การให้ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นในคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมของชาวพื้นเมือง เป็นปัจจัยสำคัญทีเปลี่ยนแปลงในการวางแผนการจัดการน้ำในเหมือง
เมลเบิร์น ออสเตรเลีย
SCF เข้าซื้อกิจการ Newpark Fluids Systems
HOUSTON–(BUSINESS WIRE)–14 กันยายน 2024
SCF Partners, Inc. (“SCF”) มีความยินดีประกาศการเข้าซื้อกิจการธุรกิจ Newpark Fluids Systems business (“NFS”) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและของเหลวความร้อนใต้พิภพชั้นนำระดับโลกจาก Newpark Resources Inc. (NYSE: NR) Newpark Fluids Systems จัดหาผลิตภัณฑ์สำหรับเจาะแบบครบวงจรและบริการทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรองรับโดยชุดซอฟต์แวร์การสร้างแบบจำลองดิจิทัลที่สร้างสรรค์ ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตในการดำเนินงานสำหรับลูกค้าของเรา
David Paterson CEO ของ Newpark Fluid Systems กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นในการร่วมเป็นพันธมิตรกับ SCF ความร่วมมือครั้งใหม่นี้จเป็นแหล่งสร้างมูลค่ามหาศาลสำหรับทั้งลูกค้าของเราและทีมงาน Newpark Fluids Systems ทุกคน แผนการเติบโตเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของเราจะเร่งตัวภายใต้คณะกรรมการชุดใหม่ที่มุ่งเน้นเฉพาะด้าน ซึ่งมีประสบการณ์และความมุ่งมั่นอย่างมากในด้านพลังงาน ประวัติความสำเร็จที่ไม่มีใครเทียบของ SCF ในอุตสาหกรรมบริการด้านพลังงานระดับโลกเปิดโอกาสอันน่าตื่นเต้นสำหรับเราในอนาคต”
Deviyani Misra-Godwin กรรมการบริหารของ SCF Partners กล่าว “เป็นเวลากว่า 25 ปีแล้วที่ Newpark Fluids Systems ได้รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดของเหลวสำหรับการขุดเจาะและการผลิตทั่วโลก โดยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของลูกค้าด้วยการให้บริการที่มีคุณภาพระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม การดำเนินงานทั่วโลก ประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในระดับควอไทล์ ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชั้นนำ และตำแหน่งที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมพลังงานความร้อนใต้พิภพที่กำลังเติบโตของ Newpark Fluid Systems จะช่วยเสริมความสำเร็จในภูมิทัศน์ด้านพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ร่วมกับทีมผู้นำ เรามุ่งหวังที่จะสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับลูกค้าและพนังงานของเราในเส้นทางการเติบโตในอนาคต”
Vinson & Elkins LLP เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายสำหรับ SCF ในการทำธุรกรรมครั้งนี้
เกี่ยวกับ Newpark Fluids Systems
Newpark Fluids Systems เป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์ของเหลวสำหรับการขุดเจาะและการผลิตแบบครบวงจรและบริการทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องให้แก่ลูกค้าสำหรับโครงการน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานนความร้อนใต้พิภพ โดยโครงการส่วนใหญ่อยู่ที่อเมริกาเหนือ ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมถึงบางประเทศในเอเชียแปซิฟิก NFS ให้แนวทางความรู้ในท้องถิ่นโดยมุ่งเน้นของเหลวใต้พิภพและการเข้าถึงทั่วโลก เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและผลผลิตสำหรับการดำเนินงานของลูกค้าทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.newpark.com
เกี่ยวกับ SCF Partners
SCF ก่อตั้งขึ้นในปี 1989 โดยให้บริการเงินทุนและความช่วยเหลือด้านการเติบโตเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างและขยายบริษัทในภาคส่วนการบริการด้านพลังงาน อุปกรณ์ และเทคโนโลยีชั้นนำที่มีการดำเนินงานทั่วโลก SCF มีการลงทุนในบริษัทแพลตฟอร์มมากกว่า 80 แห่ง และเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมอีกกว่า 400 แห่ง เพื่อพัฒนาบริษัทในภาคส่วนการบริการด้านพลังงานและอุปกรณ์ที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 18 แห่งตลอดประวัติศาสตร์การดำเนินงานของบริษัท บริษัทมีสำนักงานใหญ่ที่ฮูสตัน เท็กซัส และมีสำนักงานที่อเบอร์ดีนและออสเตรเลีย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.scfpartners.com
เกี่ยวกับ Newpark Resources
Newpark Resources, Inc. เป็นบริษัทให้บริการโซลูชันสำหรับโรงงาน โดยมีการผลิต จำหน่าย และให้เช่าผลิตภัณฑ์คอมโพสิตที่ยั่งยืนและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม พร้อมบริการครบวงจร รวมถึงการวางแผน โลจิสติกส์ และการแก้ไขปัญหา สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.newpark.com
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54122034/en
ติดต่อ
Paul Bateman
pbateman@scfpartners.com
แหล่งข้อมูล: SCF Partners
พบกับเทรนด์ความงามในอนาคตได้ในรายงานนวัตกรรมความงามระดับโลกฉบับใหม่ของ NielsenIQ (NIQ)
- แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่ผสานรวมนวัตกรรมใหม่ในปี 2023 มีแนวโน้มที่จะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า
- 20% ของการเปิดตัวนวัตกรรมในปี 2023 ในยุโรปเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผม
- การกระตุ้นอย่างมีประสิทธิผลจะช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายที่มุ่งเน้นโฆษณาให้สูงขึ้น 20%
CHICAGO–(BUSINESS WIRE)–12 กันยายน 2024
ในอุตสาหกรรมความงามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การทำความเข้าใจและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญเป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลังเกิด COVID-19 วันนี้ NIQ ได้เปิดตัวรายงานนวัตกรรมความงามระดับโลก ซึ่งขับเคลื่อนโดยมาตรการวัดระดับนวัตกรรม NIQ BASES ซึ่งให้มุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสถานะของนวัตกรรมและเทรนด์ในอนาคตของตลาดอุตสาหกรรมความงามทั่วทั้ง 14 แห่ง
แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่ผสานรวมนวัตกรรมใหม่ในปี 2023 มีแนวโน้มที่จะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับยอดขายของแบรนด์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมหรือมีการยกเลิกใช้นวัตกรรม นวัตกรรมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะสามารถดึงดูดผู้ซื้อรายใหม่ๆ สร้างโอกาสการใช้งานใหม่ๆ สามารถปรับราคาขึ้นในระดับพรีเมี่ยม และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำได้เป็นอย่างดี
แบรนด์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสามารถมองเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้น 30% โดยเฉลี่ยในปีที่ 1 เมื่อเทียบกับแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในอัตราที่ต่ำกว่า การเปิดตัวอย่างมีประสิทธิผลจะช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายที่มุ่งเน้นโฆษณาให้สูงขึ้น 20% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการปรับองค์ประกอบอย่างสร้างสรรค์และเหมาะสม ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีการดำเนินการทางตลาดและส่งเสริมการขายที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี
Claire Marty รองประธานฝ่ายพัฒนาลูกค้าทั่วโลก กล่าว “แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ผู้บริโภคก็ยังคงไม่มีการลดค่าใช้จ่ายด้านความงามเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ FMCG อื่นๆ โดย 80% แสดงความตั้งใจที่จะยังคงระดับหรือเพิ่มการใช้จ่ายในด้านนี้ ความนิยมทั่วโลกของอุตสาหกรรมความงามยังคงเพิ่มขึ้น โดยยอดขายของอุตสาหกรรมยังคงเติบโตในระดับสองหลักในทุกภูมิภาค และคาดว่า จะสามารถเพิ่มสูงถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐในทศวรรษหน้า”
แนวโน้มการพัฒนาที่เร่งการเกิดนวัตกรรมในอุตสาหกรรมความงาม:
- สะอาดและยั่งยืน: แนวโน้มของผลิตภัณฑ์ที่สะอาดและยั่งยืนมีการเติบโตสูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ CPG โดยมุ่งเน้นในการจัดหาอย่างถูกต้องตามจริยธรรม บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการลดปริมาณคาร์บอน ในเกาหลีใต้ ผลิตภัณฑ์ความงามที่สะอาดกลายเป็นทางเลือกในการใช้ชีวิต โดยผู้ผลิตให้ความสำคัญในการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและแนวทางการผลิตที่ยั่งยืน
- การมุ่งเน้นในส่วนผสม: ผู้บริโภคทั่วโลกซื้อของโดยคำนึงถึง ‘ส่วนผสมเป็นอันดับแรก’ โดยให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ตามรายการส่วนผสม ผู้บริโภคมีความสนใจในผลิตภัณฑ์ทั้งที่มีและไม่มีส่วนผสม ผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรมีการให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และประสิทธิผลเหนือชื่อแบรนด์
- ที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ : เซเลบริตี้ แพทย์ผิวหนัง และอินฟูลเอนเซอร์ ล้วนเป็นผู้กำหนดการตัดสินใจผ่านโซเชียลมีเดีย ในประเทศจีน จำนนวน Key Opinion Leaders (KOL) สูงเกิน 20 ล้านคนและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ 80% ของยอดขายจริงมาจาก KOL เพียง 7% เท่านั้น
- การปรับแต่งและการรวมกลุ่ม: ผู้บริโภคมีความนิยมสูงขึ้นในแบรนด์ที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคล ส่งผลให้มีประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้สูงขึ้น เช่น แบบทดสอบเกี่ยวกับเส้นผมและผิวหนัง Afroconsumption เป็นหัวข้อการปรับแต่งและการรวมกลุ่มที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในบราซิล โดยผู้หญิงเลือกที่จะไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับยืดผม
- มุ่งเน้นด้านสุขภาพ: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง ส่งผลให้มีความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกาย จิตใจ และอารมณ์ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ในฝรั่งเศสใช้ประโยชน์จากประสาทวิทยาที่มุ่งเป้าไปที่ร่างการและจิตใจ แบรนด์หรูกำลังสร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับปรุงทั้งสภาพผิวและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์
- ความสะดวกสบายและความสามารถในการเข้าถึง: ผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง (DTC) และการบำรุงความงามที่ทำได้เองที่บ้านได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง COVID-19 แนวโน้มนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าเสริมความงามและอุปกรณ์กระตุ้นกล้ามเนื่องได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
สินค้าหรูที่เหมาะสำหรับทุกคน: เทรนด์ด้านความงามนี้สะท้อนให้เห็นถึงการที่มีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น การทำให้สินค้าหรูแพร่หลายมากขึ้นนั้นนำโดยแบรนด์ที่มีนวัตกรรมซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและสามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ได้ ผู้บริโภคในซาอุดีอาระเบียให้ความสำคัญกับส่วนผสมที่มีคุณภาพและเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์เสริมความงาม การเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมความงามนั้น ขึ้นอยู่กับการผสานรวมแนวคิดที่น่าสนใจและผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในสามของการเปิดตัวใหม่นั้นล้มเหลว เนื่องจากขาดการสนับสนุนอย่างเพียงพอในช่วงปีแรก
หากต้องการดูข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มด้านความงาม สามารถ ดาวน์โหลดสำเนา รายงานนวัตกรรมความงามระดับโลกของ NIQ และเข้าร่วมกลุ่ม กลุ่มส่งเสริมด้านความงาม เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกระดับพรีเมียม นอกจากนี้ NIQ ยังมีการแสดงข้อมูลเชิงลึกเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับแนวโน้มผู้บริโภคทั่วโลกเป็นประจำ รวมถึง รายงาน SpendZ ฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นภาพรวมแนวโน้มการใช้จ่ายของคนรุ่น Gen Z รายงาน ภาพรวมสำหรับผู้บริโภค ที่มีการวิเคราะห์แนวโน้ม พฤติกรรม และความรู้สึก
เกี่ยวกับ NIQ
NielsenIQ (NIQ) เป็นบริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชั้นนำของโลก โดยมีการแสดงข้อมูลครอบคลุมเพื่อความเข้าใจในพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค และเปิดเผยเส้นทางใหม่สู่การเติบโต NIQ ได้รวมตัวกับ GfK ในปี 2023 โดยรวมผู้นำอุตสาหกรรมทั้งสองรายที่มีการเข้าถึงทั่วโลกอย่างไม่มีใครเทียบไว้ด้วยกัน ปัจจุบันนี้ NIQ มีการดำเนินงานในกว่า 95 ประเทศ โดยครอบคลุม 97% ของ GDP ด้วยความสามารถในการอ่านข้อมูลค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ครอบคลุมที่สุด ช่วยให้สามารถนำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ทันสมัยใน NIQ ด้วย Full View™
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.niq.com
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ติดต่อ
สื่อ:
Sweta Patra
sweta.patra@nielseniq.com
แหล่งข้อมูล: NielsenIQ
Kura Sushi เตรียมเปิดร้านซูชิสายพานที่มีจำนวนที่นั่งมากที่สุดและมีสายพานยาวที่สุดในโลกที่งาน Osaka-Kansai Expo
ผนังภายนอกทำจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เตรียมเสิร์ฟอาหารจากทั่วทุกมุมโลก
โอซากะ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–12 กันยายน 2024
Kura Sushi Inc. (สำนักงานใหญ่: เมืองซาไก จังหวัดโอซากะ) หนึ่งในเครือร้านซูชิสายพานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ประกาศเมื่อวันที่ 12 กันยายนว่าจะเปิดร้านซูชิสายพานโดยมีที่นั่ง 338 ที่นั่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดในโลกสำหรับร้านของบริษัทที่งาน Osaka-Kansai Expo ซึ่งจะเปิดให้บริการในวันที่ 13 เมษายน 2025 ที่ยูเมะชิมะ จังหวัดโอซากะ

มุมมองทัศนมิติ (*มุมมองทัศนมิตินี้มีไว้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้นและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้) (กราฟิก: Business Wire)
ร้านซูชินี้จะตั้งอยู่ในโซน Future Society Showcase ทางฝั่งตะวันตกของสถานที่จัดงาน โดยนอกจากจะมีที่นั่งมากที่สุดในโลกแล้ว ร้านดังกล่าวยังมีสายพานที่ยาวที่สุดในโลกด้วย ซึ่งมีความยาวประมาณ 135 เมตร โดยส่งซูชิและอาหารอื่นๆ ตรงถึงที่นั่งของลูกค้า
ผนังภายนอกของร้านจะสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG) ด้วยการใช้ปูนปลาสเตอร์ที่ทำจากเปลือกหอยแครงที่ถูกทิ้งประมาณ 336,000 ชิ้น โดยผนังได้รับการออกแบบมาเพื่อให้จำได้ทันทีว่าเป็นร้าน Kura Sushi โดยมีรูปภาพซูชิทูน่าใน “ฝาครอบซูชิป้องกันแบคทีเรีย” ซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะเฉพาะของร้าน Kura Sushi
ภายในตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นแบบโมเดิร์นโดยเน้นไม้สีขาว เพดานตกแต่งด้วยจานของร้าน Kura Sushi อีกทั้งยังมีโมเดลฝาครอบซูชิป้องกันแบคทีเรียที่ดึงดูดสายตาลูกค้าอยู่ที่จุดรอคิว
นอกจากนี้ ร้านดังกล่าวจะติดตั้งระบบที่ทันสมัยอันเป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะของ Kura Sushi ซึ่งเป็นมาตรฐานในร้าน Kura Sushi ทุกแห่งในญี่ปุ่น ดังนี้
- “Kura อัจฉริยะ” ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องติดต่อกับพนักงานตั้งแต่เข้าไปในร้านจนกระทั่งออกจากร้าน
- ระบบกล้อง AI รุ่นใหม่จะคอยตรวจสอบสายพานอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
- “ระบบควบคุมการผลิต” ที่ช่วยปรับปริมาณซูชิที่จะวางบนสายพานตามจำนวนของลูกค้าภายในร้าน
- “ระบบเก็บรวบรวมด้วยน้ำ” ซึ่งนำจานที่รับประทานเสร็จแล้วกลับไปที่ครัวโดยอัตโนมัติด้วยกระแสน้ำ
แน่นอนว่าลูกค้ายังสามารถสนุกกับเกม “Bikkura Pon” ซึ่งซูชิ 5 จานมีค่าเท่ากับ 1 เกม และผู้ชนะจะได้รับรางวัลพิเศษ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ Kura Sushi ได้รับความนิยม
แคปซูลที่บรรจุรางวัล “Bikkura Pon” มักจะทำจากพลาสติก แต่ร้านที่งาน Expo มีแผนที่จะใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Hiroyuki Okamoto ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไปของฝ่ายประชาสัมพันธ์ แผนกโฆษณาและนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัทกล่าวว่า “ในงาน Expo ร้านของเราจะดำเนินการภายใต้แนวคิด ‘สายพานหมุนเชื่อมโยงโลก’ ภายใต้แนวคิดนี้ ลูกค้าจะได้เพลิดเพลินไปกับอาหารจานเด็ดจากแต่ละประเทศที่เข้าร่วมงาน Expo รวมถึงซูชิและเครื่องเคียงยอดนิยมจากร้านของเรา แม้ว่าโลกจะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมายในปัจจุบัน แต่เราหวังว่านักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจะยิ้มแย้มในขณะที่อิ่มเอมไปกับซูชิและเมนูต่างๆ จากทั่วโลกผ่านสายพานหมุนที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของเรา ร้านซูชิสายพานได้แพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่นภายหลังงาน Osaka Expo ในปี 1970 ผมก็อยากจะใช้งาน Osaka-Kansai Expo ในปีหน้าเพื่อเป็นโอกาสในการโปรโมตร้านซูชิสายพานนี้ให้แพร่หลายไปทั่วโลกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม”
จากข้อมูล ณ วันที่ 6 กันยายน Kura Sushi ดำเนินกิจการร้านซูชิประมาณ 550 แห่งในญี่ปุ่น, 65 แห่งในสหรัฐอเมริกา, 57 แห่งในไต้หวัน และ 3 แห่งในเซี่ยงไฮ้
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54121119/en
ข้อมูลติดต่อ
สอบถามข้อมูลสำหรับสื่อเกี่ยวกับข่าวเผยแพร่ฉบับนี้ได้ที่ :
Public Relations Department, Kura Sushi, Inc.
อีเมล: prhq_kurasushi@kura-corpo.co.jp
แหล่งที่มา: Kura Sushi, Inc.
Black & Veatch พิสูจน์โอกาสในการดักจับคาร์บอนในเวียดนาม
ผู้นำด้านวิศวกรรม การก่อสร้าง และการให้คำปรึกษาในระดับโลกที่ศึกษาการนำเทคโนโลยีดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โฮจิมินห์ เวียดนาม–(BUSINESS WIRE)–13 กันยายน 2024
Black & Veatch ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ กำลังประเมินความเป็นไปได้และความพร้อมในการปรับใช้เทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในโรงไฟฟ้าถ่านหินของเวียดนามเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเ
สถาบันปิโตรเลียมเวียดนาม (VPI) ได้มอบหมายให้ Black & Veatch ศึกษาเทคโนโลยีการลดการปล่อยคาร์บอนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน 3 แห่งซึ่งเป็นของ Vietnam Oil and Gas Group (Petrovietnam หรือ PVN) โรงไฟฟ้าเหล่านี้ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Vung Ang 1 ในจังหวัด Ha Tinh โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Song Hau 1 ในจังหวัด Hau Giang และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน Thai Binh 2 ในจังหวัด Thai Binh โดยแต่ละโรงไฟฟ้ามีกำลังการผลิต 2 x 600 เมกะวัตต์ (MW)
“นี่เป็นการศึกษาการดักจับคาร์บอนครั้งแรกที่ดำเนินการกับโรงไฟฟ้าถ่านหินในเวียดนาม และผลการศึกษานี้สามารถช่วยกำหนดแผนงานและกรอบทางกฎหมาย สำหรับการพัฒนา CCUS ของประเทศเราได้” ดร. Nguyen Huu Luong ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของ VPI กล่าว
วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือการแนวโน้มเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนในปัจจุบัน และประเมินความเป็นไปได้และประสิทธิภาพของการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้กับก๊าซไอเสียจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน
“การปรับใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น CCUS ไปใช้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาคสำหรับผู้ผลิตพลังงานและอุตสาหกรรมหนัก” Narsingh Chaudhary ประธานธุรกิจเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black & Veatch กล่าว
“Black & Veatch มุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันที่หลากหลายและล้ำหน้าเพื่อช่วยให้ธุรกิจพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นด้วยแหล่งพลังงานที่มีคาร์บอนต่ำหรือไม่มีคาร์บอน”
ในฐานะส่วนหนึ่งของการศึกษาการโหลดล่วงหน้า (FEL) Black & Veatch จะเตรียมการประเมินเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน และเสนอเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับโรงไฟฟ้าแต่ละแห่ง และพัฒนาการออกแบบโดนสรุปแนวความคิดสำหรับหน่วยดักจับคาร์บอน นอกจากนี้ Black & Veatch จะสรุปกลยุทธ์ในการเชื่อมต่อหน่วยดักจับคาร์บอนกับโรงไฟฟ้าที่มีอยู่
แผนแม่บทพลังงานแห่งชาติของเวียดนามสำหรับปี 2021-2030 ซึ่งมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2050 ส่งเสริมการนำโซลูชัน CCUS มาใช้ในโรงงานผลิตอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า เพื่อให้บรรลุศักยภาพในการดักจับประมาณ 1 ล้านเมตริกตัน (mt)ต่อปี ภายในปี 2040 และ 3 ล้านถึง 6 ล้านเมตริกตันต่อปี ภายในปี 2050
Black & Veatch เป็นผู้นำตลาดในการศึกษาวิจัยและนำเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนมานานกว่า 30 ปี บริษัทมีประสบการณ์มากมายในการวิเคราะห์และออกแบบรายละเอียดการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมถึงระบบบีบอัดและจัดการ CO2 บริษัทได้ประเมินเทคโนโลยีหลาบแบบที่สามารถนำ CO2 มาใช้ เช่น การผลิตเมทานอลและก๊าซธรรมชาติสังเคราะห์ รวมถึงกระบวนการทางชีวภาพที่ใช้ CO2 อีกทั้ง Black & Veatch ยังมีประสบการณ์ในการประเมินและสนับสนุนการเติบโตและการวางแผนโครงการดักจับและใช้หรือกักเก็บคาร์บอน
ติดต่อ Contact Black & Veatch เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
เกี่ยวกับ Black & Veatch
Black & Veatch เป็นบริษัทวิศวกรรม จัดซื้อ ที่ปรึกษา และก่อสร้างระดับโลกที่พนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสบการณ์ด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยให้ลูกค้าของเราปรับปรุงชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยเน้นที่ความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และใน LinkedIn Facebook X (Twitter) และ Instagram
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ติดต่อ
ข้อมูลการติดต่อสำหรับสื่อมวลชน:
EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | | Chialp@bv.com
อีเมลสำหรับสื่อตลอด 24 ชั่วโมง| Media@bv.com
แหล่งที่มา: Black & Veatch
สตาร์ตอัปของอดีตผู้บริหาร Google อย่าง Crackle Technologies ในสิงคโปร์ ซึ่งมุ่งเน้นบริษัทผู้เผยแพร่ ระดมทุนได้ 1.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพลิกโฉมเทคโนโลยีการโฆษณาด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI
สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–11 กันยายน 2024
Crackle Technologies ระดมทุนช่วงทดสอบไอเดียได้ 1.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ AI ในการช่วยให้ผู้เผยแพร่เพิ่มรายได้จากเทคโนโลยีการโฆษณาของตนให้ได้มากที่สุด รอบการระดมทุนนี้นำดำเนินการโดย We Founder Circle และ AC Ventures ผู้ลงทุนรายอื่นที่เข้าร่วม ได้แก่ ผู้ก่อตั้ง Impetus Technologies, Sunicon Ventures, Global DeVC และ Misfits Capital ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ก่อตั้งบริษัทเผยแพร่ชั้นนำอย่าง Ludo King, Dainik Jagran, Amar Ujala และรายอื่น ๆ ก็ยังได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อทีมงาน Crackle ผ่านการร่วมเป็นผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน ซึ่ง Crackle จะขยายขอบเขตการดำเนินงานไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยมุ่งเน้นที่เวียดนามและอินโดนีเซีย

ผู้ร่วมก่อตั้ง Crackle (จากซ้ายไปขวา) Harsh Mittal, Shashank Dudeja และ Jaivir Singh Nagi (รูปภาพ: Business Wire)
เงินทุนจะถูกนำไปใช้ในด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเป็นหลัก รวมถึงขยายการดำเนินงานทั่วโลกเพื่อสนับสนุนผู้เผยแพร่รายต่าง ๆ ในด้านเกม แอป ข่าว และ OTT (ผ่านการจัดการปัญหาสำคัญ ซึ่งรวมถึง Fill Rate ที่ต่ำ และ eCPM) เทคโนโลยีอันเป็นกรรมสิทธิ์ของ Crackle ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและการจำลองโมเดลเชิงคาดการณ์ขั้นสูงเพื่อยกระดับรายได้จากโฆษณาของผู้เผยแพร่ รวมถึงจัดการขั้นตอนการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ และส่งมอบประสบการณ์ที่ชั้นเลิศให้แก่ผู้ใช้
Crackle มีการก่อตั้งขึ้นโดยอดีตผู้บริหาร Google สามราย ได้แก่ Harsh Mittal, Shashank Dudeja และ Jaivir Singh Nagi โดยทั้งสามมีประสบการณ์รวมกันถึง 18 ปีในอุตสาหกรรมการสร้างรายได้สำหรับผู้เผยแพร่ ซึ่งจากประสบการณ์ระดับมืออาชีพนี้ เหล่าผู้ก่อตั้งได้บริหารจัดการเงินหลายพันล้านในด้านรายได้จากโฆษณาและช่วยให้ผู้เผยแพร่หลายรายขยับขยายการสร้างรายได้จากโฆษณาของตนได้ถึง 10 เท่าด้วยการใช้นวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมหลายรายการ โดย Crackle มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ผู้เผยแพร่เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ของตนให้ได้มากที่สุดและสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน
Vikash Jaiswal ผู้สร้าง Ludo King ยอดนิยมที่มียอดการดาวน์โหลดกว่า 1 พันล้านครั้งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนว่า “ประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการสร้างรายได้จากโฆษณาในเกมของทีมผู้ก่อตั้งส่งผลให้ Crackle อยู่ในระดับแนวหน้าด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีการโฆษณา ผมเองก็ตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางของพวกเขา”
Jaivir ผู้ร่วมก่อตั้ง Crackle แสดงความขอบคุณต่อความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากผู้ลงทุน โดยกล่าวเสริมว่า “เงินทุนนี้เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันพันธกิจของเรา เพื่อเพิ่มรายได้ของผู้เผยแพร่ให้ได้มากที่สุดและส่งเสริมระบบนิเวศอันประกอบไปด้วยเนื้อหาที่หลากหลายซึ่งกำลังเติบโตก้าวหน้า ทั้งนี้ก็เพื่อให้โลกอินเทอร์เน็ตน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อทุกคนต่อไป”
Harsh ผู้ร่วมก่อตั้ง Crackle ระบุเพิ่มเกี่ยวกับการขยายการดำเนินงานไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า “แวดวงเทคโนโลยีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพร้อมสำหรับนวัตกรรม เราตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับผู้พัฒนาเกมและแอปเพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของผู้พัฒนาด้วยโซลูชันเทคโนโลยีการโฆษณาของเรา”
นับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2023 ทาง Crackle ได้รับความสนใจอย่างมากผ่านการสร้างผลตอบแทนจำนวนมากให้กับผู้เผยแพร่ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราการสร้างรายได้ต่ำและการครอบครองตลาดของแพลตฟอร์มเทคโนโลยีรายใหญ่
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54119780/en
ข้อมูลติดต่อ
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ Shashank Sethi ที่ shashank.sethi@ihorizoncommunications.com
แหล่งที่มา: Crackle Technologies
การจัดอันดับของ OAG เผยให้เห็นว่ากัวลาลัมเปอร์ยังคงเป็นสนามบินที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
การค้นพบที่สําคัญ
- เอเชียแปซิฟิกเป็นที่ตั้งของ 3 ใน 5 ศูนย์กลางการบินระดับโลกชั้นนำ ได้แก่ KUL อันดับ 2 HND อันดับ 3 และ ICN อันดับ 5
- กัวลาลัมเปอร์เป็นอันดับ 1 ที่มีเที่ยวบินราคาประหยัดเชื่อมต่อถึงกันมากที่สุด
- การเติบโตของการเชื่อมต่อในเอเชียขยายตัวโดยมีศูนย์กลางการบินระดับโลก 17 แห่งจากทั้งหมด 50 แห่งในภูมิภาคนี้
- โตเกียวนาริตะขยับขึ้น 45 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 15 ของโลกจากอันดับที่ 60 ในปี 2023
สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–11 กันยายน 2024
OAG แพลตฟอร์มข้อมูลชั้นนําสําหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก ได้เปิดตัว Megahubs 2024 ซึ่งเป็นการจัดอันดับสนามบินที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศมากที่สุด 50 อันดับแรกของโลก
OAG Megahubs ไม่เพียงแต่วิเคราะห์ จํานวนจุดหมายปลายทางทั้งหมดที่ ให้บริการเท่านั้น แต่ยังรวมถึง จํานวนการต่อเครื่องตามกําหนดการไปและกลับจากจุดหมายปลายทางระหว่างประเทศ รวมถึงการจัดอันดับตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกและสําหรับสายการบินราคาประหยัด
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นที่ตั้งของ 3 ใน 5 ศูนย์กลางการบินชั้นนํา ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์ (KUL) โตเกียวฮาเนดะ (HND) และโซลอินชอน (ICN) ซึ่งช่วยยืนยันว่าตลาดเหล่านี้กลับมาคึกคักอีกครั้งและมีแนวโน้มเติบโตต่อไป
การเติบโตของการเชื่อมต่อในเอเชียแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง โดยมีศูนย์กลางการบินอีก 4 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดอยู่ในรายชื่อ (CGK, BKK, MNL และ SIN) และอีก 7 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ (NRT, PVG, HKG, FUK, CAN, TPE และ PEK) สนามบินนาริตะ ของโตเกียว (NRT) ทำสถิติก้าวกระโดดครั้งใหญ่เมื่อเทียบเป็นรายปี จากอันดับที่ 60 ในปี 2023 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 15 ในปี 2024
สําหรับ การเชื่อมต่อราคาประหยัด สนามบินในเอเชียแปซิฟิกครองตําแหน่ง คิดเป็น 64% ของ LCC Megahubs 25 อันดับแรก กัวลาลัมเปอร์ (KUL) ครองอันดับหนึ่ง โดยให้บริการเชื่อมต่อราคาประหยัด 14,583 เส้นทางในจุดหมายปลายทาง 137 แห่ง AirAsia เป็นสายการบินที่โดดเด่นด้วยส่วนแบ่ง 35% ของเที่ยวบินทั้งหมดและ 48% ของความจุ LCC ทั้งหมด
มะนิลา (MNL) ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 2 ในรายชื่อ Low-Cost Megahubs ในปีนี้ แซงหน้าอินชอน (ICN) ด้วยอัตราส่วนการเชื่อมต่อกับจุดหมายปลายทางที่สูงถึง 97 แห่ง
“ในขณะที่เอเชียแปซิฟิกยังคงไต่อันดับสูงขึ้นในระดับโลก OAG Megahubs จึงสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่เพิ่มขึ้นของการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศและความต้องการการเดินทางราคาประหยัดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้น” Mayur Patel หัวหน้า ASPAC ของ OAG กล่าว
สําหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมและวิธีการทั้งหมด โปรดดูการวิเคราะห์ ที่นี่
เกี่ยวกับ OAG
OAG เป็นแพลตฟอร์มข้อมูลชั้นนําสําหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเดินทางทั่วโลก ซึ่งขับเคลื่อนการเติบโตและนวัตกรรมของระบบนิเวศการเดินทางทางอากาศ โดยมีเครือข่ายข้อมูลเที่ยวบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2023 OAG ได้เข้าซื้อกิจการ Infare ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านข้อมูลการเดินทางทางอากาศของคู่แข่ง ปัจจุบัน OAG และ Infare ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มข้อมูลที่เชื่อถือได้มากที่สุดสําหรับการบิน
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ติดต่อ
ที่มา: OAG
Toshiba เริ่มจัดส่งตัวอย่างวงจรรวมตัวขับเกตสําหรับมอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านในยานยนต์ที่จะช่วยลดขนาดอุปกรณ์
คาวาซากิ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–10 กันยายน 2024
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) ได้เริ่มจัดหาตัวอย่างทางวิศวกรรมของ “TB9103FTG” ซึ่งเป็นตัวขับเกต[1] สําหรับมอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านในยานยนต์ รวมถึงมอเตอร์สลัก[2] และมอเตอร์ล็อค[3] ในประตูหลังไฟฟ้าและประตูสไลด์ไฟฟ้า และมอเตอร์ขับเคลื่อนกระจกไฟฟ้าและเบาะนั่งไฟฟ้า

โตชิบา: TB9103FTG วงจรรวมตัวขับเกตสําหรับมอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านในยานยนต์ (กราฟิก: Business Wire)
ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ก่อนหน้านี้ปรับด้วยมือปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้ไฟฟ้า ซึ่งทำให้ความต้องการทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและจำนวนที่รวมเข้าในยานยนต์เพิ่มมากขึ้น จํานวนไดรเวอร์ที่ใช้ในมอเตอร์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ต้องลดขนาดและรวมระบบโดยรวมเข้าด้วยกันนอกจากนี้ยังมีการใช้งานมอเตอร์บางตัวที่ไม่ต้องการการควบคุมความเร็วรอบ และจําเป็นต้องมีไดรเวอร์ที่มีฟังก์ชันและประสิทธิภาพที่เรียบง่ายสําหรับการใช้งานเหล่านี้
TB9103FTG นําเสนอฟังก์ชันและประสิทธิภาพการทำงานของตัวขับเกตที่ปรับปรุงใหม่ สําหรับมอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านที่ไม่ต้องการการควบคุมความเร็ว ซึ่งเปิดทางสู่การออกแบบที่กะทัดรัดยิ่งขึ้น มีวงจรปั๊มชาร์จในตัว[4] ที่รองรับแรงดันไฟฟ้าที่จําเป็นในการจ่ายไฟให้กับ MOSFETs ภายนอกเพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันการตรวจสอบเกตที่ป้องกันการสร้างกระแสไหลผ่าน โดยการควบคุมเวลาเอาต์พุตของสัญญาณเกตไปยัง MOSFETs ภายนอกด้านสูงและด้านต่ำโดยอัตโนมัติ
วงจรรวมใหม่ยังสามารถใช้เป็น H-bridge หนึ่งช่องสัญญาณหรือฮาล์ฟบริดจ์สองช่องสัญญาณ นอกจากจะใช้งานเป็นไดรเวอร์มอเตอร์แล้ว ยังสามารถใช้ร่วมกับ MOSFET ภายนอกเพื่อแทนที่รีเลย์เชิงกลและสวิตช์เชิงกลอื่นๆ ได้ ซึ่งช่วยให้การทํางานเงียบขึ้นและความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์สูงขึ้น
TB9103FTG บรรจุอยู่ในแพ็คเกจ P-VQFN4.0-0404-0404-0.50-003 ขนาด 4.0 มม. ×4.0 มม. (ทั่วไป) และมีส่วนช่วยในการลดขนาดอุปกรณ์
หมายเหตุ:
[1] ไดรเวอร์สำหรับขับเคลื่อน MOSFETs
[2] มอเตอร์ที่ใช้ในระบบปิดประตู
[3] มอเตอร์ที่ใช้ในระบบล็อคและปลดล็อกประตูร่วมกับการทํางานหลักเพื่อป้องกันอาชญากรรม
[4] วงจรที่ใช้ตัวเก็บประจุและสวิตช์เพื่อเพิ่มแรงดันไฟฟ้า
การใช้งาน
อุปกรณ์ยานยนต์
- มอเตอร์สลักขับเคลื่อนและมอเตอร์ล็อคสําหรับประตูหลังไฟฟ้าและประตูสไลด์ไฟฟ้า และมอเตอร์ขับเคลื่อนสําหรับหน้าต่าง เบาะไฟฟ้า ฯลฯ
คุณสมบัติ
- ลดฟังก์ชันและประสิทธิภาพเพื่อรองรับการลดขนาด
- แพ็คเกจขนาดเล็ก
- สแตนด์บายพลังงานต่ำพร้อมฟังก์ชันพักเครื่องในตัว
- สามารถทํางานเป็นไดรเวอร์เกตสําหรับ H-bridge หนึ่งช่องสัญญาณหรือฮาล์ฟบริดจ์สองช่องสัญญาณ
ข้อมูลจําเพาะหลัก
หมายเลขชิ้นส่วน |
|||
มอเตอร์ที่รองรับ |
มอเตอร์กระแสตรงแปรงถ่าน |
||
จํานวนช่องเอาต์พุต |
หนึ่งช่องสัญญาณ (เมื่อใช้เป็น H-bridge / สองช่องสัญญาณ (เมื่อใช้เป็นฮาล์ฟบริดจ์) |
||
ฟังก์ชันหลัก |
ฟังก์ชันหลับ ปั๊มชาร์จในตัว การทํางานของ H-bridge การทํางานของฮาล์ฟบริดจ์ การควบคุมเวลาวิกฤต |
||
การตรวจจับความผิดพลาดหลัก |
การตรวจจับแรงดันไฟต่ำของแหล่งจ่ายไฟ การตรวจจับแรงดันไฟสูงของปั๊มชาร์จ การตรวจจับความร้อนสูงเกินไป การตรวจจับ VGS และ VDS ของ MOSFET ภายนอก |
||
พิกัดสูงสุดสัมบูรณ์ (Ta=-40 ถึง 125°C) |
แรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ 1 VB |
-0.3 ถึง 18 |
|
18 ถึง 40 (ภายในหนึ่งวินาที) |
|||
แรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ 2 VCC |
-0.3 ถึง 6 |
||
อุณหภูมิแวดล้อม Ta (°C) |
-40 ถึง 125 |
||
ช่วงการทํางาน (Ta=-40 ถึง 125°C) |
ช่วงการทํางานของแรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ 1 VB |
7 ถึง 18 |
|
ช่วงการทํางานของแรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ 2 VCC |
4.5 ถึง 5.5 |
||
ช่วงการทํางานของอุณหภูมิย่านการทำงาน |
-40 ถึง 150 |
||
แพ็คเกจ |
ประเภท |
P-VQFN24-0404-0.50-003 |
|
ขนาด (มิลลิเมตร) |
ประเภท |
4.0×4.0 |
|
ความน่าเชื่อถือ |
ได้รับการรับรอง AEC-Q100 (เกรด 1) |
||
ไปที่ลิงค์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TB9103FTG
ไปที่ลิงค์ด้านล่างสําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ Toshiba สําหรับไดรเวอร์มอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านสําหรับยานยนต์
Automotive Brushed DC Motor Driver ICs
* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูล ณ วันที่ประกาศ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ซัพพลายเออร์ชั้นนําด้านเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงและโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูล โดยใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนําเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นแก่ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ
พนักงาน 19,400 คนทั่วโลกมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงสุด และส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในการร่วมสร้างคุณค่าและตลาดใหม่ บริษัทมมุ่งหวังที่จะสร้างและมีส่วนร่วมในอนาคตที่ดีกว่าสําหรับผู้คนทั่วโลก
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TDSC ได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54117192/en
ติดต่อ
สอบถามข้อมูลลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์อนาล็อกและยานยนต์
โทรศัพท์: +81-44-548-2219
ติดต่อเรา
สอบถามสื่อ:
Chiaki Nagasawa
ฝ่ายการตลาดดิจิทัล
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp
ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
ซาอุดีอาระเบียจัดแสดงการลงทุนด้านการท่องเที่ยวเชิงกลยุทธ์ ที่งาน IHIF Asia เปิดประตูสู่นักลงทุน
ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–10 กันยายน 2024
ซาอุดีอาระเบียกําลังสร้างตัวเองให้เป็นผู้นําระดับโลกอย่างรวดเร็วในด้านการท่องเที่ยว โดยความสําเร็จอันน่าทึ่งของซาอุดิอาระเบียในปี 2023 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมนี้ ความก้าวหน้าครั้งนี้จัดแสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ในงาน IHIF Asia International Hospitality Investment Forum ที่ฮ่องกง ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบียได้เน้นย้ำถึงศักยภาพอันมหาศาลสําหรับนักลงทุนต่างชาติ ในการใช้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบียที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีความหลากหลาย

Tareq Al-Shaghrood ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนการลงทุนและสถานที่ท่องเที่ยว กล่าวในงาน IHIF Asia (ภาพ: AETOSWire)
ที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ของซาอุดีอาระเบียที่เป็นจุดตัดของสามทวีป และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นกับเอเชีย ตอกย้ำถึงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก ในปี 2023 ซาอุดิอาระเบียต้อนรับนักท่องเที่ยวจากเอเชียมากกว่า 20.9 ล้านคน ซึ่งใช้จ่ายเงินรวมกัน 25.7 พันล้านดอลลาร์ การหลั่งไหลเข้าอย่างมีนัยสําคัญนี้เน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของตลาดเอเชียที่มีต่อศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบียและโอกาสอันน่าดึงดูดใจที่นำเสนอให้กับนักลงทุน ความน่าดึงดูดใจของซาอุดิอาระเบียต่อนักท่องเที่ยวชาวเอเชียนั้นเห็นได้จากการเติบโตอย่างมากของรายรับจากการท่องเที่ยว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งสําหรับซาอุดีอาระเบียในฐานะจุดหมายปลายทางที่มีความหลากหลายและมั่งคั่งทางวัฒนธรรม
เพื่อใช้ประโยชน์จากแรงผลักดันนี้ ซาอุดิอาระเบียจึงได้เปิดตัวโครงการ Tourism Investment Enablers Program (TIEP) โดยมีโครงการ Hospitality Investment Enablers (HIE) ทําหน้าที่เป็นรากฐานที่สําคัญ HIE ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านที่พักในพื้นที่ท่องเที่ยวสําคัญอย่างมีนัยสําคัญ ส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 11 พันล้านดอลลาร์ และGDP ต่อปีเพิ่มขึ้น 4.3 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ความคิดริเริ่มนี้ยังมีเป้าหมายที่จะสร้างงานใหม่ 120,000 ตําแหน่ง ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในวงกว้างของซาอุดีอาระเบีย สิ่งจูงใจที่สําคัญ ได้แก่ การยกเว้นภาษีนิติบุคคล การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม และการเข้าถึงที่ดินของรัฐบาลภายใต้เงื่อนไขที่เอื้ออำนวย ทําให้นักลงทุนเข้าสู่ตลาดได้ง่ายและคุ้มค่ายิ่งขึ้น
ไฮไลท์ของการเข้าร่วมของซาอุดีอาระเบียในงาน IHIF Asia คือการอภิปรายในหัวข้อ “Invest, Enable, Prosper: Empowering Tourism Destinations” การสนทนาแบบเป็นกันเองครั้งนี้นําโดย Mr. Tareq Al-Shaghrood ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนการลงทุนและสถานที่ท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย ได้สํารวจแนวทางเชิงกลยุทธ์ของราชอาณาจักรในการพัฒนาระบบนิเวศการท่องเที่ยวระดับโลกที่มีความหลากหลาย “ความมุ่งมั่นของซาอุดีอาระเบียในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลาย ตั้งแต่มรดกทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ไปจนถึงการท่องเที่ยวที่หรูหราและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ได้รับการสนับสนุนจากกรอบแรงจูงใจและการสนับสนุนที่แข็งแกร่งสําหรับนักลงทุน วิสัยทัศน์ของเราคือการสนับสนุนและเสริมพลังให้กับผู้ร่วมเดินทางกับเราในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจถึงความเจริญรุ่งเรืองสําหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด” Al-Shaghrood กล่าว
ผลการดําเนินงานด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศของซาอุดีอาระเบียในปี 2023 นั้นน่าประทับใจ โดยอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลกในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเพิ่มขึ้น 11 อันดับเมื่อเทียบกับปี 2019 นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียยังอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลกในด้านรายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยขยับขึ้น 15 อันดับเมื่อเทียบกับปี 2019 จากข้อมูลของ UN Tourism Barometer (พฤษภาคม 2024) ซาอุดีอาระเบียอยู่ในอันดับหนึ่งในบรรดาจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด ในแง่ของอัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ และรายได้จากการท่องเที่ยวเมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดโรคระบาด
ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียยังคงก้าวขึ้นเป็นผู้นำจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว ราชอาณาจักรจึงเชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลกให้คว้าโอกาสที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ธรรมดานี้ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ และความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ในการเติบโตอย่างยั่งยืน ซาอุดีอาระเบียจึงมอบโอกาสที่ไม่มีใครเทียบได้สําหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและให้ผลตอบแทนสูง
*ที่มา: AETOSWire
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54119274/en
ติดต่อ
Najla AlKhalifa
ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสื่อสาร
Najla@mt.gov.sa
ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย
DishHome ของเนปาลยกระดับข้อเสนอและประสบการณ์ของลูกค้าด้วย Hansen
เมลเบิร์น ออสเตรเลีย–(BUSINESS WIRE)–10 กันยายน 2024
Hansen Technologies (ASX:HSN) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และบริการชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมการสื่อสาร พลังงาน และน้ำ มีความยินดีที่จะประกาศว่า DishHome ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ชั้นนำของเนปาลได้อัปเกรด Hansen CCB เวอร์ชันของตน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องมือการสื่อสาร เทคโนโลยี และสื่อของ Hansen (Hansen Suite for Communications, Technology & Media) นอกจากนี้ บริษัทจะใช้ประโยชน์จากระบบการดูแลลูกค้าและการเรียกเก็บเงินแบบครบวงจรของ Hansen สำหรับบรอดแบนด์และเคเบิลด้วย เนื่องจากบริษัทมุ่งมั่นที่จะมอบบริการในระดับที่ดีขึ้นแก่ฐานลูกค้าที่กำลังเติบโตทั่วประเทศ
ก่อนการอัปเกรดครั้งนี้ ลูกค้าที่รับสัญญาณโทรทัศน์ตรงจากดาวเทียมและลูกค้าไฟเบอร์เน็ตของ DishHome จะถูกเรียกเก็บเงินแยกกันสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ตนสมัครใช้บริการ แต่ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ Hansen รุ่นล่าสุดทำให้ลูกค้าของ DishHome สามารถชำระค่าบริการสำหรับการเชื่อมต่อและความบันเทิงเพียงครั้งเดียวได้ ลูกค้าจึงไม่ต้องชำระบิลหลายใบหรือชำระเงินให้ผู้ให้บริการหลายราย
สำหรับ DishHome ประสิทธิภาพและการประหยัดต้นทุนเป็นเพียงเหตุผลส่วนเล็กๆ ที่ทำให้บริษัทตัดสินใจอัปเกรดในครั้งนี้ เนื่องจากประโยชน์ที่จะได้รับคือการที่บริษัทสามารถเปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์และข้อเสนอที่น่าสนใจมากขึ้นในตลาดได้ง่ายกว่าเดิม โดยลูกค้ายังสามารถใช้ส่วนลดและคูปองต่างๆ รวมถึงใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์เพิ่มเติมภายในข้อเสนอวอลเล็ตได้อีกด้วย
Sudeep Acharya ผู้อำนวยการบริษัท Dish Media Network Limited ให้ความเห็นว่า: “Hansen เป็นพันธมิตรหลักด้านเทคโนโลยีของ DishHome มาตั้งแต่ปี 2016 การอัปเกรดเทคโนโลยีล่าสุดนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์ของ Hansen เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและความเป็นพันธมิตรที่แท้จริงระหว่างทีมของเราด้วย ความสามารถของพวกเขาในการรับรู้ถึงความต้องการของลูกค้าและโอกาสทางการตลาดทำให้เราสามารถมอบประสบการณ์ที่ทันสมัยและยืดหยุ่นให้กับลูกค้าได้ ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าสำคัญของพวกเขาในฐานะพันธมิตร เรารอคอยที่จะได้สำรวจโอกาสเพิ่มเติมร่วมกันเพื่อขยายบริการที่ DishHome สามารถมอบให้กับลูกค้าได้ในอนาคต”
Scott Weir ประธานฝ่ายสื่อสารของ Hansen ให้ความเห็นว่า: “การเปลี่ยนเนปาลให้ทันสมัยอย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่จะส่งผลให้ความต้องการการเชื่อมต่อที่เร็วขึ้นและข้อเสนอความบันเทิงที่ราบรื่นเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้ความคาดหวังของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย เรามีความยินดีที่จะสานต่อความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานกับ DishHome และยินดีที่จะเสนอความยืดหยุ่นที่มากขึ้นในชุดผลิตภัณฑ์และข้อเสนอ ความสามารถในการลดจำนวนบิลที่ต้องชำระ รวมทั้งส่วนลดและคูปองใหม่ๆ การปรับปรุงเหล่านี้จะส่งผลให้ลูกค้าของเราประหยัดค่าใช้จ่ายและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการบำรุงรักษาฐานข้อมูล การรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว”
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hansen Technologies ได้ที่ www.hansencx.com
เกี่ยวกับ Hansen
Hansen Technologies (ASX: HSN) เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และบริการชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมพลังงาน น้ำ และการสื่อสาร Hansen ให้บริการลูกค้าในกว่า 80 ประเทศ โดยช่วยให้ลูกค้าสร้าง ขาย และมอบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ตลอดจนจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า รวมถึงควบคุมการจัดการรายได้ที่สำคัญและกระบวนการสนับสนุนลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ที่ได้รับรางวัลของตน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hansencx.com
DishHome
Dish Media Network Limited หรือ ‘DishHome’ เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมการออกอากาศและบริการอินเทอร์เน็ตของเนปาล DMN ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 โดยเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบรับสัญญาณตรงจากดาวเทียม (DTH) รายแรกและรายเดียวของเนปาล บริษัทดังกล่าวให้บริการครัวเรือนโดยตรงกว่า 2 ล้านครัวเรือนผ่านหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น ทีวีผ่านดาวเทียมและไฟเบอร์เน็ต (Dish Media Network), ทีวีเคเบิล (SIM TV), T2 TV และ IPTV (Prabhu Digital) จุดแข็งที่สำคัญข้อหนึ่งของ DMN อยู่ที่เครือข่ายตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนจำหน่ายรายย่อย และแฟรนไชส์บริการมากกว่า 5,000 ราย ซึ่งสามารถให้บริการลูกค้าของเราได้ในทันที
หลังจากสั่งสมประสบการณ์และประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานกว่า 13 ปีในการให้บริการโทรทัศน์แบบชำระเงิน DishHome ก็ได้เปิดตัวบริการอินเทอร์เน็ต FTTH ภายใต้ชื่อแบรนด์ 'DishHome Fibernet' ในปี 2020 จนถึงตอนนี้ DishHome Fibernet ได้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ลูกค้ารายย่อยที่มีความพึงพอใจในบริการมากกว่า 300,000 รายผ่านวิศวกรและช่างเทคนิคที่ผ่านการรับรองและมากประสบการณ์
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.dishhome.com.np/
เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ข้อมูลติดต่อ
Adnan Bashir
Global Lead, External Communications
Hansen Technologies
+1 647-204-0999
แหล่งที่มา: Hansen Technologies
You must be logged in to post a comment.