Mary Kay Inc. ได้รับการยอมรับในรายงานผลกระทบแนวปะการังทั่วโลกปี 2022 ของ The Nature Conservancy

Logo

ดัลลาส–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2022

ตลอดปี 2022 Mary Kay Inc. ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนระดับโลกด้านความยั่งยืนและการดูแลองค์กร ได้ทำงานเพื่อยกระดับการตระหนักรู้เกี่ยวกับสภาพอากาศที่มีผลกระทบต่อมหาสมุทรและเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

The Nature Conservancy and Mary Kay Inc. announced their partnership in 1990. Mary Kay has continued to generously support TNC’s work with an expanded focus on oceans work around the globe. (Credit: The Nature Conservancy)

แม้ The Nature Conservancy และ Mary Kay Inc. ได้ประกาศความร่วมมือในปี 1990 แต่ Mary Kay ยังคงสนับสนุนงานของ TNC อย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นที่การขยายงานด้านมหาสมุทรทั่วโลก (เครดิต: The Nature Conservancy)

ในเดือนนี้ Mary Kay ได้รับการยอมรับในรายงานผลกระทบแนวปะการังทั่วโลกปี 2022 ของ The Nature Conservancy โดยรายงานของ The Nature Conservancy ได้กล่าวเน้นถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นล่าสุด และความสำเร็จในวิธีการที่องค์กรร่วมมือกับภาคเอกชนในการดำเนินการโครงการอนุรักษ์ทางทะเลโดยใช้นวัตกรรมใหม่ที่ปกป้องและรักษาชีวิตในมหาสมุทรของเรา

รายงานมีการกล่าวถึงโครงการที่เพิ่งเปิดตัวไปซึ่งมุ่งเน้นเกี่ยวกับ “แนวปะการัง Super Reefs” แนวปะการัง Super Reefs มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถใช้ชีวิตอยู่ในมหาสมุทรที่ร้อนระอุได้ ภารกิจของโครงการแนวปะการัง Super Reefs คือ การระบุถิ่นฐาน ปกป้อง และขยายเครือข่ายแนวปะการัง Super Reefs ทั่วโลกเพื่อรักษาแนวปะการังไว้ให้คงนาน ทีมงานแนวปะการัง Super Reefs ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านมหาสมุทรศาสตร์ ด้านการอนุรักษ์ และด้านการจัดการ จาก Woods Hole Oceanographic Institution, Stanford University และ The Nature Conservancy พร้อมทั้งการสนับสนุนจากภาคเอกชนจาก Mary Kay เพื่อสนับสนุนรัฐบาลและชุมชนในช่วงเวลาอันวิกฤตนี้เพื่อประวัติศาสตร์ของแนวปะการัง

“ฉันเคยเห็นแนวปะการังที่ถูกทำลาย และแนวปะการังที่ได้รับการฟื้นฟูในช่วงชีวิตของฉัน” Elizabeth McLeod หัวหน้าฝ่าย Global Reefs Systems ที่ The Nature Conservancy กล่าว “เราจะต้องเข้าไปที่แหล่งน้ำ เพื่อระบุแนวปะการังที่สามารถมีชีวิตรอดได้จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และเพื่อให้แน่ใจว่า แนวปะการังเหล่านี้ได้รับการปกป้องจากผลกระทบอื่น ๆ”

“เราร่วมมือกับ The Nature Conservancy มายาวนานกว่า 32 ปี แต่เพิ่งมีการเริ่มต้นกันในส่วนนี้” Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay Inc. กล่าว “ตลอดปี 2022 เรามีการเพิ่มกำลังด้านความยั่งยืนขึ้นเป็นสองเท่า รวมถึงการมุ่งเน้นที่ความสมบูรณ์ของมหาสมุทร ความสมบูรณ์ของมหาสมุทรสะท้อนถึงความสมบูรณ์สำหรับโลกของเรา และจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำหน้าที่ของเราในการปกป้องเพื่อคงความสมบูรณ์นี้”

ในปี 2022 Mary Kay ให้การสนับสนุน 11 โครงการที่เกี่ยวข้องกับการริเริ่มในการปกป้องมหาสมุทรทั่วโลก เพื่อปรับปรุงความสมบูรณ์ของมหาสมุทรกลับสู่ธรรมชาติและเพื่อผู้คน ผ่านการปกป้องและการฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญ เช่น แนวปะการัง แนวปะการังหอยนางรม และแหล่งน้ำชายเลนริมชายฝั่ง โดยโครงการสำคัญเหล่านี้ ได้แก่

  • การฟื้นฟูแนวปะการังหอยชายฝั่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกในออสเตรเลีย ฮ่องกง จีน และแถบพื้นที่สามเหลี่ยมปะการัง
  • การสร้างความมั่นใจในการปกป้องและฟื้นฟูปะการังในประเทศแถบพื้นที่สามเหลี่ยมปะการัง ซึ่งครอบคลุมอินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี และหมู่เกาะโซโลมอน ว่าจะได้รับการสนับสนุนในการอนุรักษ์และการริเริ่มที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งภูมิภาค
  • การสนับสนุนสตรีผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมในแปซิฟิกในปาปัวนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอน
  • การอนุรักษ์และการฟื้นฟูพื้นที่ชายฝั่งในคาบสมุทรกัลฟ์และการประเมินความเป็นไปได้ของตลาดคาร์บอนสีน้ำเงินเพื่อสนับสนุนการจัดการแหล่งน้ำชายเลนริมชายฝั่งในระยะยาว และ
  • การปรับปรุงการประมงในเม็กซิโก เพื่อส่งเสริมชุมชนและสตรีในอุตสาหกรรมการประมง

หากต้องการอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของ Mary Kay ในด้านความยั่งยืน โปรดไปที่ marykayglobal.com/sustainability และดาวน์โหลดกลยุทธ์ความยั่งยืนระดับโลกของ Mary Kay เพื่อชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในวันนี้ เพื่อความยั่งยืนในอนาคค

เกี่ยวกับ The Nature Conservancy (TNC)

The Nature Conservancy เป็นองค์กรอนุรักษ์ระดับโลกที่อุทิศตนเพื่อการอนุรักษ์ผืนแผ่นดินและน่านน้ำที่ทุกชีวิตต้องพึ่งพา โดยมีการสร้างนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ วิธีแก้ไขปัญหาเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ยากมากสำหรับโลกของเรา เพื่อให้ธรรมชาติและผู้คนสามารถเติบโตไปพร้อมกัน เรากำลังรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อนุรักษ์ผืนแผ่นดิน น่านน้ำ และมหาสมุทรในระดับที่ไม่เคยทำมาก่อน พร้อมทั้งจัดหาอาหารและน้ำอย่างยั่งยืน และช่วยให้เมืองต่าง ๆ มีความยั่งยืนมากขึ้น โดยการทำงานใน 79 ประเทศและเขตแดน เราใช้แนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อให้มีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น รัฐบาล ภาคเอกชน และพันธมิตรอื่น ๆ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม โปรดไปที่ www.nature.org หรือติดตาม @nature_press ได้ที่ Twitter

เกี่ยวกับ Mary Kay Inc.

หนึ่งในผู้ผลิตฝ้าเพดานกระจกรุ่นบุกเบิก Mary Kay Ash ได้ก่อตั้งบริษัทเกี่ยวกับความสวยความงามตามความฝันของเธอขึ้นในปี 1963 โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ ทำให้ชีวิตของผู้หญิงทุกคนมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยความฝันของเธอได้เติบโตเบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ ในฐานะที่เป็นบริษัทพัฒนาสตาร์ทอัพ Mary Kay มีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มศักยภาพให้กับผู้หญิงผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน เครือข่าย และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนทางวิทยาศาสตร์เสริมความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัย เครื่องสำอาง อาหารเสริม และน้ำหอม Mary Kay เชื่อมั่นในการทำชีวิตให้ดีขึ้นในวันนี้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยมีการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลกที่มุ่งเน้นและส่งเสริมความเป็นเลิศทางธุรกิจ สนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ปกป้องผู้รอดชีวิตจากการทารุณกรรมในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงามยิ่งขึ้น และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำตามความฝัน เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบกับเราได้ที่ FacebookInstagram และ LinkedIn หรือติดตามเราได้ที่ Twitter

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/52963296/en

ติดต่อ

Mary Kay Inc.
Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

The Nature Conservancy
Misty Edgecomb
Communications Director
medgecomb@tnc.org or 484-343-3223

แหล่งข้อมูล: Mary Kay Inc.






เป้าหมายการลดคาร์บอนของ CEMEX ตรวจสอบโดย SBTi เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อน 1.5ºC

Logo

  • CEMEX เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ทั่วโลกที่ตรวจสอบเป้าหมายการลดคาร์บอนในปี 2030 ผ่าน SBTi เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อน 1.5ºC
  • เป้าหมายของ CEMEX เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ทะเยอทะยานที่สุดในอุตสาหกรรม

มอนเตร์เรย์, เม็กซิโก–(BUSINESS WIRE)–10 พฤศจิกายน 2022

CEMEX, S.A.B. de C.V. (“CEMEX”) ประกาศวันนี้ว่า ตนเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ทั่วโลกที่ตรวจสอบเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนในปี 2030 ผ่านโครงการ Science Based Targets (SBTi) เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อน 1.5ºC ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีความทะเยอทะยานที่สุดที่กำหนดไว้สำหรับอุตสาหกรรมนี้ การตรวจสอบนี้ประกอบด้วยเป้าหมายขอบเขต 1, 2 และ 3

CEMEX ผู้ผลิตคอนกรีตรายใหญ่ที่สุดของโลกตะวันตกและเป็นผู้นำระดับโลกด้านการผลิตปูนซีเมนต์ เร่งความพยายามในการกำจัดคาร์บอนผ่านโครงการ Future in Action ในปี 2021 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและมีการหมุนเวียนมากขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักในการเป็นบริษัทที่มี CO2  สุทธิเท่ากับศูนย์ ตั้งแต่นั้นมา บริษัทก็ประสบความสำเร็จในการลด CO2  ซึ่งเป็นการทำลายสถิติ และผลการดำเนินงานจนถึงปัจจุบันทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่เร็วขึ้นสำหรับปี 2030

Fernando A. González ซีอีโอของ CEMEX กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคเรา และอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างต้องเป็นคนแรกๆ ที่เริ่มกำจัดคาร์บอนให้กับสิ่งแวดล้อมที่สร้างขึ้น" “เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำบนเส้นทางสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์โดยอาศัยนวัตกรรมที่พัฒนาอยู่ตลอดและเป้าหมายเชิงรุกที่ได้รับการสนับสนุนจากความก้าวหน้าที่มีความหมายและวัดผลได้ การตรวจสอบความถูกต้องของ SBTi เป็นหลักฐานที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เรากำลังลดการปล่อยคาร์บอนในทุกส่วนของห่วงโซ่คุณค่าของเราโดยอาศัยโครงการ Future in Action และจัดหาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำให้แก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นส่วนหนึ่งของวิธีแก้ปัญหานี้”

Luiz Amaral ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโครงการ Science Based Targets กล่าวว่า "วิทยาศาสตร์ภูมิอากาศบอกว่าเราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วและมหาศาล หากเราต้องการบรรลุเป้าหมายที่โลกการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์" “ปัจจุบันหลายบริษัทเริ่มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าตามหลักวิทยาศาสตร์ และกำลังมีส่วนร่วมในการจำกัดไม่ให้โลกร้อนเกิน 1.5 °C และ CEMEX ก็เป็นหนึ่งในนั้น”

โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเป้าหมายของ CEMEX ที่ www.cemex.com/sustainability/future-in-action

โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SBTi ที่www.sciencebasedtargets.org

CEMEX (NYSE: CX) เป็นบริษัทวัสดุก่อสร้างระดับโลกที่กำลังสร้างอนาคตที่ดีกว่าผ่านผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่ยั่งยืน CEMEX มุ่งมั่นที่จะทำให้บริษัทบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง รวมถึงการวิจัยและการพัฒนาระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม CEMEX เป็นแนวหน้าของเศรษฐกิจหมุนเวียนในห่วงโซ่มูลค่าการก่อสร้าง และเป็นผู้บุกเบิกวิธีเพิ่มการใช้ของเสียและกากของเสียเป็นวัตถุดิบ และเชื้อเพลิงทางเลือกในดำเนินกิจการด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ CEMEX มีโซลูชั่นด้านปูนซีเมนต์ คอนกรีตผสมเสร็จ วัสดุผสม และการสร้างเมืองในประเทศที่กำลังเติบโตทั่วโลก ขับเคลื่อนโดยแรงงานข้ามชาติที่มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าแก่ลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: cemex.com

CEMEX ไม่มีภาระผูกพันในการปรับปรุงหรือแก้ไขข้อมูลในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าตามความหมายของกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา CEMEX ตั้งใจให้ข้อความที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้อยู่ภายใต้บทบัญญัติด้านความปลอดภัยสำหรับข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าในกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา ข้อความที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้สะท้อนถึงความคาดหวังและการคาดการณ์ในปัจจุบันของ CEMEX เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตโดยอิงจากความรู้ของ CEMEX เกี่ยวกับข้อเท็จจริงและสถานการณ์ในปัจจุบัน และสมมติฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต ตลอดจนแผนปัจจุบันของ CEMEX ตามข้อเท็จจริงและสถานการณ์ดังกล่าว ข้อความเหล่านี้จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจทำให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงแตกต่างไปอย่างมากจากที่ CEMEX คาดหวัง เนื้อหาของข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ควรตีความข้อมูลดังกล่าวหรือเนื้อหาอื่นใด เช่น คำแนะนำทางกฎหมาย ภาษี การลงทุน การเงิน หรือคำแนะนำอื่นๆ CEMEX จะไม่รับผิดชอบต่อเนื้อหาของเว็บไซต์หรือหน้าเว็บของบุคคลที่ 3 ที่อ้างอิงหรือเข้าถึงได้ผ่านข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สื่อประชาสัมพันธ์
Jorge Pérez
+52 (81) 8259-6666
jorgeluis.perez@cemex.com

นักวิเคราะห์และนักลงทุนสัมพันธ์
Alfredo Garza / Fabián Orta
+1 (212) 317-6011
+52 (81) 8888-4327
ir@cemex.com

แหล่งข้อมูล: CEMEX, S.A.B. de C.V.

เปิดตัวรถบรรทุกรุ่นใหม่จาก Dongfeng KL, KR ในประเทศเวียดนาม สู่การเดินทางครั้งใหม่ในต่างแดน

Logo

ดานัง เวียดนาม –(BUSINESS WIRE)–9 พฤศจิกายน 2022

วันที่ 4 พฤศจิกายน ปี 2022 Dongfeng จัดงานประชุมเปิดตัว DONGFENG KL และ DONGFENG KR อย่างยิ่งใหญ่ในเมืองดานัง ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นสถานที่เปิดตัวรถบรรทุกทั้งสองรุ่น

Dongfeng New Trucks KL, KR Unveiled in Vietnam

รถบรรทุกรุ่นใหม่ของ Dongfeng รุ่น KL, KR เปิดตัวในประเทศเวียดนาม

เวียดนามเป็นพันธมิตรสำคัญของ "ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" และเป็นตลาดต่างประเทศที่สำคัญต่อ Dongfeng อย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาถึงลักษณะของตลาดเวียดนามและความต้องการของลูกค้าอย่างถี่ถ้วน จึงทำให้ Dongfeng ได้อัปเกรดเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ การตลาด และการบริการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเปิดตัว DONGFENG KL กับ DONGFENG KR ที่ปรับโฉมใหม่หมดเพื่อให้มีความปลอดภัย เชื่อถือได้ ราคาประหยัด มีประสิทธิภาพ ชาญฉลาด และสะดวกสบายเหมาะสมกับตลาดเวียดนาม

หลังพิธีเปิดตัว ตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าได้ทดลองขับและสัมผัสประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้ของรถบรรทุกจาก Dongfeng อย่างใกล้ชิด ทุกคนต่างชื่นชมงานออกแบบที่ยึดผู้ใช้งานเป็นสำคัญ ความสะดวกในการใช้งาน และความสบายในการขับขี่รถโดยผ่านประสบการณ์และความรู้สึกส่วนตัว

หลังจากทดลองขับจริงแล้วผู้จัดการตัวแทนจำหน่ายของภูมิภาคกลางและภาคเหนือในประเทศเวียดนามกล่าวว่ารถบรรทุกจาก Dongfeng แพลตฟอร์มใหม่นี้ไม่เพียงแต่ทำให้ทุกคนได้สัมผัสรูปโฉมที่สดใหม่เท่านั้น แต่ยังยกระดับความสะดวกในการใช้งานและความสบายในการขับขี่ของแพลตฟอร์มควบคุมส่วนกลางของห้องผู้ขับ โดยเครื่องยนต์กำลังสูงที่ติดตั้งมากับตัวรถนั้นตอบโจทย์ความต้องการด้านโลจิสติกส์ของรถบรรทุกและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ในประเทศเวียดนามได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ตัวแทนจำหน่ายมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในการขายรถบรรทุกจาก Dongfeng ในอนาคต

นอกจากนี้ Dongfeng ยังคงเสริมความแข็งเกร่งให้กับกลยุทธ์ “ซอฟต์พาวเวอร์” ของแบรนด์และวางแผนชุดการส่งเสริมแบรนด์ฉบับแปลเป็นภาษาต่างๆ และกิจกรรมประชาสัมพันธ์ต่างๆ ต่อไป ซึ่งรวมถึงการโฆษณาทางโทรทัศน์ การโฆษณาบนป้ายโฆษณาบนท้องถนน รวมถึงโลโก้ VI แบบผสมผสานอีกด้วย

ในอนาคตทาง Dongfeng จะเจาะลึกลงในตลาดเวียดนามต่อไป พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพของยานพาหนะให้สอดคล้องกับการผันผวนของตลาดอย่างสม่ำเสมอ และบรรลุถึงความก้าวหน้าในกลุ่มตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ขั้นสูงรวมทั้งให้บริการในระดับมืออาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้าจึงเล็งเห็นถึงความยอดเยี่ยมในผลิตภัณฑ์แพลตฟอร์มใหม่ของ Dongfeng ทั้งในด้านรูปลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และราคาที่จับต้องได้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ช่องทางการติดต่อ

China Dongfeng Motor Industry Imp. & Exp. Co. Ltd
Fan Shaoyang
อีเมล: gjb-fansy@dfmc.com.cn
เว็บไซต์: http://www.dongfeng-global.com/
ประเทศ: China

แหล่งที่มา: China Dongfeng Motor Industry Imp. & Exp. Co. Ltd

การสำรวจของ FICO: 1 ใน 6 ของผู้บริโภคชาวไทยจะออกจากธนาคารที่ใช้บริการในปัจจุบันไปหาธนาคารคู่แข่งมากขึ้นหากพวกเขาไม่ได้รับการการตอบสนองต่อการหลอกลวง

Logo

ธนาคารไทยที่ต้องการรักษาลูกค้าไว้และต้องการเพิ่มจำนวนลูกค้า จำเป็นต้องปรับปรุงการวิธีการจัดการต่อการหลอกลวง

กรุงเทพมหานคร–(BUSINESS WIRE)–10 พฤศจิกายน 2565

ไฮไลท์

  • ผู้บริโภคชาวไทยประมาณ 1 ใน 6 (15%) จะเปลี่ยนไปใช้บริการธนาคารคู่แข่ง หากพวกเขารู้สึกไม่พอใจกับการตอบสนองด้านการจัดการต่อการหลอกลวงของธนาคารที่พวกเขาใช้บริการอยู่ในปัจจุบัน
  • คนไทยกังวลกับการหลอกลวงโดยการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี (ATO) มากที่สุด (33%) ตามมาด้วยการหลอกลวงเกี่ยวกับการใช่บัตร (22%)
  • 11 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคชาวไทยเชื่อว่าธนาคารสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่ทำอยู่เพื่อปกป้องพวกเขา

ผลสำรวจเรื่องการฉ้อโกงทั่วโลกล่าสุดโดย FICO เผยว่าผู้บริโภคชาวไทยประมาณ 1 ใน 6 คนจะเปลี่ยนไปใช้บริการธนาคารคู่แข่ง หากพวกเขารู้สึกไม่พอใจกับการจัดการต่อการหลอกลวง  ฉ้อโกง ของธนาคารที่พวกเขาใช้บริการอยู่ ประเด็นที่สำคัญคือช่วงหลังการระบาดครั้งใหญ่ ผู้บริโภคเกือบ 3 ใน 4 กล่าวว่าพวกเขาจะยังคงทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดทางออนไลน์ต่อไปและพวกเขาตระหนักมากขึ้นถึงความจำเป็นในการป้องกันการฉ้อโกงทางออนไลน์อย่างแข็งแกร่ง

ในตลาดที่มีผู้บริโภคที่ทำธุรกรรมผ่านธนาคารประมาณ 56 ล้านราย ผู้บริโภคชาวไทย 1 ใน 6 ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีคนมากกว่า 8 ล้านคนที่เปลี่ยนไปใช้บริการธนาคารคู่แข่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถาบันสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ดีที่สุด

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.fico.com/en/latest-thinking/ebook/fico-consumer-fraud-survey-2021-thailand

คนไทยกังวลมากที่สุดกับการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี  (ATO) ทว่าอาจถูกละเลยเมื่อเทียบกับภัยคุกคามอื่น

ผลสำรวจจากหลายสิบประเทศเผยว่า ประเทศไทยมีอัตราการฉ้อโกงโดยการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี (ATO) สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตแอบอ้างเพื่อเป็นผู้ควบคุมบัญชี ในความเป็นจริง ผู้บริโภคชาวไทยหนึ่งในสี่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมประเภทนี้ เมื่อเทียบกับ 18% ของค่าเฉลี่ยของทั่วโลก

ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคชาวไทยจึงตื่นตัวต่อภัยคุกคามจากการฉ้อโกงโดยการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี (ATO) มากที่สุด หนึ่งในสามกล่าวว่าการฉ้อโกงประเภทนี้ทำให้พวกเขากังวลมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียง 79 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เคยประสบปัญหาการฉ้อโกงโดยการแอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี (ATO) เท่านั้นที่ได้รายงานการฉ้อโกงไปยังธนาคารของตน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอัตราการรายงานอาจไม่สะท้อนให้เห็นขอบเขตที่แท้จริงของปัญหาดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน ยังมีกลโกงอื่น ๆ ที่คนไทยอาจให้ความสนใจไม่เพียงพอ ตัวอย่างเช่น แม้ว่าผู้บริโภคชาวไทย 78 เปอร์เซ็นต์วางแผนที่จะใช้การชำระเงินแบบเรียลไทม์ในปีต่อ ๆ ไป แต่มีเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่กังวลกับการถูกหลอกให้ส่งเงินให้มิจฉาชีพมากที่สุด ซึ่งเป็นประเภทของอาชญากรรมที่เรียกว่าการฉ้อโกงแบบ Authorized Push Payment (APP)

คุณ CK Leo ผู้นำด้านการจัดการการฉ้อโกง การรักษาความปลอดภัย และอาชญากรรมทางการเงินในเอเชียแปซิฟิกของ FICO กล่าวว่า "การฉ้อโกงแบบ APP กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากเราเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วในการใช้การชำระเงินแบบเรียลไทม์ มิจฉาชีพให้ความสนใจต่อการฉ้อโกงนี้เนื่องจากพวกเขาสามารถนำเงินออกจากบัญชีได้ทันที ทำให้พวกเขาสามารถหลอกเหยื่อแล้วฟอกเงินผ่านบัญชีหลายบัญชีได้”

"การป้องกันการชำระเงินแบบเรียลไทม์ต้องใช้ระบบวิเคราะห์ที่ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของลูกค้า เช่น การใช้บัญชีหรืออุปกรณ์ที่อยู่นอกเหนือจากนิสัยปกติของพวกเขา ตลอดจนความผิดปกติตามมาตรฐานอื่น ๆ เช่น ช่วงเวลาหรือความถี่ในการโอน FICO พบว่าการใช้การรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อระบุการฉ้อโกงให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ โดยตรวจพบธุรกรรมการฉ้อโกงเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์"

สร้างสมดุลในการป้องกันการฉ้อโกงอย่างแข็งแกร่งด้วยความสะดวกสบาย

เนื่องด้วยอัตราการรายงานการฉ้อโกงที่ค่อนข้างต่ำ (39%) ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในประเทศไทย (87%) กล่าวว่าธนาคารของตนดำเนินการเพียงพอที่จะรักษาเงินของพวกเขาให้ปลอดภัย มีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่คิดว่าธนาคารสามารถทำได้มากกว่านี้ แต่เปอร์เซ็นต์นี้ก็ยังคงเทียบเท่ากับผู้บริโภคมากกว่า 6 ล้านคนที่มีทัศนคติเชิงลบ

ในด้านความสะดวกสบาย ผู้บริโภคครึ่งหนึ่งในประเทศไทยรู้สึกหงุดหงิดใจมากที่สุดจากการแจ้งเตือนการทำธุรกรรมเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่ล่าช้าหรือไม่มีเลย หนึ่งในสาม (33%) ไม่ชอบธนาคารที่เปลี่ยนวิธีการที่ใช้ในการยืนยันตัวตนของลูกค้า

คูณ Leo อธิบายว่า "การใช้วิธีชำระเงินแบบดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่เพียงขยายช่องทางให้มีการโจมตีในการฉ้อโกงมากขึ้น แต่ยังทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกค้าที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างความต้องการในด้านการจัดการต่อการฉ้อโกงที่เหนือกว่ากับความต้องการในด้านการสื่อสารของลูกค้า การยืนยันตัวตน และการกำหนดการยืนยันตามความพึงพอใจที่สะดวกกว่า"

การรับรู้ด้านความปลอดภัยคือทุกสิ่งทุกอย่าง

ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยกับความพึงพอใจในด้านการใช้งานของผู้คนด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บริโภคชาวไทย 41 เปอร์เซ็นต์พึงพอใจที่จะตรวจสอบการชำระเงินด้วยการโทร ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม 11 เปอร์เซ็นต์ถึงเกือบสี่เท่า ในทางตรงกันข้าม มีผู้บริโภคชาวไทยเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่พึงพอใจที่จะตรวจสอบการชำระเงินผ่านข้อความ เทียบกับกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มเดรยวกัน ส่วนช่องทางอื่น ๆ รวมถึงแอพปลิเคชันธนาคาร แอปส่งข้อความของบุคคลที่สาม และอีเมลนั้นคล้ายคลึงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มทั่วโลก

ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าในขณะที่ผู้บริโภคในประเทศไทยเป็นผู้นำในด้านการใช้บริการธนาคารดิจิทัลและการชำระเงินแบบเรียลไทม์ พวกเขามีช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและมีความพอใจในการใช้งานธนาคาร ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีช่องทางดิจิทัลอื่น ๆ แล้ว

คุณ Leo ยังกล่าวอีกว่า "ผู้คนพัฒนาความรู้สึกไว้วางใจและสบายใจกับวิธีการกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการกระทำเหล่านั้นปกป้องพวกเขาจากการฉ้อโกง ด้วยเหตุนี้ ลูกค้าจึงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการพัฒนาความมั่นใจในวิธีการรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ แม้ว่าจะดีกว่าเดิมก็ตาม ธนาคารจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่น และต้องหาวิธีเพื่อนำเสนอช่องทางใหม่ ๆ ที่น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ และสะดวกยิ่งขึ้น"

แบบสำรวจนี้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2021 โดยบริษัทวิจัยอิสระรายหนึ่งและยึดถือตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการวิจัย จากการสำรวจความคิดเห็นของชาวไทยที่บรรลุนิติภาวะ 1,000 คน และผู้บริโภค 11,028 รายในบราซิล แคนาดา ชิลี โคลอมเบีย เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

เกี่ยวกับ FICO

FICO (NYSE: FICO) ขับเคลื่อนการตัดสินใจต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้คนและธุรกิจทั่วโลกประสบความสำเร็จ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1956 และเป็นผู้บุกเบิกการใช้การวิเคราะห์เชิงทำนายและวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจด้านการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น FICO มีสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ จำนวนกว่า 205 ฉบับ ซึ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มผลกำไร ความพึงพอใจของลูกค้า และการเติบโตของธุรกิจในด้านบริการทางการเงิน โทรคมนาคม บริการดูแลด้านสุขภาพ การค้าปลีก และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ธุรกิจในกว่า 120 ประเทศใช้โซลูชันของ FICO ดำเนินการทุกอย่าง ตั้งแต่ป้องกันการฉ้อโกงบัตรเครดิต/บัตรเดบิต 2.6 พันล้านใบ ช่วยเหลือให้ผู้คนได้รับเครดิตสินเชื่อ ตลอดจนช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องบินและรถเช่าหลายล้านคันจะอยู่อย่างถูกที่ถูกเวลา

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.fico.com

เข้าร่วมพูดคุยกันได้ที่ https://twitter.com/fico และ http://www.fico.com/en/blogs/

เพื่อดูข่าวสารและทรัพยากรสื่อของ FICO โปรดไปที่ www.fico.com/news

FICO เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท Fair Isaac Corporation ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ช่องทางการติดต่อ

Neil Mirano
RICE for FICO
+65 3157 5680
neil.mirano@ricecomms.com

Saxon Shirley
FICO
+65 9171 0965
saxonshirley@fico.com

ที่มา: FICO

Mary Kay Inc. เฉลิมฉลองการปลูกต้นไม้มากกว่า 1.2 ล้านต้นทั่วโลก

Logo

ดัลลาส–(BUSINESS WIRE)–9 พฤศจิกายน 2022

เมื่อผู้นำระดับโลกมาประชุมกันที่การประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ UN (COP 27) ในเดือนนี้ Mary Kay Inc. ผู้สนับสนุนระดับโลกด้านความยั่งยืนขององค์กรและการให้บริการดูแล ได้ประกาศความสำเร็จของโครงการปลูกป่าขนาด 69 เอเคอร์ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่การจัดการสัตว์ป่า Econfina Creek ในรัฐฟลอริดา โดยร่วมมือกับมูลนิธิ Arbor Day Foundation จนถึงปัจจุบัน Mary Kay Inc. ได้ปลูกต้นไม้มากกว่า 1.2 ล้านต้นกับพันธมิตรทั่วโลก

(Graphic: Mary Kay Inc.)

(ภาพกราฟิก: Mary Kay Inc.)

มูลนิธิ Arbor Day Foundation และ Mary Kay ร่วมมือกับเขตการจัดการน้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือของฟลอริดาเพื่อปลูกต้นสนใบยาวจำนวน 43,000 ต้น ซึ่งจะช่วยปกป้องแหล่งน้ำที่สำคัญในเบย์เคาน์ตี รัฐฟลอริดา ประโยชน์หลัก ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพของโครงการ ได้แก่

  • ฟื้นฟูและรักษาแหล่งน้ำดื่มหลักสำหรับเบย์เคาน์ตี รัฐฟลอริดา
  • ปลูกทดแทนพันธุ์ไม้พื้นเมืองเพื่อให้พื้นที่นี้กลับคืนสู่สภาวะตามธรรมชาติ
  • ปรับปรุงที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในพื้นที่ เช่น กวาง นกกระทาบ็อบไวท์ สุนัขจิ้งจอกเชอร์แมน และเต่าโกเฟอร์

“พันธมิตรอย่าง Mary Kay ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในระดับโลกซึ่งจำเป็นต่อการขับเคลื่อนให้เกิดผลกระทบที่มีความสำคัญผ่านต้นไม้” กล่าวโดย Dan Lambe ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของมูลนิธิ Arbor Day Foundation “เรารู้สึกขอบคุณที่พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมในภารกิจของเรา และหวังว่าจะได้แก้ไขปัญหาเร่งด่วน เช่น การตัดไม้ทำลายป่าและการฟื้นฟูระบบนิเวศร่วมกันในอนาคต”

Arbor Day Foundation ประมาณการ* ว่าผลกระทบตลอด 40 ปีจะส่งผลดังนี้

  • กักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิ 57,387.3 เมตริกตัน
  • กำจัดมลพิษทางอากาศ 165.6 ตัน
  • สกัดกั้นปริมาณน้ำฝน 2,455,300 แกลลอน

"ต้นไม้เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับฮีโร่มากที่สุดที่โลกของเรามี" Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay Inc. กล่าว "ต้นไม้เหล่านี้ดูดซับคาร์บอน ปรับปรุงคุณภาพน้ำ และผลิตออกซิเจนที่จำเป็น พลังของต้นไม้ไม่มีที่เปรียบ ซึ่งเป็นเหตุผลให้ Mary Kay Inc. ลงทุนอย่างหนักในโครงการปลูกป่าทั่วโลก”

เมื่อต้นปีนี้ Mary Kay ได้เผยแพร่รายงานที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานกับมูลนิธิ Arbor Day Foundation โดย Mary Kay Inc. และมูลนิธิ Arbor Day Foundation ร่วมกันปลูกต้นไม้กว่า 1.2 ล้านต้นทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบที่มากพอจนประเมินได้ต่อระบบนิเวศป่าไม้ที่สำคัญ

หากต้องการอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของ Mary Kay ในด้านความยั่งยืน

โปรดไปที่ marykayglobal.com/sustainability และดาวน์โหลดกลยุทธ์ความยั่งยืนระดับโลกของ Mary Kay ในหัวข้อ Enriching Lives Today for a Sustainable Tomorrow

*การประเมินผลกระทบโดยใช้ i-Tree ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์ที่ล้ำสมัยและได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญจาก USDA Forest Service ที่ให้บริการเครื่องมือวิเคราะห์และประเมินผลป่าไม้ในเขตเมืองและในชนบท

เกี่ยวกับ Arbor Day Foundation

มูลนิธิ Arbor Day Foundation ก่อตั้งขึ้นในปี 1972 และเติบโตขึ้นจนกลายเป็นองค์กรสมาชิกไม่แสวงหากำไรที่ใหญ่ที่สุดที่อุทิศตนเพื่อการปลูกต้นไม้ โดยมีสมาชิก ผู้สนับสนุน และพันธมิตรที่มีคุณค่ามากกว่าหนึ่งล้านคน ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา มีการปลูกต้นไม้เกือบ 500 ล้านต้นในละแวกบ้าน ชุมชน เมือง และป่าไม้ทั่วโลก วิสัยทัศน์ของเราคือการนำไปสู่โลกที่นำต้นไม้มาใช้ในการแก้ปัญหาที่สำคัญต่อการอยู่รอด

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในมูลนิธิอนุรักษ์ที่ดำเนินงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลนิธิ Arbor Day Foundation ได้ให้ความรู้และดึงดูดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและชุมชนทั่วโลกให้มีส่วนร่วมในภารกิจการปลูกต้นไม้ บำรุงเลี้ยง และเฉลิมฉลองต้นไม้ผ่านทางสมาชิก พันธมิตร และโครงการต่าง ๆ โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ arborday.org

เกี่ยวกับ Mary Kay Inc.

Mary Kay Ash หนึ่งในผู้ผลิตฝ้าเพดานกระจกรุ่นดั้งเดิม ได้ก่อตั้งบริษัทความงามในฝันของเธอในปี 1963 โดยมีเป้าหมายเดียวคือทำให้ชีวิตผู้หญิงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานจนกลายเป็นบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ ในฐานะบริษัทพัฒนาผู้ประกอบการ Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้หญิงในเส้นทางเดินของพวกเธอผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน เครือข่าย และนวัตกรรม Mary Kay ทุ่มเทให้กับการลงทุนในด้านวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัย ​​เครื่องสำอาง อาหารเสริม และน้ำหอม Mary Kay เชื่อมั่นในการทำให้ชีวิตดีขึ้นในวันนี้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยร่วมมือกับองค์กรจากทั่วโลกที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความเป็นเลิศทางธุรกิจ สนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ปกป้องผู้รอดชีวิตจากการทารุณกรรมในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำตามความฝัน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบกับเราได้บน FacebookInstagram และ LinkedIn หรือติดตามเราได้บน Twitter

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/20221108005288/en/

ข้อมูลติดต่อ

Mary Kay Inc.
Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

แหล่งข้อมูล: Mary Kay Inc.





Gradiant ได้รับสัญญามูลค่ามากกว่า 30 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายนเพื่อให้บริการแก่อุตสาหกรรมที่สำคัญทั่วโลก

Logo

ลูกค้าอุตสาหกรรมโลกทั่วโลกกำลังใช้ชุดเทคโนโลยีเต็มรูปแบบของ Gradiant เพื่อนำความยั่งยืนมาสู่ห่วงโซ่อุปทานของพวกเขา

บอสตัน–(บิสิเนส ไวร์)–11 พฤศจิกายน. 2565

Gradiant ผู้ให้บริการโซลูชั่นน้ำระดับโลก ประกาศสัญญามูลค่ารวมกว่า 30 ล้านดอลลาร์ เงินทุนนี้มาจากสัญญากับลูกค้าเจ็ดรายที่ได้รับในเดือนกันยายน ประกอบด้วยบริษัทข้ามชาติด้านในเซมิคอนดักเตอร์ (สำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์) บริษัทอุปกรณ์ป้องกันทางอุตสาหกรรม (ออสเตรเลีย) อาหารและเครื่องดื่ม (เบลเยียมและสหรัฐอเมริกา) เภสัชกรรม (อินเดีย) และโครงสร้างพื้นฐาน (ออสเตรเลีย)  Gradiant จะปรับใช้โซลูชันด้านการบริหารน้ำขั้นสูงและการบำบัดน้ำเสียเพื่อให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเหล่านี้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ลดต้นทุนการดำเนินงาน และรับรองความต่อเนื่องทางธุรกิจ

Gradiant จะออกแบบ-สร้างโรงบำบัดน้ำเสียสำหรับโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่ในสิงคโปร์ โดยจะจัดส่งตามกำหนดการเร่งรัดเพื่อให้การผลิตชิปสามารถเริ่มต้นได้ในต้นปี 2566 โปรเจ็กต์นี้รวม RO Infinity สำหรับน้ำบริสุทธิ์พิเศษและการสกัดสารปนเปื้อน Selective Contaminant เพื่อบำบัดและแยกของเสียที่ซับซ้อนเพื่อให้ได้การกู้คืนมากกว่า 80% ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมสำหรับโรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์ของสิงคโปร์มีอัตราการรีไซเคิลที่ 43%

โครงการที่สองมีไว้สำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์ป้องกันอุตสาหกรรมชั้นนำ โครงการนี้ตั้งอยู่ที่พื้นที่สีเขียวในอินเดีย ซึ่ง Gradiant จะส่งระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดของเสียเป็นศูนย์ (ZLD)  โรงงานดังกล่าวจะมีคุณลักษณะ Carrier Gas Extraction (CGE) ของ Gradiant สำหรับ ZLD และ SmartOps สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเครื่องปฏิกรณ์ชีวภาพแบบเมมเบรน (membrane biological reactor – MBR) สำหรับการบำบัดน้ำเสียขั้นสูง  นอกเหนือจากวิศวกรรมและการจัดหาระบบแล้ว Gradiant จะจัดให้มีการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานอย่างครอบคลุมให้แก่พนักงานลูกค้าก่อนที่โรงงานเริ่มดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ปี 2566

"เราภูมิใจที่ลูกค้าจำนวนมากขึ้นทั่วโลกกำลังนำโซลูชันของ Gradiant มาใช้เพื่อปรับปรุง ประสิทธิภาพการดำเนินงานและต้นทุนของสิ่งอำนวยความสะดวก และการลดการปล่อยคาร์บอนและน้ำ” Prakash Govindan ซีโอโอของ Gradiant กล่าว “รางวัลโครงการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่น่าสนใจของเทคโนโลยีเต็มรูปแบบของ Gradiant เรายังคงเติบโตต่อไปด้วยการนำเสนอโซลูชั่นที่สมบูรณ์สำหรับแอพพลิเคชั่นอุตสาหกรรมที่หลากหลายและมีคุณภาพสูง”

Gradiant ยังได้รับสัญญาสำหรับ:

  • การบำบัดน้ำที่โรงเบียร์ในแอฟริกาสำหรับลูกค้าด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ติดอันดับ Fortune 500
  • การบำบัดน้ำที่โรงงานผลิตยาในมาเลเซียสำหรับลูกค้าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
  • การบำบัดน้ำเสียและการกำจัดสารอินทรีย์ในอัตราสูงที่โรงงานผลิตส่วนผสมอาหารในประเทศมาเลเซียสำหรับลูกค้าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
  • โครงการบำบัดน้ำเสียสองโครงการสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่โดยหน่วยงานรัฐบาลของรัฐนิวเซาท์เวลส์ (ออสเตรเลีย)

“ด้วยการร่วมมือกับ Gradiant ลูกค้าอุตสาหกรรมทั่วโลกสามารถนำความยั่งยืนมาสู่การดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทานของพวกเขา” Govind Alagappan ประธานฝ่ายปฏิบัติการระดับโลกของ Gradiant กล่าว “เรามุ่งเน้นที่การบำบัด เพิ่มประสิทธิภาพ และการจัดการน้ำทุกอย่าง Gradiant จะพยายามช่วยเหลืออุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลกเพื่อทำให้ชีวิตของผู้คนปลอดภัยขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น และดีขึ้น”

เกี่ยวกับ Gradiant

Gradiant เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นระดับโลกสำหรับการบำบัดน้ำเสียขั้นสูง ด้วยชุดโซลูชั่นแบบ end-to-end ที่แตกต่างและเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Gradiant ที่ขับเคลื่อนโดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ  Gradiant ให้บริการแก่ลูกค้าในการดำเนินงานที่สำคัญต่อภารกิจในอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลก  Gradiant ก่อตั้งขึ้นที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ซ้ำใครในการจัดการกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นของโลกที่เกิดจากอุตสาหกรรม การเติบโตของประชากร และความต้องการทางน้ำ  ปัจจุบัน Gradiant มีพนักงานมากกว่า 450 คน ดำเนินงานจากสำนักงานใหญ่ระดับโลกในบอสตัน มีสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค และห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีระดับโลกในสิงคโปร์ และสำนักงานใน 12 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยม www.gradiant.com

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20220927005112/en/

ติดต่อองค์กร:
Felix Wang
รองประธานฝ่ายการตลาด Gradiant
fwang@gradiant.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Aurora, Bangkok Bank, Farmhouse, Café Amazon ร่วมรับรางวัลแบรนด์ ออฟ เดอะ เยียร์ อวอร์ด ประจำปี 2022

Logo

ลอนดอน –(BUSINESS WIRE)–7 พฤศจิกายน 2022

ในการประกาศรางวัล World Branding Awards ครั้งที่ 15 มีแบรนด์มากกว่า 3,500 แบรนด์จากประเทศต่างๆ มากกว่า 45 ประเทศได้รับการประกาศชื่อให้เป็น “แบรนด์ ออฟ เดอะ เยียร์” ในจำนวนนี้ มีน้อยกว่า 250 แบรนด์ที่ได้รับการประกาศรางวัล มีแขกผู้เข้าร่วมพิธีมอบรางวัล 100 คนจากทั่วโลกมาร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จของแบรนด์ที่ดีที่สุดในโลก ณ พระราชวังเค็นซิงตัน ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีมอบรางวัล

Lurpak, Club Med, Yakult, Spotify, CoCo, Ikea, Amazon, Netflix, Neutrogena, Lego, Cadbury, Johnnie Walker, Hennessy ได้รับการประกาศให้เป็นแบรนด์ที่ได้รับรางวัลระดับโลกในพิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าว

แบรนด์จากไทยที่ได้รับรางวัล ได้แก่ Aurora, Bangkok Bank, Farmhouse, Café Amazon, Gems Pavillion, King Power, PTT Station, Siam Paragon, Thai Life Insurance, True Online, Mk Suki, M-150, Twelve Plus สำหรับแบรนด์อื่นๆ ที่ได้รับรางวัลระดับประเทศ ได้แก่ Alibaba (จีน), Dior (ฝรั่งเศส), Haribo (เยอรมนี), Janji Jiwa (อินโดนีเซีย), Sprite (เคนย่า), Toast Box (สิงคโปร์), Sparco (อิตาลี) เป็นต้น

มีเพียง 17 แบรนด์ที่ได้รับรางวัลระดับภูมิภาคปีนี้ ได้แก่ Bosch, Media Markt, Sennheiser, SoundCloud, Al Abraaj Restaurants, Huawei, Carrefour, Optical 88, MR. D.I.Y., Elkjøp, BreadTalk, Naturgy, H&M, Walrus Pump, Gems Pavilion และ CBRE โดยแบรนด์เหล่านี้ได้รับการโหวตให้เป็นแบรนด์โปรดของผู้บริโภคในอย่างน้อย 4 ประเทศของพื้นที่ในภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ 3 แห่งขึ้นไป

“พิธีนี้เป็นการเฉลิมฉลองแบรนด์ที่ดีที่สุดจากทั่วโลก รางวัลดังกล่าวเป็นเสมือนการยอมรับในความอุตสาหะที่ทีมงานของแต่ละแบรนด์ได้ทุ่มเทอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยในการทำงาน เพื่อสร้างและรักษาแบรนด์ของตนเองไว้ในตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด” คุณ Danny Pek กรรมการบริหาร World Branding Forum กล่าว

“ปีนี้มีผู้บริโภคเข้าร่วมกระบวนการเสนอชื่อมากกว่า 150,000 คนจากทั่วโลก โดยเฉลี่ยแล้วจะมีแบรนด์ที่ได้รับรางวัลในแต่ละประเทศอยู่เพียง 5 แบรนด์ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นต่อไปอีกว่าการได้รับรางวัล World Branding Awards นั้นเป็นความสำเร็จอันโดดเด่นอย่างแท้จริง” คุณ Richard Rowles ประธาน World Branding Forum กล่าว

งานนี้ดำเนินรายการโดย Jemma Forte พิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง และนำเสนอข้อมูลเชิงลึกสุดพิเศษเกี่ยวกับผู้บริโภคในอนาคตโดย Chris Sanderson ผู้ร่วมก่อตั้ง 'The Future Laboratory' ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกด้านผู้บริโภคและการให้คำปรึกษาด้านการพยากรณ์แนวโน้มชื่อดัง

หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมและรายชื่อแบรนด์ทั้งหมดที่ได้รับรางวัล โปรดไปที่ awards.brandingforum.org

###

เกี่ยวกับรางวัล World Branding Awards

รางวัล World Branding Awards เป็นรางวัลชั้นนำของ World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่จดทะเบียน โดยรางวัลดังกล่าวจะมอบเพื่อยกย่องความสำเร็จของแบรนด์ที่ดีที่สุดในโลก หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ https://awards.brandingforum.org

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Media Team
media@brandingforum.org
+44(0)2037439880

ที่มา: World Branding Awards

upGrad เปิดตัว 10 วิทยาเขตทั่วโลก ตั้งเป้าจ้างดุษฎีบัณฑิต 1,000 คน

Logo

บริษัทตั้งเป้าที่จะพิชิต Indian Edtech Global โดยการสร้างสถาบันเทคโนโลยีอุบัติใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ATLANTA–(BUSINESS WIRE)–7 พฤศจิกายน 2022

Edtech major และบริษัทการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย upGrad ได้ประกาศย่างก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการศึกษาระดับอุดมศึกษาแบบออฟไลน์ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ UGDX” ซึ่งย่อมาจาก upGrad ที่ผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลอุบัติใหม่อย่างมหาศาล ปัจจัย "X" ของ UGDX ได้รับการเพิ่มเข้ามาโดย Data Science ที่เพิ่งได้รับมา, AI, สถาบันออฟไลน์ที่เน้น ML – INSOFE

ด้วยการลงทุน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ UGDX จะเปิดสถาบัน 10 แห่งในปีหน้า โดยมี 3 แห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสถาบันในซานฟรานซิสโกจะเปิดให้บริการในเดือนมกราคม ปี 2023 และ 5 แห่งในอินเดียทั่วเดลีและเจนไนเพื่อเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ในมุมไบ ไฮเดอราบัด และบังกาลอร์ ส่วนในสิงคโปร์และตะวันออกกลางจะมีที่ละ 1 สถาบัน

UGDX มีกำหนดจะถึงจุดคุ้มทุนในการดำเนินงานใน 5 (ห้า) ไตรมาสจากการเปิดตัว แผนดังกล่าวยังมีการรับสมัครคณาจารย์ในพื้นที่ต่าง ๆ และจะต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อรวมวิทยาเขต คณาจารย์ และองค์กรเข้าด้วยกันอย่างราบรื่นภายในระบบนิเวศเดียว UGDX เชี่ยวชาญในด้าน AI, Machine Learning, Cybersecurity, Blockchain, Connected Devices, IOT, Quantum Computing, Digital Management, Leadership courses และ The Cloud และจะนำเสนอหลักสูตรประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกในสาขาเหล่านี้

“ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของเราที่จะกลายเป็นบริษัท Higher Edtech แบบบูรณาการเต็มรูปแบบแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งครอบคลุมผู้เรียนในวิทยาลัยและผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานตั้งแต่อายุ 18 ถึง 60 ปีขึ้นไป นี่เป็นการขยับขยายตามธรรมชาติเมื่อเราเปลี่ยนไปใช้ระบบออฟไลน์และออนไลน์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวภายใต้แบรนด์ upGrad ของเราเอง” กล่าวโดย Ronnie Screwvala ผู้ร่วมก่อตั้งและประธาน upGrad

“โปรแกรม Work-Integrated Education ของ UGDX มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและแตกต่างจากมหาวิทยาลัยทั่วไป DNA ของเราจะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม และเรากำลังสร้างโปรแกรมที่จะเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาช่วยพลิกโฉมองค์กรต่าง ๆ การมีส่วนร่วมที่หลากหลายกับการเชื่อมต่อในอุตสาหกรรมจะช่วยให้ผู้เรียนของเรามีประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงตั้งแต่วันแรก โปรแกรมทั้งหมดของเรามีจำนวนโครงการรวบยอดความรู้จากการปฏิบัติเข้ากับหลักฐานเชิงประจักษ์ (capstone) และงานโครงการอย่างน้อยสองเท่าเมื่อเทียบกับโปรแกรมดั้งเดิม” กล่าวโดย ดร. Dakshinamurthy Kolluru ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ upGrad INSOFE ผู้ที่จะเป็นผู้นำของ UGDX ทั้งนี้ เขากล่าวเพิ่มเติมว่า "UGDX ทุกแห่งจะมีหน่วยบ่มเพาะเพื่อลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญาและส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่เพื่อกำหนดแนวคิดและสร้างสิทธิบัตรซึ่งจะได้รับการพัฒนาและเลี้ยงดูภายในสถาบันเอง"

ดร. Sridhar Pappu ประธาน UGDX กล่าวว่า "ในฐานะสถาบันชั้นนำ ผลกระทบต่อผู้เรียนและสังคมโดยรวมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเรา ดังนั้น คณาจารย์ที่ UGDX จะทำงานร่วมกับวิทยาลัยหลายแห่งในพื้นที่ใกล้เคียง และออกแบบโปรแกรมพัฒนาคณาจารย์ โปรแกรมอบรมเพื่อจุดประสงค์เฉพาะ (bootcamp) และโรงเรียนภาคฤดูร้อนฟรีสำหรับนักศึกษาที่ด้อยโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในทุกระดับ”

เกี่ยวกับ upGrad

upGrad เริ่มต้นในปี 2015 เป็นผู้บุกเบิกการปฏิวัติการศึกษาออนไลน์ โดยมุ่งเน้นที่การขับเคลื่อนความสำเร็จในอาชีพให้กับคนทำงานทั่วโลกกว่า 1.3 พันล้านคน เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) แบบบูรณาการไม่กี่แห่งในโลก ซึ่งครอบคลุมผู้เรียนในระดับวิทยาลัยไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานตั้งแต่กลุ่มอายุ 18-50 ปีและข้ามหลักสูตรระดับปริญญาตรี, หลักสูตร Campus & Job Linked, การศึกษาต่อต่างประเทศ, หลักสูตรระยะสั้นสำหรับหลักสูตรผู้บริหาร ไปจนถึงระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ด้วยฐานผู้เรียนมากกว่า 3 ล้านคนในกว่า 100 ประเทศและพันธมิตรมหาวิทยาลัยมากกว่า 300 รายและธุรกิจองค์กรที่แข็งแกร่งพร้อมฐานลูกค้ากว่า 1,000 บริษัททั่วโลก

Global Learning Engine ของ upGrad ตั้งอยู่บนสี่เสาหลักดังนี้ (ก) พื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของเนื้อหาต้นฉบับที่เป็นเจ้าของและ IP, (ข) แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ที่ดีที่สุดในระดับเดียวกัน, (ค) บริการจัดส่งแบบไฮทัชที่นำโดยคน ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยโค้ชและพี่เลี้ยง และ (ง) สถิติความสำเร็จของหลักสูตร 85% โดยได้รับการสนับสนุนจากผลงานอีก 80% ที่รับประกันประสิทธิภาพ

เรียกได้ว่าเป็นผู้นำด้าน EdTech ระดับสูงของเอเชียแล้ว โดยมีสำนักงานในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง อินเดีย สิงคโปร์ และเวียดนาม และมีสำนักงานอยู่ในอีกหลายประเทศ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Pragya Jha, upGrad, pragya.jha@upgrad.com

แหล่งข้อมูล: upGrad

Azbil เปิดตัวตัวควบคุมแบบ Single Loop ที่มีความแม่นยำสูงพร้อมการตอบสนองที่รวดเร็ว – ลดภาระของบุคลากร ตั้งแต่การติดตั้งไปจนถึงการบำรุงรักษา –

Logo

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–7 พฤศจิกายน 2022

Azbil Corporation (TOKYO:6845) ได้เริ่มจำหน่ายตัวควบคุมแบบ single loop รุ่น C1A ซึ่งมีความแม่นยำสูงและตอบสนองรวดเร็ว และลดภาระของบุคลากร ตั้งแต่การติดตั้งไปจนถึงการบำรุงรักษา

Tokyo-based Azbil Corporation has launched the model C1A single loop controller for use in the factory automation market (Photo: Business Wire)

Azbil Corporation ในโตเกียวได้เปิดตัวตัวควบคุมแบบ single loop รุ่น C1A สำหรับใช้ในตลาดโรงงานผลิตด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ (ภาพ: Business Wire)

แม้จะมีขนาดแผงด้านหน้าที่กะทัดรัด 48×48 มม. แต่ C1A ก็มีความแม่นยำสูงถึง ±0.1% ของค่าที่อ่านได้ (สำหรับเทอร์โมคัปเปิลหรือ Pt100 RTD) และการตอบสนองที่รวดเร็วด้วยรอบการสุ่มตัวอย่าง 25 มิลลิวินาที และมาพร้อมกับฟังก์ชันช่วยทุ่นแรงที่หลากหลายสำหรับแหล่งผลิต

ตัวควบคุมแบบ single loop จะเปรียบเทียบสัญญาณจากเซ็นเซอร์ด้วยค่าที่ตั้งไว้ ดำเนินการควบคุม PID*1 ตามค่าเบี่ยงเบน และสัญญาณควบคุมเอาต์พุตไปยังหัวขับเพื่อรักษาเป้าหมายการควบคุม (อุณหภูมิ ความดัน อัตราการไหล ฯลฯ) ให้อยู่ในระดับที่ถูกต้อง ตัวควบคุมเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในโรงงานและโรงงานผลิต Azbil มีตัวควบคุมแบบ single loop พร้อมฟังก์ชันต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการใช้งานในตลาดโรงงานผลิตด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ

ตามที่ระบุโดยโรงงานผลิตสารกึ่งตัวนำ (semiconductor) อุปกรณ์ขนาดกะทัดรัดและมีประสิทธิภาพสูงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพิ่มผลผลิตในพื้นที่โรงงานที่จำกัด ความต้องการสำหรับอุปกรณ์ เช่น ตัวควบคุมแบบ single loop ที่รวมอยู่ในอุปกรณ์อื่น ๆ กำลังเพิ่มขึ้นสำหรับขนาดที่เล็กลงและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังถือเป็นสิ่งสำคัญในขณะที่อุปกรณ์กำลังทำงาน เพื่อลดช่วงเวลาที่เครื่องไม่ทำงานโดยการรักษาความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะของกระบวนการอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันปัญหา อีกทั้งเพื่อรับมือกับปัญหา เช่น การลดลงของแรงงานที่มีทักษะและการขาดแคลนแรงงาน อุตสาหกรรมการผลิตได้หันไปใช้วิธีการปรับ PID ที่ใช้งานง่ายและสะดวกกว่า แทนที่จะใช้วิธีที่ต้องใช้คนงานที่มีประสบการณ์

แม้จะมีขนาดกะทัดรัด แต่ C1A ก็มีความแม่นยำสูงและตอบสนองด้วยความเร็วสูง ตัวบ่งชี้หลายสถานะช่วยให้บุคลากรในสถานที่สามารถเข้าใจสถานะกระบวนการควบคุมได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าการสื่อสารกับลอจิกคอลโทรลเลอร์ที่สามารถตั้งค่าโปรแกรมได้ (PLC) ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้โปรแกรมพิเศษ ทำให้ง่ายต่อการสร้างระบบสำหรับการตรวจสอบกระบวนการระยะไกล เช่น การใช้ระบบโฮสต์ แผงสัมผัส และอุปกรณ์ภายนอกอื่น ๆ

การใช้งานหลัก ๆ ของตัวควบคุมคือ การควบคุมอุณหภูมิโดยใช้อุปกรณ์ให้ความร้อนด้วยไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ามีวันเสื่อมสภาพและมีอายุการใช้งานที่จำกัด วิธีที่มีประสิทธิภาพในการหาสาเหตุการเสื่อมสภาพคือ การตรวจสอบความต้านทานของฮีตเตอร์ C1A คำนวณแรงดัน กระแส และความต้านทานของฮีตเตอร์โดยใช้หม้อแปลงแรงดัน (VT) และอินพุตของหม้อแปลงกระแสไฟฟ้า (CT) ค่าเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ที่แผงด้านหน้าของ C1A หรือใช้เพื่อส่งสัญญาณแจ้งเตือนหากเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า การตรวจสอบความต้านทานและอุณหภูมิที่ควบคุมทำให้เข้าใจสภาพของฮีตเตอร์ได้ง่ายและป้องกันฮีตเตอร์ร้อนจัดโดยไม่คาดคิด

นอกจากนี้ Smart Loader Package ของ C1A ยังรวมถึงโปรแกรมจำลอง PID ที่ใช้เทคโนโลยีการจำลอง Azbil ที่เป็นกรรมสิทธิ์เป็นคุณสมบัติมาตรฐาน เครื่องจำลอง PID ใช้ข้อมูลการทำงานเพื่อสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่สร้างลักษณะเฉพาะของวัตถุควบคุม ให้ผู้ใช้จำลองการควบคุม PID บนพีซีและลดเวลาในการปรับแต่ง

คุณสมบัติ

  • ความแม่นยำสูงถึง ±0.1% ของค่าที่อ่านได้ (สำหรับเทอร์โมคัปเปิลหรือ Pt100 RTD) และการตอบสนองที่มีความเร็วสูงด้วยรอบการสุ่มตัวอย่าง 25 มิลลิวินาที
  • จอแสดงผลตัวเลข 4.5 หลักที่แสดงค่าตั้งแต่ -19999 ถึง 19999 ในหน่วย 0.01°C ทำให้สามารถตรวจสอบเงื่อนไขของกระบวนการได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น
  • ตัวบ่งชี้หลายสถานะ นอกจากการตั้งค่าและค่าอินพุตของเซ็นเซอร์แล้ว ยังสามารถแสดงกราฟแท่งของ % เอาต์พุต MV และข้อมูลการทำงานอื่น ๆ ได้อีกด้วย ทำให้เข้าใจสถานะการควบคุมได้ง่าย
  • ฟังก์ชันการสื่อสารการเชื่อมต่อ PLC สำหรับการสื่อสารกับ PLC โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม
  • การตรวจสอบแผงด้านหน้าหรือเอาต์พุตแจ้งเตือนความต้านทานของฮีตเตอร์ที่คำนวณจากอินพุต CT/VT เพื่อให้เข้าใจสภาพของฮีตเตอร์
  • Smart Loader Package พร้อมฟังก์ชันการจำลอง PID ที่เป็นเหมือนคุณสมบัติมาตรฐาน ช่วยให้สามารถควบคุมได้ดีขึ้นผ่านการทำงานที่ใช้งานง่ายจากพีซี

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ต่อไปนี้
https://www.azbil.com/products/factory/factory-product/controller-recorder-communication-gateway/controller/c1a/index.html

ตามปรัชญาของ Azbil Group ในเรื่อง "ระบบควบคุมอัตโนมัติที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง" Azbil ตั้งเป้าหมายที่จะให้การสนับสนุน "ตามลำดับ" ให้กับสังคมที่ยั่งยืนและรับประกันการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้บริการแก้ไขปัญหาที่แหล่งผลิตที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า

*1 การควบคุมแบบป้อนกลับที่ทำงานบนพื้นฐานของการวัดเซ็นเซอร์เพื่อให้อุณหภูมิ ความดัน และตัวแปรอื่น ๆ ภายในอุปกรณ์การผลิตหรือการประมวลผลอยู่ในระดับที่ต้องการ ซึ่ง PID ขึ้นอยู่กับค่าสัดส่วน ปริพันธ์ และอนุพันธ์

เกี่ยวกับ Azbil Corporation

Azbil Corporation เดิมชื่อ Yamatake Corporation เป็นบริษัทชั้นนำในด้านการสร้างและระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีการวัดและการควบคุมเพื่อจัดหาโซลูชันที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้กับลูกค้าเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น Azbil ก่อตั้งขึ้นในปี 1906 ให้บริการลูกค้าทั่วโลกในหลากหลายอุตสาหกรรมและมีเป้าหมายที่จะมีส่วนร่วมในความปลอดภัย ความสะดวกสบายและการบรรลุผลสำเร็จของผู้คน รวมถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลก เมื่อสิ้นเดือนมีนาคม ปี 2022 Azbil จ้างงานกว่า 10,000 คนทั่วโลกและสร้างรายได้กว่า 256 พันล้านเยน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://www.azbil.com/

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52962270/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Azbil Corporation
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
Robert Jones
โทร: +81-3-6810-1006
r.jones.j7@azbil.com

แหล่งข้อมูล: Azbil Corporation

2022 New Silk Road Story Exchange·Keqiao Forum และการประชุมการค้าเกี่ยวกับสินค้าสิ่งทอโลกครั้งที่ 5 จะมีการจัดขึ้นที่เคอเฉียว มณฑลเจ้อเจียง ในวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน

Logo

SHAOXING, ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–6 พฤศจิกายน 2022

วันที่ 3 เดือนพฤศจิกายน รองเลขาธิการรัฐบาลมณฑลเจ้อเจียงประกาศในงานแถลงข่าวเกี่ยวกับงาน 2022 New Silk Road Story Exchange·Keqiao Forum และการประชุมการค้าเกี่ยวกับสินค้าสิ่งทอโลกครั้งที่ 5 ที่จะมีการจัดขึ้นที่เขตเคอเฉียว เมืองเช่าซิง มณฑลเจ้อเจียง ตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 20 เดือนพฤศจิกายน

Site of the press conference (Photo: Business Wire)

เว็บไซต์งานแถลงข่าว (ภาพถ่าย: Business Wire)

เขตเคอเฉียวเป็นแหล่งรวมอุตสาหกรรมสินค้าสิ่งทอที่มีชื่อเสียงระดับโลก เนื่องด้วยมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าสิ่งทอน้ำหนักเบาที่นี่ทุกปีประมาณ 1/4 ของโลก โดยมีปริมาณการส่งออกสินค้าสิ่งทอกว่า 100 พันล้านหยวนในแต่ละปี ครอบคลุม 192 ประเทศและภูมิภาค

2022 New Silk Road Story Exchange·Keqiao Forum ประกอบด้วยหัวข้อหลักและสามหัวข้อย่อย ผู้เข้าร่วมกว่า 100 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่กระทรวง ผู้นำทางด้านธุรกิจ ผู้บริหารมีเดียต่าง ๆ และนักวิจัย จะมารวมตัวกันที่เจ้อเจียง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวและเทคนิคต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการ "the Belt and Road"

การประชุมการค้าเกี่ยวกับสินค้าสิ่งทอโลกครั้งที่ 5 และกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะมีการจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 20 เดือนพฤศจิกายน โดยกิจกรรมหลักจะเป็นการประชุมตามหัวข้อหลัก การประชุมโต๊ะกลม งาน Keqiao Fashion Week งานแสดงสินค้าสิ่งทอฤดูใบไม้ร่วง และการประชุมหัวข้อย่อยอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งกิจกรรมอื่น ๆ นั้นรวมถึงงานรางวัล Merit Award ครบรอบ 30 ปี ของเมืองสินค้าสิ่งทอแห่งประเทศจีน และการเผยแพร่สมุดปกขาวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมงานพิมพ์และการย้อมสี

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Wang Na
โทร: +86137 1855 9535
อีเมล: 476270532@qq.com
URL: https://h.xinhuaxmt.com/vh512/share/11186510?d=1348cb0&channel=weixin

แหล่งข้อมูล: Xinhua Daily Telegraph

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52962026/en

The Bangkok Reporter