ 200 ล้านต้น ภายในปี 2030 โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและชุมชนท้องถิ่น โครงการ AZ Forest ส่งเสริมให้ประชาชนและโลกมีสุขภาพที่ดี โดยได้รับประโยชน์ร่วมกันทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม และยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการลดการปล่อยก๊าซให้กลายเป็นศูนย์บนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือ Ambition Zero Carbon

นอกจากโครงการที่กำลังดำเนินอยู่ในออสเตรเลีย อินโดนีเซีย กานา สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส มีการขยายโครงการ AZ Forest ครอบคลุมไปยังทวีปแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาใต้ ได้แก่

  • บราซิล ความร่วมมือ AZ Forest ระยะเวลา 30 ปีครั้งใหม่กับ Biofílica Ambipar และ Instituto de Pesquisas Ecológicas (IPE) หรือ “Corridors for Life” จะดำเนินงานด้วยการปลูกต้นไม้ 12 ล้านต้นภายในผืนป่าแอตแลนติก โดยมีพืชพื้นเมืองมากกว่า 100 สายพันธุ์ที่วางแผนไว้เพื่อการปลูกในแต่ละพื้นที่ของโครงการ การสร้างแนวเชื่อมต่อระหว่างผืนป่าที่แยกส่วนทางตะวันตกของรัฐเซาเปาโล โครงการนี้จะช่วยสร้างที่อยู่อาศัยที่สำคัญสำหรับสัตว์ที่อ่อนแอและใกล้สูญพันธุ์
  • อินเดีย  ความร่วมมือ AZ Forest ระยะเวลา 30 ปีครั้งใหม่กับ Earthbanc และพันธมิตรการดำเนินงานในท้องถิ่นในรัฐเมฆาลัยทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียจะร่วมกันปลูกต้นไม้ประมาณ 64 ล้านต้น โดยเน้นพันธุ์ไม้ที่หลากหลาย โครงการนี้คาดว่าจะเป็น “Living Labs for Nature, People and Planet” ที่ใหญ่ที่สุดของ CBA เนื่องจากจะช่วยฟื้นฟูธรรมชาติในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งกำลังเสื่อมโทรมและยังช่วยสนับสนุนการดำรงชีวิตของเกษตรกร
  • กานา  การขยายโครงการ AZ Forest ที่มีอยู่ในกานาด้วย CBA, New Generation Plantation Technical Assistance (NGPTA) และพันธมิตรรายอื่น ๆ จะนำไปสู่การปลูกต้นไม้เพิ่มอีก 2.2 ล้านต้น ทำให้จำนวนต้นไม้ที่รอดชีวิตตามเป้าหมายรวมเป็น 4.7 ล้านต้น และสามารถฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม 8,000 เฮกตาร์ในเขต Atebubu-Amantin และ Sene West ทางตอนกลางของกานา โครงการที่นำโดยชุมชนแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย “Living Labs” ในการพยายามส่งเสริมการฟื้นฟูป่า วนเกษตร ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และสนับสนุนโมเดลธุรกิจที่อิงธรรมชาติสำหรับเกษตรกรรายย่อย
  • รวันดา แอสตร้าเซนเนก้าได้ให้เงินทุนสำหรับโครงการนำร่องวนเกษตรกับเกษตรกรรายย่อย เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาโครงการใหม่ในระยะเวลา 30 ปี โดยร่วมมือกับ Albertine Rift Conservation Society (ARCOS) และ Reforest’Action ภายใต้โครงการดังกล่าว จะมีการปลูกต้นไม้มากกว่า 5.8 ล้านต้น โดยเน้นที่วนเกษตรและการจัดการที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่นและปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ ด้วยเป้าหมายที่จะเป็นอีกหนึ่ง “Living Lab” โครงการ “MuLaKiLa” จะช่วยสังคมและแรงงานเกษตรมากกว่า 30,000 ครัวเรือนในโครงการฟื้นฟูป่าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในรวันดา
  • เวียดนาม: แอสตร้าเซนเนก้า ตั้งเป้าที่จะปลูกต้นไม้ 22.5 ล้านต้นในพื้นที่อย่างน้อย 30,500 เฮกตาร์เพื่อฟื้นฟูป่าและภูมิทัศน์ของเวียดนาม การลงทุนครั้งใหม่นี้จะช่วยให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรรายย่อยกว่า 17,000 ราย ปรับปรุงคุณภาพในการผลิตอาหารและโภชนาการ ตลอดจนอนุรักษ์ดินและน้ำ
  • โครงการอื่นๆ กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา

โครงการ AZ Forest สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดสุขภาพที่ดีของประชาชนและโลก ด้วยผลประโยชน์ร่วมทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการลดการปล่อยก๊าซให้กลายเป็นศูนย์บนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือ Ambition Zero Carbon อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีสถานการณ์โรคระบาดเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ภายในสิ้นปี 2022 ได้มีการปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 10.5 ล้านต้น ในประเทศ ดังต่อไปนี้

  • ออสเตรเลีย ด้วยความร่วมมือกับ Greening Australia และ One Tree Planted มีการปลูกต้นไม้มากกว่าสี่ล้านต้น (โครงการทั้งหมด 25 ล้านต้น) รวมถึงพันธุ์ไม้พื้นเมือง 260 สายพันธุ์ ซึ่งสนับสนุนพันธุ์สัตว์ป่าที่อ่อนแอและใกล้สูญพันธุ์
  • อินโดนีเซีย ด้วยความร่วมมือกับ One Tree Planted และ Trees4Trees มีการปลูกต้นไม้มากกว่าสามล้านต้น โดยมีเกษตรกรกว่า 13,000 รายเข้าร่วมในกิจกรรมวนเกษตรในปี 2022
  • กานา ปลูกต้นไม้กว่าหนึ่งล้านต้น เริ่มมาจากความมุ่งมั่นเริ่มต้นในการปลูกต้นไม้ที่ยังมีชีวิตรอด 3 ล้านต้นเพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศและความยั่งยืนของชุมชนผ่านโครงการ "Living Lab" ดำเนินการโดยชุมชนร่วมกับ CBA
  • ฝรั่งเศส แอสตร้าเซนเนก้าได้ปลูกต้นโอ๊กหายากจำนวน 450 ต้นที่สูญเสียไปจากเหตุการณ์พายุทำลายล้างในปี 1990 และ 1999 ที่พระราชวังแวร์ซาย ต้นโอ๊กเป็นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของผีเสื้อ นก เห็ดรา และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้กลับคืนสู่สวนอันเป็นสัญลักษณ์แห่งแวร์ซาย
  • สหราชอาณาจักร การปลูกต้นไม้มากกว่า 470,000 ต้น ในสกอตแลนด์และอังกฤษ โดยร่วมกับ Forestry England และ Borders Forest Trust Scotland เพื่อสร้างพื้นที่ป่าไม้คุณภาพสูงและเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ชุมชน
  • สหรัฐอเมริกา การปลูกต้นไม้มากกว่า 100,000 ต้น ฟื้นฟูพื้นที่ป่าริมแม่น้ำกว่า 100 กิโลเมตรโดยความร่วมมือกับมูลนิธิปลาและสัตว์ป่าแห่งชาติ

แอสตร้าเซนเนก้า

แอสตร้าเซนเนก้า (LSE/STO/Nasdaq: AZN) เป็นบริษัทชีวเวชภัณฑ์ระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จากแอสตร้าเซนเนก้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปยังเว็บไซต์ astrazeneca.com และช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZeneca

อ้างอิง

  1. AstraZeneca plc. Ambition Zero Carbon. 2020. ติดตามที่: https://www.astrazeneca.com/media-centre/articles/2020/ambition-zero-carbon-22012020.html# [เข้าถึงล่าสุด: มิถุนายน 2023]
  2. AstraZeneca plc. Sustainability Report 2022. 2023. ติดตามที่: https://www.astrazeneca.com/content/dam/az/Sustainability/2023/pdf/Sustainability_Report_2022.pdf [เข้าถึงล่าสุด: มิถุนายน 2023]
  3. United Nations Treaty Collection. Paris Agreement. 2015. ติดตามที่ที่: https://unfccc.int/sites/default/files/english_paris_agreement.pdf [เข้าถึงล่าสุด: มิถุนายน 2023]
  4. AstraZeneca plc. AZ Forest. 2022. ติดตามที่ที่: https://www.astrazeneca.com/sustainability/environmental-protection/az-forest.html [เข้าถึงล่าสุด: มิถุนายน 2023]

* จากข้อมูลพื้นฐานในปี 2015

 จากข้อมูลพื้นฐานในปี 2019

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: www.businesswire.com/news/home/53428688/en

ติดต่อ

สำหรับรายละเอียดวิธีการติดต่อทีมนักลงทุนสัมพันธ์ โปรดคลิกที่นี่ สำหรับการติดต่อสื่อ คลิกที่นี่

แหล่งที่มา: AstraZeneca

Cookies เปิดตัวธนาคารเมล็ดพันธุ์แบบค้าส่งทั่วโลก (Global Wholesale Seedbank) พันธุกรรมที่ได้รับรางวัลมีจำหน่ายแล้ว ในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และไทย

Logo

ซานฟรานซิสโก–(BUSINESS WIRE)–27 มิถุนายน 2023

วันนี้ Cookies แบรนด์ไลฟ์สไตล์กัญชาระดับสากลได้ประกาศเปิดตัวธนาคารเมล็ดพันธุ์แบบค้าส่งต่อเนื่องจากการเปิดตัวการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์แบบส่งตรงถึงลูกค้าของบริษัทที่ได้เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2022 โดยเมล็ดพันธุ์นั้นพร้อมจำหน่ายแบบค้าส่งในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และไทย ส่วนอเมริกาใต้และแคนาดาจะเปิดให้บริการทางออนไลน์ในเร็วๆ นี้

“ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นวันที่เราได้จำหน่ายพันธุกรรมและเมล็ดพันธุ์ของ Cookies ในร้านยาสูบและร้านไฮโดรโปนิกส์ทั่วโลก” Berner ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Cookies กล่าว

ธนาคารเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเกษตรแบบดั้งเดิมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรมสำหรับอนาคต Cookies นั้นเป็นผู้นำด้านพันธุศาสตร์กัญชามาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง และยังคงบุกเบิกพื้นที่โดยขยายการเข้าถึงพันธุ์กัญชาคุณภาพสูงทั่วโลก แคตตาล็อกการค้าส่งนั้นครอบคลุมคลังพันธุกรรมขนาดใหญ่ของทั้ง Cookies และ Lemonnade ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง

แคตตาล็อกดิจิทัลฉบับเต็มมีให้บริการเป็นภาษาอังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส ไทย ดัตช์ โปรตุเกส เยอรมัน กรีก และอิตาเลียน โดยร้านไฮโดรโปนิกส์ ร้านยาสูบ ตลอดจนผู้ค้าปลีกรายอื่นๆ ที่สนใจสามารถสมัครบัญชีค้าส่งได้ที่นี่

เกี่ยวกับ Cookies

Cookies เป็นบริษัทกัญชาที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดย Berner ซึ่งเป็นแร็ปเปอร์เจ้าของบิลบอร์ดชาร์ตและผู้ประกอบการ ร่วมกับ Bay Area ซึ่งเป็นผู้เพาะพันธุ์ และ Jai ซึ่งเป็นผู้เพาะปลูก บริษัทสร้างพันธุกรรมที่เป็นตัวพลิกสถานการณ์และนำเสนอกัญชาพันธุ์ต่างๆ ซึ่งมีกรรมสิทธิ์มากกว่า 70 สายพันธุ์ ตลอดจนผลิตภัณฑ์มากกว่า 2,000 รายการ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโก บริษัทได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสนับสนุนและริเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเพื่อยกระดับชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างไม่สมส่วนจากสงครามยาเสพติด Cookies เปิดร้านค้าปลีกแห่งแรกในปี 2018 ที่ลอสแองเจลิส จากนั้นได้ขยายร้านค้าปลีกเป็น 61 แห่งใน 25 ตลาดซึ่งครอบคลุม 6 ประเทศ ทั้งยังเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ร้อนแรงที่สุดของอเมริกาในปี 2021 จาก AdAge โดย Cookies ถือเป็นแบรนด์กัญชารายแรกที่ได้รับรางวัลนี้ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Cookies โปรดไปที่ cookies.co และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Cookies CBD ได้ที่ shop.cookies.co

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ
ติดต่อสื่อ:
Martha N. Marshall
Grasslands: A Journalism-Minded Agency
martha@mygrasslands.com

แหล่งที่มา: Cookies

ODDITY ประกาศการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลสำหรับการยื่นเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก

Logo

NEW YORK–(BUSINESS WIRE)–24 มิถุนายน 2023

ODDITY Tech Ltd. (“ODDITY”) แพลตฟอร์มเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคที่สร้างขึ้นเพื่อพลิกโฉมตลาดความงามและสุขภาพระดับโลก ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทมีการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการจดทะเบียนในแบบฟอร์ม F-1 กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นสามัญประเภท A ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ODDITY มีการยื่นขอจดทะเบียนหุ้นสามัญประเภท A ใน Nasdaq Global Select Market ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “ODD” โดยยังไม่มีการกำหนดจำนวนหุ้นที่จะนำเสนอขายและช่วงราคาสำหรับการนำเสนอขาย การเสนอขายอยู่ภายใต้เงื่อนไขของตลาด และไม่สามารถรับประกันได้ว่า การยื่นเสนอขายหุ้นจะเสร็จสิ้นลงเมื่อใด หรือขี้นอยู่กับขนาดหรือเงื่อนไขที่แท้จริงของการนำเสนอขาย

Goldman Sachs & Co. LLC, Morgan Stanley & Co. LLC และ Allen & Company LLC ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการดูแลหนังสือชี้ชวนสำหรับการยื่นเสนอขายหุ้น BofA Securities, Barclays Capital Inc., Truist Securities, Inc., JMP Securities, A Citizens Company, and KeyBanc Capital Markets Inc. ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการยื่นเสนอขายหุ้น

การนำเสนอขายจะกระทำโดยหนังสือชี้ชวนเท่านั้น สำเนาหนังสือชี้ชวนเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอขายสามารถขอได้ที่ Goldman Sachs & Co. LLC ติดต่อ: Prospectus Department, 200 West Street, New York, New York 10282 หมายเลขโทรศัพท์ (866) 471-2526 หรือทางอีเมล prospectus-ny@ny.email.gs.com; Morgan Stanley & Co LLC ติดต่อ: Prospectus Department, 180 Varick Street, 2nd Floor, New York, New York 10014 หมายเลขโทรศัพท์ (866) 718-1649 หรือทางอีเมล prospectus@morganstanley.com และ Allen & Company LLC ติดต่อ: Prospectus Department, 711 Fifth Avenue, New York, New York 10022 หรือทางอีเมล allenprospectus@allenco.com

มีการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์เหล่านี้ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ หลักทรัพย์เหล่านี้ไม่สามารถนำเสนอขายหรือซื้อได้ก่อนที่แบบแสดงรายการข้อมูลจะมีผลบังคับใช้ ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ถือเป็นการนำเสนอขายหรือชักชวนให้ซื้อ และจะไม่มีการขายหลักทรัพย์เหล่านี้ในรัฐหรือเขตอำนาจศาลใดๆ ที่การนำเสนอขายหรือการชักชวนให้ซื้อเหล่านี้ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก่อนที่จะมีการลงทะเบียนหรือผ่านคุณสมบัติรับรองภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐหรือเขตอำนาจศาลดังกล่าว

เกี่ยวกับ ODDITY

ODDITY เป็นบริษัทเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคที่สร้างและปรับขนาดแบรนด์ที่ใช้ระบบดิจิทัล เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมความงามและสุขภาพที่ครองตลาดออฟไลน์ บริษัทให้บริการผู้ใช้กว่า 40 ล้านคนพร้อมแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมทั้งปรับใช้วิทยาการข้อมูลเพื่อระบุความต้องการของผู้บริโภค และพัฒนาโซลูชันในรูปแบบผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ ODDITY เป็นเจ้าของ IL MAKIAGE และ SpoiledChild โดยมีสำนักงานใหญ่ใน New York City ศูนย์ R&D ใน Tel Aviv ประเทศอิสราเอล และห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพใน Boston

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ:
Michael Braun
michaelb@oddity.com
นักลงทุน:
IR@oddity.com

แหล่งที่มา: ODDITY Tech Ltd.

Mary Kay ประกาศโครงการปลูกป่าปี 2023 และเฉลิมฉลอง 15 ปีสำหรับผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนร่วมกับมูลนิธิ Arbor Day

Logo

Mary Kay ตั้งเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้เพิ่มอีก 100,000 ต้นในปี 2023

ดัลลาส–(BUSINESS WIRE)–22 มิถุนายน 2023

วันนี้ Mary Kay ประกาศการปลูกป่าในปี 2023 โครงการร่วมกับมูลนิธิ Arbor Day ปีนี้ Mary Kay มีกำหนดจะฉลองครบรอบ 60 ปี และยังฉลองการเป็นหุ้นส่วน 15 ปีกับ Arbor Day Foundation

In 2013, Mary Kay began supporting large-scale reforestation projects around the world including the United States, Brazil, China, Germany, Ireland, Peru, and Madagascar. Mary Kay is set to plant an additional 100,000 trees in 2023 with tree plantings in the United States, Mexico, and Spain. (Credit: Arbor Day Foundation)

ในปี 2013 Mary Kay เริ่มสนับสนุนโครงการปลูกป่าขนาดใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล จีน เยอรมนี ไอร์แลนด์ เปรู และมาดากัสการ์ Mary Kay ตั้งเป้าที่จะปลูกต้นไม้เพิ่มอีก 100,000 ต้นในปี 2023 โดยจะปลูกต้นไม้ในสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และสเปน (เครดิต: Arbor Day Foundation)

โครงการปลูกป่าทั่วโลกในปีนี้ประกอบด้วย

  • สหรัฐอเมริกา
    • ต้นไม้ 80,000 ต้นเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูที่อยู่อาศัยที่หายากและความหลากหลายทางชีวภาพในหลายมณฑลของจอร์เจีย Longleaf pine เคยเป็นพันธุ์ไม้ที่โดดเด่นในภาคใต้ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 90 ล้านเอเคอร์ตั้งแต่เวอร์จิเนียไปจนถึงเท็กซัส ทุกวันนี้ ต้นสนใบยาวปกคลุมพื้นที่น้อยกว่า 3% ของพื้นที่เดิม การสูญเสียระบบนิเวศดังกล่าวได้ทำลายล้างสัตว์และพืชเกือบ 600 สายพันธุ์ที่ต้องพึ่งพาอาศัย ด้วยความร่วมมือกับมูลนิธิ Arbor Day และ The Nature Conservancy ต้นสนใบยาวและใบสั้นจะปลูกในพื้นที่ส่วนบุคคลและสาธารณะในจอร์เจีย เมื่อต้นไม้เติบโต พวกมันจะลดการกระจายตัวของป่าและสนับสนุนสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์และถูกคุกคาม เช่น นกหัวขวานแดง งูสีครามตะวันออก และเต่าโกเฟอร์
    • ต้นไม้ 12,000 ต้นเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูไฟป่าในป่าสงวนแห่งชาติลาสเซ็นในแคลิฟอร์เนีย Dixie Fire ลุกลามไปทั่วแคลิฟอร์เนียตอนเหนือเป็นเวลาสามเดือนที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดในปี 2021 โหมกระหน่ำตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม นี่เป็นไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของรัฐ โดยมีแผลเป็นจากการเผาไหม้กว่า 963,000 เอเคอร์ ป่าไม้ที่ถูกทำลายโดยไฟป่าอาจใช้เวลาหลายชั่วอายุคนในการกลับคืนสู่ความรุ่งเรืองในอดีต หากฟื้นตัวได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ความพยายามในการปลูกป่าอย่างเร่งด่วนและตั้งใจจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การรักษาสุขภาพของป่าสงวนแห่งชาติลาสเซ็นซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลายร้อยชนิด และมีความสำคัญต่อสุขภาพของภูมิประเทศและทะเลสาบ Almanor ที่อยู่ใกล้เคียง ต้นไม้ที่ปลูกใหม่ในบริเวณนี้จะเริ่มสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งรวมถึงบ้านของเสือคูการ์ กระแต หมีดำ และซาลาแมนเดอร์หัวยาว เมื่อต้นไม้หยั่งรากและเติบโตเป็นยอดเต็ม ระบบรากจะป้องกันการกัดเซาะ พร้อมปรับปรุงคุณภาพน้ำในทะเลสาบ Almanor
  • เม็กซิโก
    • ต้นไม้ 4,000 ต้นเพื่อสนับสนุนการปลูกป่าอย่างยั่งยืน การฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพในเขตรักษาพันธุ์ผีเสื้อ Cerro Pelon ของเม็กซิโก แม้ว่าเรื่องราวการอพยพและการทำรังของผีเสื้อโมนาร์ชจะเป็นสัญลักษณ์ของเม็กซิโก แต่ตอนนี้สายพันธุ์นี้กำลังเผชิญกับความท้าทายบางอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยของเรา ต้นโอยาเมลเฟอร์พื้นเมืองที่ผีเสื้อโมนาร์ชมักทำรัง กำลังถูกผลักให้สูงขึ้นและอุณหภูมิที่เย็นลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การดำเนินการนี้นอกเหนือจากการตัดไม้และเคลียร์พื้นที่สำหรับต้นอะโวคาโดที่ทำกำไรแล้ว ยังลดพื้นที่ทำรังของพระราชาและคุกคามสายพันธุ์ที่รอดตายในระยะยาว โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างการปกคลุมต้นสนโอยาเมลในพื้นที่เหล่านี้อีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่น
  • สเปน
    • ต้นไม้ 4,000 ต้นเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูไฟป่าในเมืองเบโลราโด ประเทศสเปน เนินเขาเบโลราโดเป็นพื้นที่ที่สวยงามทางตอนเหนือของสเปน อย่างไรก็ตาม ความลาดชันเหล่านี้ได้เผชิญกับไฟป่าและคลื่นความร้อนจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ต้นไม้ที่เคยยืนต้นอยู่ที่นี่เป็นเรื่องยากที่จะหยั่งรากอีกครั้งด้วยตัวมันเอง ซึ่งทำให้ภูมิทัศน์ธรรมชาติถูกกัดเซาะมากขึ้น การปลูกต้นไม้ผลัดใบผสมกันหลายๆ ชนิดในบริเวณนี้จะช่วยยึดดินและทำให้ดินมีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและไฟป่ามากขึ้น และสำหรับพื้นที่ชนบทที่ได้รับผลกระทบจากการย้ายถิ่นฐานจากชนบทสู่เมือง โครงการนี้จะให้งานบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งภูมิภาค

"การตัดไม้ทำลายป่าและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้เศรษฐกิจโลกเสียหายหลายพันล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ความหวังของเราที่ Mary Kay คือโครงการเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบเหล่านั้นในขณะที่ให้ที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่มีค่า" Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay Inc กล่าว "ป่าที่ปลูกใหม่เหล่านี้จะเติบโตและให้ทรัพยากรที่มีค่า บริการระบบนิเวศ และมรดกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต"

ความร่วมมือของ Mary Kay และ Arbor Day Foundation เริ่มขึ้นในปี 2008 และประสบความสำเร็จในเหตุการณ์สำคัญหลายประการตลอดความร่วมมือ 15 ปี:

  •  ในปี 2008 ที่ปรึกษาด้านความงามอิสระของ Mary Kay ได้เข้าร่วมในโครงการรีไซเคิลที่ซึ่งต้นไม้ถูกปลูกไว้ในป่าที่ต้องการนำวัสดุเก่าทั้งหมดมารีไซเคิล ด้วยความพยายามในการรีไซเคิลระดับประเทศโดยที่ปรึกษาด้านความงามอิสระและลูกค้า ตลอดจนพนักงานของบริษัท Mary Kay บรรลุเป้าหมายการรวบรวมคอมแพคเก่า 200,000 ชิ้น
  •  ตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2012 ความร่วมมือของ Mary Kay กับมูลนิธิ Arbor Day Foundation ได้สนับสนุนห้องเรียน Nature Explore ในที่พักพิงสำหรับความรุนแรงในครอบครัว เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีสถานที่ที่ปลอดภัยในการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ
  •  ตั้งแต่ปี 2013 Mary Kay เริ่มสนับสนุนโครงการปลูกป่าขนาดใหญ่ทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา บราซิล จีน เยอรมนี ไอร์แลนด์ เปรู และมาดากัสการ์
  •  ในปี 2018 ขณะที่ Mary Kay ตัดริบบิ้นที่โรงงาน Richard R. Rogers Manufacturing/R&D แห่งใหม่ใน Lewisville รัฐเท็กซัส บริษัทได้ฉลองความสำเร็จในการปลูกต้นไม้หนึ่งล้านต้นด้วยการปลูกต้นไม้ในพิธีที่ไซต์งาน
  •  จนถึงวันนี้ Mary Kay และมูลนิธิ Arbor Day ได้ปลูกต้นไม้ 1.3 ล้านต้นผ่านความร่วมมือ และยังคงทำงานเพื่อสร้างผลกระทบในอนาคตด้วยต้นไม้เพิ่มอีก 100,000 ต้นในปีนี้

"เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้สานต่อความร่วมมือนี้โดยสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อผืนป่าทั่วโลก" Katie Loos ประธาน Arbor Day Foundation กล่าว "เป็นเวลา 15 ปีแล้วที่ Mary Kay ได้ทุ่มเทความพยายามในการบูรณะที่มีความหมายในสถานที่ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด พันธมิตรของเราในชุดสีชมพูยังคงความเป็นเลิศผ่านโครงการปลูกป่าเชิงกลยุทธ์ที่เน้นความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมสำหรับโลกใบนี้"

เกี่ยวกับ Mary Kay

อดีต ปัจจุบัน และตลอดไป หนึ่งในผู้ทำลายเพดานแก้วดั้งเดิม Mary Kay Ash ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในเท็กซัสในปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลา 60 ปีแล้วที่โอกาสของ Mary Kay ช่วยให้ผู้หญิงสามารถกำหนดอนาคตของตนเองผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัย เครื่องสำอางที่มีสี อาหารเสริม และน้ำหอม Mary Kay เชื่อในการอนุรักษ์โลกของเราสำหรับคนรุ่นอนาคต ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการถูกทำร้ายในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนทำตามความฝัน เรียนรู้เพิ่มเติมที่ marykayglobal.com ค้นหาเราได้บน FacebookInstagram, และ LinkedIn หรือติดตามเราได้บน Twitter

เกี่ยวกับมูลนิธิ Arbor Day

มูลนิธิ Arbor Day Foundation ก่อตั้งขึ้นในปี 1972 เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีสมาชิกรายใหญ่ที่สุดในโลกที่อุทิศตนเพื่อการปลูกต้นไม้ โดยมุ่งเน้นไปที่ชุมชนและป่าที่มีความจำเป็นสูงสุด มูลนิธิร่วมกับสมาชิก ผู้สนับสนุน และหุ้นส่วนที่มีคุณค่ากว่า 1 ล้านคน ได้ช่วยกันปลูกต้นไม้ 500 ล้านต้นในกว่า 50 ประเทศ ตามพันธกิจในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนปลูก ดูแล และเฉลิมฉลองต้นไม้ Arbor Day Foundation มุ่งมั่นที่จะปลดล็อกพลังของต้นไม้เพื่อช่วยแก้ปัญหาวิกฤตที่ผู้คนและโลกกำลังเผชิญอยู่ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของมูลนิธิ Arbor Day ที่ arborday.org

เกี่ยวกับ The Nature Conservancy

The Nature Conservancy เป็นองค์กรอนุรักษ์ระดับโลกที่อุทิศตนเพื่ออนุรักษ์ผืนดินและผืนน้ำที่ทุกชีวิตต้องพึ่งพา เราสร้างวิธีแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรมและใช้งานได้จริที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับความท้าทายที่ยากที่สุดในโลกของเรา เพื่อให้ธรรมชาติและผู้คนสามารถเติบโตไปด้วยกัน เรากำลังจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อนุรักษ์ผืนดิน น้ำ และมหาสมุทรในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จัดหาอาหารและน้ำอย่างยั่งยืน และช่วยให้เมืองมีความยั่งยืนมากขึ้น การทำงานใน 79 ประเทศและดินแดน เราใช้วิธีการทำงานร่วมกันที่มีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น รัฐบาล ภาคเอกชน และพันธมิตรอื่นๆ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม โปรดไปที่ www.nature.org หรือติดตาม @nature_press บน Twitter

รายชื่อติดต่อ

Mary Kay Inc.
การสื่อสารองค์กร
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือmedia@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc.






J&J Green Paper และ Sintesa Group ประสานความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อผลิตสารเคลือบกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสู้กับขยะพลาสติกทั่วโลก

Logo

ไมอามี–(BUSINESS WIRE)–14 มิถุนายน 2023

J&J Green Paper, Inc. (JJGP) บริษัทในเดลาแวร์ของสหรัฐอเมริกา ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระดับโลกกับ Sintesa Group บริษัทการลงทุนเชิงกลยุทธ์ชั้นนำของอินโดนีเซียที่สืบทอดมายาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการลงทุนเพื่อผลกระทบเชิงบวก

การร่วมทุนนี้จะนำเอาเทคโนโลยีที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ JJGP และความเป็นผู้นำอันเหนือชั้นของ Sintesa Group มาใช้เพื่อสร้างกำลังการผลิตทั่วโลกสำหรับ JANUS® ซึ่งเป็นสารเคลือบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับบรรจุภัณฑ์กระดาษที่พัฒนาโดย JJGP โดยนำมาใช้แทนโพลิเอทิลีนและกำจัดความอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับโพลิเอทิลีน

JANUS เป็นสารเคลือบกันความชื้นจากธรรมชาติที่ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์กระดาษ เป็นเทคโนโลยีที่รีไซเคิลได้ ย่อยสลายได้ และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทำให้สามารถใช้แทนโพลิเอทิลีนที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กระดาษแบบดั้งเดิมในปัจจุบันได้ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการกำจัดขยะทั่วโลกและการทำลายสิ่งแวดล้อม JANUS เป็นสารประกอบที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพด้วยแนวทางห่วงโซ่คุณค่าอาหารที่ยั่งยืน ตลอดจนการใช้งานและคุณประโยชน์หลากหลายที่สอดคล้องกับปรัชญาของ Sintesa

"ความมุ่งมั่นของ Sintesa ในการส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนและโลกนั้นสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราอย่างสมบูรณ์แบบ" Rick Bulman ประธาน JJGP กล่าว "เรารู้สึกตื่นเต้นและพร้อมที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในเชิงบวกที่เป็นรูปธรรมในอินโดนีเซียและทั่วทั้งโลกด้วยการส่งเสริมแนวทางใหม่ในการจัดการความอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมของโพลิเอทิลีน"

Sintesa Group เริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจครอบครัวที่มีความปรารถนาที่จะรักษาความยืดหยุ่นในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงยึดถือความยั่งยืนเป็นแนวทางกลยุทธ์ที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ภายใต้การนำของ Abyasa Kamdani สมาชิกในครอบครัวรุ่นที่สี่ Sintesa มั่นใจว่าการลงทุนในอนาคตจะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นบริษัทที่มีความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน

"เรามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีความคิดก้าวหน้าที่สามารถช่วยแก้ปัญหาอย่างเป็นผล เพื่อสร้างภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น และท้ายที่สุดคือโลกที่ยั่งยืน" Kamdani หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Sintesa กล่าว "การสร้างอนาคตที่ดีขึ้นนั้นอยู่ในมือของเรา โดยการมุ่งมั่นเพื่อสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง" บริษัทของเราและ JJGP จะร่วมกันมีส่วนร่วมในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวในกลุ่มประเทศอาเซียนโดยการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการ ตลอดจนช่วยสนับสนุนการเกษตร จัดการความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีความรับผิดชอบ"

Bulman ตอบรับความพยายามนี้ โดยกล่าวว่าเทคโนโลยียั่งยืนที่นำมาใช้ในอินโดนีเซียนั้นคาดว่าจะผลักดันความคิดริเริ่มในการพัฒนาทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนในอีกหลายปีข้างหน้า เขาเสริมว่าเร็ว ๆ นี้ JJGP จะเปิดตัวพันธมิตรที่ปรึกษาเพิ่มเติมทั่วโลกซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์ของบริษัทในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และภูมิภาคอื่น ๆ

"ความสามารถที่หลากหลายของ JANUS จะช่วยให้ไม่มีผลิตภัณฑ์จำนวนมากกองทิ้งไว้ในบ่อขยะเป็นเวลาหลายศตวรรษอีกต่อไป" Bulman กล่าว "นั่นเป็นเป้าหมายของเรามาโดยตลอด และเรามั่นใจว่าการร่วมทุนครั้งนี้จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมากและรวดเร็วกว่าที่ผู้บริโภคคาดคิด"

เกี่ยวกับ Sintesa Group

Sintesa Group เป็นบริษัทการลงทุนเชิงกลยุทธ์ชั้นนำของอินโดนีเซียที่มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน Sintesa Group (PT Widjajatunggal Sejahtera) เริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจครอบครัวในปี 1919 และได้เปลี่ยนเป็นบริษัทโฮลดิ้งมืออาชีพที่มุ่งเน้นการสร้างธุรกิจใหม่ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ใหม่กับผู้เล่นทางธุรกิจที่มีศักยภาพ Sintesa Group ดำเนินการธุรกิจภายใต้ 4 เสาหลัก ได้แก่ ทรัพย์สิน สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอุตสาหกรรม และพลังงาน และบริหารจัดการบริษัทในเครือมากกว่า 15 แห่ง โดยมีบริษัทสองแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย Sintesa Group รวมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) เข้ากับโมเดลธุรกิจและหลักการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบโดยพัฒนาแผนการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Roadmap) ของตนเอง ที่เรียกว่า Sintesa for the Earth (Sintesa เพื่อโลก) เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นบริษัทที่มีความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน

www.sintesagroup.com

เกี่ยวกับ J&J Green Paper

J&J Green Paper, Inc. เป็นบริษัทในเดลาแวร์ สหรัฐอเมริกา ที่ได้พัฒนาสารประกอบที่ได้รับการจดสิทธิบัตรและมีกระบวนการผลิตจากธรรมชาติทั้งหมดจนเป็นกระดาษกันความชื้น ซึ่งไม่เพียงแค่กำจัดปิโตรเคมีที่พบในกระดาษมาตรฐานและบรรจุภัณฑ์กระดาษ และก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการสลายตัวของกระดาษเหล่านั้นเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่เข้มงวดของสหภาพยุโรปและประเทศต่าง ๆ ในการกำจัดพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งด้วย โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.jjgreenpaper.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Inka Prawirasasra
AVP ฝ่ายสื่อสารองค์กรและความยั่งยืน
Sintesa Group
inka.prawirasasra@sintesagroup.com
085282807879

แหล่งที่มา: J&J Green Paper, Inc.

Mary Kay เฉลิมฉลองสัปดาห์แห่งมหาสมุทรโดยการยืนยันความร่วมมือกับ The Nature Conservancy

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–8 มิถุนายน 2023 

Mary Kay เฉลิมฉลองสัปดาห์แห่งมหาสมุทรโดยการยืนยันความร่วมมือที่ยาวนานนับทศวรรษกับ The Nature Conservancy (TNC) เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์มหาสมุทรและการปกป้องแนวปะการัง แนวปะการัง ซึ่งมักเรียกกันว่าป่าร้อนชื้นของทะเล ครอบคลุมพื้นที่น้อยกว่า 1% ของพื้นผิวโลก แต่รองรับ 25% ของสิ่งมีชีวิตในทะเลทั้งหมดและประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน

Dr. Elizabeth McLeod, The Nature Conservancy’s Global Oceans Director, conducting research in Ulong Channel, Palau as part of the Super Reefs project, a collaborative effort to discover the secrets of “super reefs” with support from Mary Kay. (Credit: © Kip Evans/CCC Marketing)

Dr. Elizabeth McLeod ผู้อำนวยการ Global Oceans ของ The Nature Conservancy กำลังดำเนินการวิจัยใน Ulong Channel ที่ประเทศ Palau โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแนวปะการังขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมมือกันในการค้นหาความลับของ “แนวปะการังขนาดใหญ่” โดยได้รับการสนับสนุนจาก Mary Kay (เครดิต: © Kip Evans/CCC Marketing)

เนื่องจากกลยุทธ์การอนุรักษ์แนวปะการังแบบดั้งเดิมนั้นไม่เพียงพอในการรับมือกับการสูญเสียแนวปะการังทั่วโลก Mary Kay เป็นผู้ร่วมลงนามใน UN Global Compact Sustainable Ocean Principles โดยสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจาก TNC, Woods Hole Oceanographic Institution (WHOI) และ Stanford University ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้นำในการทำงานร่วมกันเพื่อค้นหาความลับของ “แนวปะการังขนาดใหญ่” ซึ่งเป็นชุมชนปะการังที่แตกต่างกันในระบบแนวปะการังที่ทนทานต่อคลื่นความร้อนที่สามารถสร้างความเสียหาย เพื่อพิสูจน์และป้องกันแนวปะการังที่สำคัญ

Mary Kay ยังคงสนับสนุนโปรแกรม Global Oceans และ Super Reefs ของ TNC อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้นักวิจัยสามารถประเมินสุขภาพของแนวปะการังขนาดใหญ่ และระบุตำแหน่งที่เป็นไปได้ของแนวปะการังขนาดใหญ่ และหารือเกี่ยวกับโอกาสในการปรับปรุงการจัดการแนวปะการังในพื้นที่ ข้อมูลนี้จะช่วยแนะแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟู พื้นที่ที่น่าสนใจสำหรับงานแนวปะการังขนาดใหญ่ในปัจจุบัน รวมถึง Hawaii, Palau, Indonesia, the Marshall Islands, the Bahamas, the Dominican Republic และ Belize

เช่นเดียวกับแม่น้ำและคูคลองต่างๆ สิ่งดีๆ ต่างๆ ในโลกนี้ของเราเริ่มต้นจากมหาสมุทร” กล่าวโดย Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ของ Mary Kay Inc. “Mary Kay กำลังทำงานร่วมกันกับพันธมิตรอย่าง The Nature Conservancy เพื่อปกป้องทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของโลก น้ำที่สะอาดและดีต่อสุขภาพไม่เพียงสำคัญต่อธุรกิจของเราเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตในทุกๆ ที่อีกด้วย”

TNC มุ่งมั่นในการอนุรักษ์มหาสมุทร 4 พันล้านเฮกเตอร์ภายในปี 2030 และเราขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุนจาก Mary Kay ที่ช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญนี้ ความร่วมมือกับรัฐบาล องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร บริษัทต่างๆ และชุมชนท้องถิ่นมีความสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จของเรา” Dr. Lizzie Mcleod ผู้อำนวยการ Global Oceans ของ TNC กล่าว

ในปีนี้ Mary Kay จะยังคงให้การสนับสนุนพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งใน Texas ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแบรนด์ความงาม ในปี 2023 TNC จะยังคงทำงานตามวัตถุประสงค์ของโครงการระยะเวลาสามปี:

ในปี 1990 Mary Kay และ TNC ประกาศร่วมมือกัน Mary Kay ริเริ่มการอนุรักษ์จากใกล้บ้าน โดยมุ่งเน้นการปกป้องและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติใน Texas ในช่วง 33 ปีที่ผ่านมา Mary Kay มีการขยายการสนับสนุนเป็นหลายร้อยโครงการโดยความร่วมมือกับ TNC รวมถึงงานการฟื้นฟูมหาสมุทรและแนวปะการังทั่วโลก และด้วยความร่วมมือกับ TNC Mary Kay ยังได้ยกระดับความเป็นผู้นำของผู้หญิงในการอนุรักษ์ทะเลในโปรแกรมความยั่งยืนเพื่อสร้างเสริมความเท่าเทียมทางเพศ

เกี่ยวกับ Mary Kay

ตลอดและต่อไป Mary Kay Ash หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ความงามตามความฝันของเธอใน Texas ในปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือ ทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น และความฝันของเธอได้เบ่งบานกลายเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในกว่า 35 ประเทศ เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่ Mary Kay สร้างโอกาสให้ผู้หญิงสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัย เครื่องสำอาง อาหารเสริม และน้ำหอม Mary Kay เชื่อมั่นในการอนุรักษ์โลกสำหรับคนรุ่นใหม่ในอนาคต ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งและการถูกทำร้ายภายในครอบครัว และสนับสนุนให้เยาวชนทำตามความฝัน เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com ค้นหาเราได้ที่ FacebookInstagram และ LinkedIn หรือติดตามเราได้ที่ Twitter

เกี่ยวกับ The Nature Conservancy

The Nature Conservancy เป็นองค์กรอนุรักษ์ระดับโลกที่อุทิศตนเพื่อการอนุรักษ์ผืนดินและผืนน้ำที่ทุกชีวิตต้องพึ่งพา เราสร้างสรรค์วิธีการแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรมตามหลักการวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ธรรมชาติและผู้คนสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ซึ่งเป็นความท้าทายที่ยากที่สุดในโลก เราต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อนุรักษ์ผืนดิน ผืนน้ำ และมหาสมุทรในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จัดหาอาหารและน้ำในรูปแบบที่ยั่งยืน และช่วยให้เมืองต่างๆ มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยมีการทำงานใน 76 ประเทศและภูมิภาค—37 แห่งที่มีผลกระทบด้านการอนุรักษ์โดยตรง และคู่ค้า 39 แห่ง—เราใช้วิธีการทำงานร่วมกันกับชุมชน รัฐบาล ภาคเอกชน และพันธมิตรอื่นๆ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม สามารเข้าไปดูได้ที่ www.nature.org หรือติดตามเราได้ที่ @nature_press บน Twitter

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53417208/en

ติดต่อ

Mary Kay Inc.
Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

แหล่งข้อมูล: Mary Kay




The Bangkok Reporter