Xsolla กลับมาเป็นผู้สนับสนุนหลักของ Global Game Jam 2026 เพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์และส่งเสริมการเติบโตของชุมชนทั่วโลก

Logo

ความร่วมมือนี้ช่วยเสริมสร้างการศึกษา ทรัพยากรสำหรับนักพัฒนา และการมีส่วนร่วมระดับโลกในงานสร้างเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–24 ธันวาคม 2025

Xsolla บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการค้าวิดีโอเกม ซึ่งให้ความช่วยเหลือนักพัฒนาเกมในการเปิดตัว ขยายการเติบโต และสร้างรายได้จากเกมของพวกเขา ได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับ Global Game Jam (GGJ) ในฐานะผู้สนับสนุนหลักสำหรับการจัดงานในปี 2026 ความร่วมมือนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Xsolla ในการสนับสนุนนักพัฒนาเกมทุกระดับประสบการณ์ และขยายโอกาสสำหรับผู้สร้างสรรค์ในชุมชนการพัฒนาเกมระดับนานาชาติ

(Graphic: Xsolla)

(กราฟฟิก: Xsolla)

Global Game Jam เป็นกิจกรรมที่รวบรวมผู้เข้าร่วมหลายหมื่นคนจากทั่วโลกในแต่ละปี เพื่อร่วมกันสร้างเกม เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และทำงานร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ผ่านความร่วมมือนี้ Xsolla และ GGJ จะนำเสนอประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ ๆ เนื้อหาที่จัดทำร่วมกันภายใต้แบรนด์เดียวกัน รวมถึงการสนับสนุนโดยตรงที่เข้าถึงนักพัฒนาหน้าใหม่และผู้สร้างสรรค์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว

หัวข้อหลักของการประกวดในปีนี้คือ การเล่นข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform Play) ซึ่งส่งเสริมให้ทีมต่างๆ ออกแบบและสร้างเกมที่เชื่อมต่อกันได้อย่างราบรื่นในทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงพีซี เว็บ และมือถือ รูปแบบการเล่นหลักยังคงเหมือนเดิม ในขณะที่ส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) และการควบคุมสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามอุปกรณ์ ทีมต่างๆ สามารถเชื่อมโยงแนวคิดและเกมของตนกับหัวข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของ GGJ เพื่อเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และโอกาสในการค้นพบเกมของตนได้มากขึ้น

เพื่อเป็นการสนับสนุนเหล่าครีเอเตอร์ Xsolla จะเป็นเจ้าภาพจัดงาน GGJ ที่สำนักงานของพวกเขาในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และจัดเวิร์คช็อปเพิ่มเติม พร้อมทั้งจัดหาสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อช่วยให้พวกเขาเปิดตัว เติบโต และประสบความสำเร็จ

“Global Game Jam สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความคิดสร้างสรรค์ การทดลอง และชุมชน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของเราไปข้างหน้า” Berkley Egenes ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและการเติบโตของ Xsolla กล่าว “เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้สนับสนุนเหล่านักพัฒนาที่ยอดเยี่ยมซึ่งมารวมตัวกันทุกปีเพื่อเรียนรู้ ร่วมมือ และสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ เรามุ่งเน้นที่จะมอบเส้นทางที่ชัดเจนและทรัพยากรที่ใช้งานได้จริง เพื่อช่วยให้ผู้สร้างสามารถพัฒนาโครงการของตนต่อไปได้แม้หลังจากจบการแข่งขันแล้ว”

Global Game Jam ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในฐานะจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับผู้มีความสามารถหน้าใหม่ และเป็นสถานที่รวมตัวระดับนานาชาติสำหรับนักพัฒนา นักการศึกษา นักเรียน และสตูดิโอต่างๆ ความร่วมมือระหว่าง Xsolla และ GGJ ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ และโอกาสระยะยาวสำหรับผู้เข้าร่วมทั่วโลก

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Global Game Jam สถานที่จัดงาน และรายละเอียดการเข้าร่วม โปรดเยี่ยมชม:globalgamejam.org

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสนับสนุน Global Game Jam ของ Xsolla โปรดเยี่ยมชม:https://xsolla.pro/globalgamejam2026

เกี่ยวกับ Xsolla

Xsolla เป็นบริษัทพาณิชย์ระดับโลกที่มีเครื่องมือและบริการอันแข็งแกร่งเพื่อช่วยนักพัฒนาแก้ไขปัญหาสำคัญต่างๆ ของอุตสาหกรรมวิดีโอเกม ตั้งแต่เกมอินดี้ไปจนถึงเกมระดับ AAA บริษัทต่างๆ ร่วมมือกับ Xsolla เพื่อช่วยระดมทุน จัดจำหน่าย ทำการตลาด และสร้างรายได้ให้กับเกมของพวกเขา ด้วยความเชื่อมั่นในอนาคตของวิดีโอเกม Xsolla มุ่งมั่นในพันธกิจที่จะเชื่อมโยงโอกาสต่างๆ เข้าด้วยกัน และจัดหาทรัพยากรใหม่ๆ ให้กับเหล่าครีเอเตอร์อย่างต่อเนื่อง โดย Xsolla มีสำนักงานใหญ่และจดทะเบียนในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย โดยดำเนินงานในฐานะผู้ค้าเกม และได้ช่วยเหลือนักพัฒนาเกมมากกว่า 1,500 คน ให้เข้าถึงผู้เล่นได้มากขึ้นและขยายธุรกิจไปทั่วโลก ด้วยเส้นทางสู่ผลกำไรและหนทางสู่ชัยชนะที่มากขึ้น นักพัฒนาเกมจึงมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเพลิดเพลินไปกับเกม

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม:xsolla.com

เกี่ยวกับ Global Game Jam

Global Game Jam (GGJ) เป็นกิจกรรมสร้างเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยรวบรวมนักพัฒนา ศิลปิน และผู้สร้างสรรค์ผลงานทุกระดับประสบการณ์มาร่วมสร้างสรรค์ ทดลอง และพัฒนาเกมภายในระยะเวลา 48 ชั่วโมง GGJ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และการเรียนรู้ภายในชุมชนผู้สร้างเกมระดับโลก

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม:globalgamejam.org

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:
https://www.businesswire.com/news/home/20251223955533/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ผู้ประสานงานสื่อ
Derrick Stembridge
รองประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ระดับโลก บริษัท Xsolla
d.stembridge@xsolla.com

ที่มา: Xsolla


Toshiba เปิดตัวตัวเปรียบเทียบแบบ CMOS คู่ ที่ตอบสนองความเร็วสูงและช่วงอินพุต/เอาต์พุตเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับการตรวจจับกระแสเกินในอุปกรณ์อุตสาหกรรม

Logo

คาวาซากิ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–24 ธันวาคม 2025

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) ได้เปิดตัวตัวเปรียบเทียบแบบ CMOS คู่ “TC75W71FU” ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นคือ การตอบสนองความเร็วสูงและช่วงอินพุต/เอาต์พุตเต็มรูปแบบ (Rail to Rail) เหมาะสำหรับการใช้งานตรวจจับกระแสเกินในอุปกรณ์อุตสาหกรรม[1] โดยเริ่มจัดส่งแล้ววันนี้

Toshiba: TC75W71FU, a CMOS dual comparator that features a high-speed response and a full input/output range (Rail to Rail).

Toshiba: TC75W71FU เป็นตัวเปรียบเทียบแบบ CMOS คู่ ที่มีคุณสมบัติการตอบสนองความเร็วสูงและช่วงอินพุต/เอาต์พุตเต็มรูปแบบ (Rail to Rail)

อุปกรณ์อุตสาหกรรมในปัจจุบันใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณมากในมอเตอร์ขับเคลื่อนและวงจรไฟฟ้า ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดกระแสเกินอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ หยุดสายการผลิต และลดความปลอดภัยได้ ดังนั้นการตรวจจับและป้องกันกระแสเกินอย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ในการค้นหาประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและการลดขนาดผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ช่วงกระแสและแรงดันที่วงจรสามารถรองรับได้จึงแคบลง และแม้แต่กระแสเกินเพียงเล็กน้อยก็อาจสร้างภาระอย่างมากให้กับวงจร ทำให้ความต้องการเทคโนโลยีตรวจจับกระแสเกินที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นนั้นเพิ่มสูงขึ้น

ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มีอัตราหน่วงเวลาในการแพร่กระจายที่เร็วกว่า TC75W56FU รุ่นปัจจุบัน โดยมีค่าสูงสุด 45 นาโนวินาทีสำหรับการเปลี่ยนจากระดับต่ำไปสูง และ 30 นาโนวินาทีสำหรับการเปลี่ยนจากระดับสูงไปต่ำ[2] ซึ่งสามารถปิดการทำงานของอุปกรณ์ได้ทันทีในกรณีที่เกิดกระแสไฟเกิน ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน

ช่วงแรงดันอินพุต/เอาต์พุตสนับสนุนช่วงการทำงานเต็มรูปแบบ ตั้งแต่แรงดันไฟเลี้ยงต่ำสุด (GND) ถึงสูงสุด (Vcc) ทำให้การออกแบบง่ายขึ้น โดยแรงดันไฟเลี้ยงใช้งานต่ำสุดอยู่ที่ 1.8V รองรับการทำงานที่แรงดันต่ำ เนื่องจากตัวเปรียบเทียบใหม่นี้ยังมีเอาต์พุตแบบพุชพูล[3] ทำให้เวลาในการเพิ่มและลดสัญญาณรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องใช้ตัวต้านทานพูลอัพภายนอก และสามารถรักษาระดับแรงดันให้คงที่ได้

นอกจาก TC75W71FU แล้ว ยังมี TC75W72FU ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มฮิสเทอรีซิสเพื่อเพิ่มความต้านทานต่อสัญญาณรบกวน และ TC75W73FU[4] ซึ่งมีฮิสเทอรีซิสและเอาต์พุตแบบโอเพ่นเดรน[5] ที่สามารถส่งสัญญาณไปยังโดเมนแรงดันที่แตกต่างจากแหล่งจ่ายไฟของตัวเปรียบเทียบได้ โดยมีกำหนดเริ่มการผลิตจำนวนมากในเดือนกุมภาพันธ์ 2026

Toshiba จะยังคงพัฒนาตัวเปรียบเทียบที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์อุตสาหกรรม และขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายต่อไป

หมายเหตุ:

[1]

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม, เครื่องกำเนิดไฟฟ้า, เครื่องสำรองไฟ (UPS), หม้อแปลงไฟฟ้า ฯลฯ

[2]

เวลาหน่วงการแพร่กระจายของผลิตภัณฑ์ TC75W56FU ที่มีอยู่: ภายใต้เงื่อนไขการวัด VDD =3V ต่ำไปสูงโดยทั่วไปคือ 550 นาโนวินาที, สูงไปต่ำโดยทั่วไปคือ 250 นาโนวินาที

[3]

เอาต์พุตแบบพุชพูล: การกำหนดค่าที่วงจรเอาต์พุตประกอบด้วยทรานซิสเตอร์สองตัว ตัวหนึ่งอยู่ด้านบนของวงจร อีกตัวอยู่ด้านล่าง ทำหน้าที่ขับระดับสูงและระดับต่ำไปพร้อมกัน

[4]

 เวลาหน่วงในการส่งสัญญาณมีเพียง 30 นาโนวินาที (สูงไปต่ำ) ภายใต้เงื่อนไขการวัดของ VDD =3.3V

[5]

เอาต์พุตแบบโอเพ่นเดรน: การกำหนดค่าที่วงจรเอาต์พุตประกอบด้วยทรานซิสเตอร์ตัวล่างเพียงตัวเดียว ซึ่งทำหน้าที่ขับระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง

การใช้งาน

  • อุปกรณ์อุตสาหกรรม (หุ่นยนต์อุตสาหกรรม, UPS, เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์, แหล่งจ่ายไฟ ฯลฯ)
  • อุปกรณ์สำหรับผู้บริโภค (เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน, แหล่งจ่ายไฟ ฯลฯ)

คุณสมบัติ

  • ช่วง I/O เต็มรูปแบบ
  • การขับเคลื่อนแรงดันต่ำ: 1.8V
  •  การตอบสนองความเร็วสูง: tPLH 45ns (สูงสุด), tPHL 30ns (สูงสุด) (VDD =3.3V)

ข้อมูลจำเพาะหลัก

หมายเลขชิ้นส่วน

 TC75W71FU

 TC75W72FU[6]

 TC75W73FU[6]

 ชื่อแพ็กเกจ
 (รหัสแพ็กเกจ)

 SOT-505
 (SM8)

อัตราการทำงาน

 แรงดันไฟฟ้าจ่าย VDD (V)
 Topr =-40 ถึง 125°C

1.8 ถึง 5.5

คุณลักษณะไฟฟ้ากระแสตรง

 กระแสจ่ายไฟ IDD (μA)
 VDD =1.8V, VOUT =สูง, VIN =VSS, Ta =25°C

ทั่วไป

276

 แรงดันออฟเซ็ตขาเข้า
 VIO (mV)

 VDD =1.8V, VSS <VIN <VDD , Ta =25°C

สูงสุด

17

 แรงดันฮิสเทอรีซิสขาเข้า
 VHYST (mV)

 VIN =VSS , VDD =1.8V, Ta =25°C

ทั่วไป

3.5

 ต่ำไปสูง, โอเวอร์ไดรฟ์ 100 mV
 tPLH (ns)

 VDD =3.3V, Ta =25°C

ทั่วไป

23

สูงสุด

45

 สูงไปต่ำ, โอเวอร์ไดรฟ์ 100 mV
 tPHL (ns)

 VDD =3.3V, Ta =25°C

ทั่วไป

14

11

สูงสุด

30

30

ประเภทเอาต์พุต

พุชพูล

โอเพ่นเดรน

ช่วงอินพุตและเอาต์พุตเต็มรูปแบบ

อินพุต/เอาต์พุตแบบ Rail-to-Rail

ตรวจสอบตัวอย่างและความพร้อมใช้งาน

 ซื้อออนไลน์

หมายเหตุ:

[6]

 มีกำหนดเริ่มการผลิตจำนวนมากในเดือนกุมภาพันธ์ 2026

คลิกที่ลิงก์ด้านล่างเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TC75W71FU

หากต้องการตรวจสอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวงจรขยายสัญญาณปฏิบัติการและตัวเปรียบเทียบของ Toshiba โปรดไปที่:
Basics of Operational Amplifiers and Comparators

หากต้องการตรวจสอบความพร้อมจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ใหม่จากผู้จำหน่ายออนไลน์ โปรดไปที่:
TC75W71FU
ซื้อออนไลน์

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้นๆ
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและรายละเอียดสินค้า เนื้อหาของบริการ และข้อมูลติดต่อ เป็นข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ประกาศ แต่ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง ใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมมากกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ

พนักงานทั่วโลกจำนวน 17,000 คน มีปณิธานที่จะเพิ่มคุณค่าสูงสุดให้กับทุกผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนการทำงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างคุณค่าและตลาดใหม่ร่วมกัน บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างและมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนทั่วโลก

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251223600868/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

การสอบถามข้อมูลจากลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดของอุปกรณ์แอนะล็อก
โทร.: +81-44-548-2219
ติดต่อเรา

การสอบถามข้อมูลจากสื่อ:
C. Nagasawa
ฝ่ายสื่อสารและข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

HARMAN เตรียมเข้าซื้อกิจการ ADAS ของ ZF

Logo

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ช่วยเสริมสร้างรากฐานเชิงกลยุทธ์ของ HARMAN ในด้าน ADAS และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์แบบรวมศูนย์ เพื่อกำหนดทิศทางตลาด SDV ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

สแตมฟอร์ด รัฐคอนเนตทิคัต–(BUSINESS WIRE)–23 ธันวาคม 2025

HARMAN International ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีสำหรับยานยนต์และเครื่องเสียงเพื่อไลฟ์สไตล์ และบริษัทในเครือของ Samsung Electronics Co., Ltd. ประกาศในวันนี้ว่าได้บรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการเข้าซื้อกิจการระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ของ ZF Group ซึ่งประกอบด้วยโซลูชันการประมวลผลสำหรับยานยนต์ชั้นนำ กล้องอัจฉริยะ เรดาร์ และฟังก์ชันซอฟต์แวร์ ADAS โดยมีมูลค่าการทำธุรกรรม 1.5 พันล้านยูโร

Mathias Miedreich, CEO of ZF Group; Young Sohn, Chairman of the Board of Directors, HARMAN and Senior Advisor, Samsung Electronics; and Christian Sobottka, Chief Executive Officer and President, Automotive Division, HARMAN, sign a definitive agreement for HARMAN to acquire ZF’s ADAS business – strengthening HARMAN’s leadership in software-defined vehicles and advancing a unified safety-to-experience platform for automakers worldwide.

Mathias Miedreich ซีอีโอของ ZF Group; Young Sohn ประธานกรรมการบริหารของ HARMAN และที่ปรึกษาอาวุโสของ Samsung Electronics; และ Christian Sobottka ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานฝ่ายยานยนต์ของ HARMAN ลงนามในข้อตกลงขั้นสุดท้ายเพื่อให้ HARMAN เข้าซื้อกิจการ ADAS ของ ZF ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของ HARMAN ในด้านยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ และพัฒนาแพลตฟอร์มความปลอดภัยและประสบการณ์การขับขี่แบบครบวงจรสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก

ก้าวสำคัญเชิงกลยุทธ์สู่สถาปัตยกรรมยานยนต์แบบบูรณาการและรวมศูนย์

กลยุทธ์ “ประสบการณ์ผู้บริโภค ระดับยานยนต์” ของ HARMAN มุ่งเน้นการนำความเร็ว ความชาญฉลาด และประสบการณ์ที่ใช้งานง่ายซึ่งผู้บริโภคคาดหวังจากแบรนด์เทคโนโลยีชั้นนำมาสู่ยานยนต์ ขณะเดียวกันก็ตอบสนองมาตรฐานสูงสุดด้านความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และการสนับสนุนแพลตฟอร์มระยะยาวของยานยนต์ เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์กำลังเร่งพัฒนาไปสู่ยานยนต์ที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์ (SDV) แนวทางนี้จึงช่วยให้เกิดประสบการณ์ที่เชื่อมต่อฟังก์ชันด้านความปลอดภัยและระบบช่วยขับขี่เข้ากับความสะดวกสบาย การเชื่อมต่อ และความชาญฉลาดภายในรถยนต์ได้อย่างราบรื่น ด้วยการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ HARMAN ได้สร้างความก้าวหน้าเชิงกลยุทธ์ในตลาด ADAS และแพลตฟอร์มการประมวลผลส่วนกลาง เสริมสร้างรากฐานที่มั่นคงและก้าวหน้ายิ่งขึ้นในตลาด SDV ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ด้วยการผสานรวมความสามารถด้าน ADAS ของ ZF เข้ากับผลิตภัณฑ์เรือธง Digital Cockpit ของ HARMAN ภายใต้การออกแบบการประมวลผลแบบรวมศูนย์ การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จึงช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแผนงานของ HARMAN สำหรับสถาปัตยกรรมยานยนต์ยุคใหม่ การผสมผสานนี้จะช่วยสร้างรากฐานสำหรับโซลูชันการประมวลผลแบบรวมศูนย์ในอนาคต ซึ่งจะนำโซลูชันการขับขี่แบบช่วยเหลือและอัตโนมัติ ความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้มาไว้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน โดยแนวทางนี้จะช่วยลดความซับซ้อนในการออกแบบระบบ ลดความซับซ้อนในการบูรณาการ และสนับสนุนวงจรนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ HARMAN สามารถช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ขยายขอบเขตประสบการณ์ยานยนต์ที่แตกต่างและสอดคล้องกับบริบทได้

“อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่ความปลอดภัย ความชาญฉลาด และประสบการณ์ภายในห้องโดยสารต้องผสานรวมกันผ่านสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ที่เป็นหนึ่งเดียว” Christian Sobottka ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานฝ่ายยานยนต์ของ HARMAN กล่าว “ด้วยข้อตกลงนี้ เราได้ก้าวไปอีกขั้นในเชิงกลยุทธ์เพื่อขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเราด้วยความสามารถด้าน ADAS ที่เสริมกัน ซึ่งจะช่วยปลดล็อกประสบการณ์ข้ามโดเมนระดับใหม่ ตั้งแต่สัญญาณเสียงที่ปรับตามการรับรู้ ไปจนถึงการขับขี่ที่ปรับให้เข้ากับสถานการณ์และความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เมื่อรวมกับความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ที่ยาวนานของ HARMAN และการสนับสนุนจากความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่กว้างขวางของ Samsung ทำให้เราอยู่ในตำแหน่งที่จะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถออกแบบยานยนต์อัจฉริยะที่เข้าใจและเชื่อมต่อกันในอนาคตได้”

“ด้วยความร่วมมือกับ HARMAN เราได้พบกับพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพการเติบโตและนวัตกรรมของธุรกิจ ADAS ของเราอย่างเต็มที่” Mathias Miedreich ซีอีโอของ ZF Group กล่าว “ในขณะเดียวกัน ข้อตกลงนี้ยังช่วยลดหนี้สินของบริษัทและช่วยให้เราสามารถมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่เทคโนโลยีหลักที่ ZF เป็นผู้นำระดับโลกได้”

“Samsung มีประวัติความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยเร่งนวัตกรรมและขยายขอบเขตความเป็นไปได้สำหรับลูกค้าของเรา” Young Sohn ประธานกรรมการบริหารของ HARMAN และที่ปรึกษาอาวุโสของ Samsung Electronics กล่าว “นับตั้งแต่เข้าซื้อ HARMAN ในปี 2017 บริษัทได้ขยายธุรกิจยานยนต์และเครื่องเสียงจาก 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นมากกว่า 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน โดยการเพิ่มขีดความสามารถด้าน ADAS ของ ZF เข้ามาจะช่วยเสริมสร้างโมเมนตัมนั้นอีก โดย HARMAN จะขยายรากฐานเทคโนโลยีของตนต่อไปเพื่อมอบประสบการณ์ในรถยนต์ที่ปลอดภัย ชาญฉลาด และใช้งานง่ายยิ่งขึ้น การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ได้ช่วยตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำของ HARMAN ในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นระยะยาวของซัมซุงต่ออนาคตของการคมนาคมขนส่ง”

“ธุรกรรมนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการดำเนินกลยุทธ์ระยะยาวของ HARMAN และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรา” Carolin Reichert ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ HARMAN กล่าว “ตลอดกระบวนการ เราได้ทำงานร่วมกับ ZF อย่างสร้างสรรค์ และแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเราในการดำเนินการแยกส่วนธุรกิจที่ซับซ้อนอย่างยิ่งได้อย่างประสบความสำเร็จ”

โดยส่วนหนึ่งของข้อตกลงนี้ คาดว่าพนักงานของ ZF ประมาณ 3,750 คนทั่วทั้งยุโรป อเมริกา และเอเชีย จะย้ายไปอยู่กับ HARMAN เมื่อการทำธุรกรรมเสร็จสิ้น คาดว่าการทำธุรกรรมจะเสร็จสิ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 โดยขึ้นอยู่กับการได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง

เมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น HARMAN จะผสานรวมความสามารถด้าน ADAS ของ ZF เข้ากับแผนงานด้านการประมวลผลส่วนกลางและห้องโดยสารดิจิทัลของตน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถใช้งานสถาปัตยกรรมยานยนต์ที่ปรับขนาดได้และบูรณาการด้านความปลอดภัยได้มากขึ้น บริษัททั้งสองจะยังคงให้การสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งสำหรับโครงการที่มีอยู่ ในขณะเดียวกันก็ประสานทีมวิศวกรรม ADAS และการประมวลผลเพื่อเร่งนวัตกรรมสำหรับแพลตฟอร์มรุ่นต่อไป

เกี่ยวกับ HARMAN

HARMAN เป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีเครื่องเสียงไลฟ์สไตล์และยานยนต์ เราสร้างสรรค์ประสบการณ์อัจฉริยะที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นบนท้องถนน ในบ้าน บนเวที และทุกที่ทุกเวลา แบรนด์เครื่องเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา ได้แก่ JBL®, Harman Kardon®, AKG®, Bowers & Wilkins®, Denon® และ Marantz® นำเสนอคุณภาพเสียงระดับพรีเมียมแก่ผู้บริโภคและผู้เชี่ยวชาญด้านภาพและเสียงทั่วโลก รถยนต์กว่า 50 ล้านคันทั่วโลกไว้วางใจในเทคโนโลยีของ HARMAN เพื่อมอบประสบการณ์ภายในห้องโดยสารที่ปลอดภัย ชาญฉลาด และใช้งานง่ายยิ่งขึ้น โดย HARMAN เป็นบริษัทในเครือของ Samsung Electronics Co., Ltd. และมีพนักงานประมาณ 26,000 คนทั่วโลก

เกี่ยวกับ ZF

ZF เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่จัดหาผลิตภัณฑ์และระบบการคมนาคมขั้นสูงสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมของบริษัทมุ่งเน้นไปที่ผู้ผลิตยานยนต์ ผู้ให้บริการด้านการคมนาคม และบริษัทสตาร์ทอัพในด้านการขนส่งและการคมนาคมเป็นหลัก ZF นำเสนอเทคโนโลยีไฟฟ้าให้กับยานยนต์หลากหลายประเภท ด้วยผลิตภัณฑ์ของบริษัท บริษัทมีส่วนช่วยลดการปล่อยมลพิษ ปกป้องสภาพภูมิอากาศ และเพิ่มความปลอดภัยในการคมนาคม นอกเหนือจากภาคยานยนต์ – รถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ – ZF ยังให้บริการในกลุ่มตลาดอื่นๆ เช่น เครื่องจักรกลก่อสร้างและเกษตรกรรม พลังงานลม ระบบขับเคลื่อนทางทะเล ระบบขับเคลื่อนราง และระบบทดสอบ ด้วยพนักงานประมาณ 161,600 คนทั่วโลก ZF รายงานยอดขาย 41.4 พันล้านยูโรในปีงบประมาณ 2024 บริษัทดำเนินงานในโรงงานผลิต 161 แห่งใน 30 ประเทศ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251223683768/en

Contacts

สื่อ:

HARMAN
Dawn Geary
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารระดับโลก ฝ่ายยานยนต์
dawn.geary@harman.com

ZF Group
Mirko Gutemann
โฆษกฝ่ายวิจัยและพัฒนาองค์กร เทคโนโลยี ADAS/AD เทคโนโลยีความปลอดภัย
mirko.gutemann@zf.com

ที่มา: HARMAN

Toshiba เปิดตัวเซนเซอร์รับภาพเชิงเส้นแบบ CCD ชนิดลดเลนส์สำหรับการอ่านข้อมูลความเร็วสูงโดยอุปกรณ์ตรวจสอบภาพ

Logo

คาวาซากิ ญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–18 ธันวาคม 2025

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) ได้เปิดตัว “TCD2400DG” เซ็นเซอร์ภาพเชิงเส้น[1] CCD[2] แบบลดขนาดเลนส์ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับกล้องสแกนเส้น[3] ที่ใช้ในการตรวจสอบด้วยสายตา โดยสามารถเริ่มจัดส่งได้แล้วในวันนี้

Toshiba: “TCD2400DG,” a lens-reduction type CCD linear image sensor developed expressly for line scan cameras used in visual inspections.

Toshiba: “TCD2400DG” เซนเซอร์รับภาพเชิงเส้นแบบ CCD ชนิดลดเลนส์ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับกล้องสแกนเส้นที่ใช้ในการตรวจสอบด้วยสายตา

อุปกรณ์ตรวจสอบภาพที่ผสานรวมกล้องสแกนเส้น รวมถึงเครื่องคัดแยกสี ถูกนำไปใช้ในงานหลากหลายประเภท เช่น การคัดแยกและจัดเกรดอาหาร การตรวจจับและกำจัดสิ่งแปลกปลอม การระบุประเภทของพลาสติกรีไซเคิล และการตรวจจับรอยขีดข่วนหรือคราบสกปรกบนผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

TCD2400DG เป็นเซนเซอร์รับภาพเชิงเส้นแบบ CCD สีที่มี 4096 องค์ประกอบภาพในรูปแบบอาร์เรย์สามแถว โดยมีระยะห่างระหว่างองค์ประกอบ 7 ไมโครเมตร แต่ละแถวทำงานอย่างอิสระเพื่อแยกแยะสีแดง เขียว และน้ำเงิน (RGB) โดยอัตราความเร็วในการอ่านข้อมูลจากแถวซึ่งจำนวนแถวที่จับภาพได้ต่อวินาทีอยู่ที่ 22.7 kHz นั้นเร็วกว่า TCD2564DG ที่มีอัตราอยู่ที่ 10.5 kHz ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของ Toshiba สำหรับอุปกรณ์ตรวจสอบภาพ

อุปกรณ์ตรวจสอบภาพประมวลผลข้อมูลภาพจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็ว เพื่อระบุวัตถุที่เคลื่อนผ่านหน้าอุปกรณ์ได้อย่างแม่นยำและถูกต้องด้วยความเร็วสูง การเพิ่มความเร็วในการอ่านข้อมูลเป็นสองเท่าของ TCD2564DG จะทำให้ TCD2400DG ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลของอุปกรณ์ให้ดียิ่งขึ้น

เซนเซอร์สามารถบันทึกภาพสีความละเอียดสูงได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการประมวลผลการแทรกสอดสี[4] ที่จำเป็นสำหรับอาร์เรย์องค์ประกอบไบเออร์ ประสิทธิภาพนี้ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานกล้องสแกนเส้นสีที่ต้องการการตัดสินใจในทันที

เซนเซอร์ยังมีการปรับปรุงอื่นๆ อีกหลายประการ ส่วนวงจรสร้างสัญญาณเวลา[5] และวงจรขับ CCD[6] ซึ่งเดิมติดตั้งภายนอกในผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของ Toshiba ได้ถูกรวมเข้าไว้ในเซนเซอร์แล้ว ซึ่งช่วยลดจำนวนสายสัญญาณที่จำเป็นในการขับเคลื่อน CCD และทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ไดรเวอร์ CCD ภายนอก นอกจากนี้ยังช่วยขจัดความจำเป็นในการปรับเวลาอย่างเข้มงวดระหว่างสัญญาณ ทำให้การเดินสายไฟง่ายขึ้นและปรับปรุงกระบวนการพัฒนาระบบให้คล่องตัวยิ่งขึ้น การลดการเดินสายไฟภายนอกช่วยลดการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานที่ความเร็วสูง

Toshiba จะยังคงขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์และส่งเสริมความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการถ่ายภาพและการตรวจจับ เพื่อรองรับการใช้งานต่างๆ เช่น เครื่องสแกนสำหรับอุปกรณ์มัลติฟังก์ชันและอุปกรณ์ตรวจสอบ

หมายเหตุ:

[1]

วิธีการลดขนาดภาพโดยใช้เลนส์ออปติคอลและฉายภาพลงบนเซนเซอร์รับภาพ CCD หรือ CMOS

[2]

อุปกรณ์คู่ชาร์จ

[3]

กล้องที่สร้างภาพโดยการสแกนวัตถุทีละเส้น แตกต่างจากกล้องแบบพื้นที่ ที่มีอยู่เดิมซึ่งจับภาพ “พื้นผิว” ทั้งหมดในครั้งเดียว กล้องแบบสแกนเส้นจะจับภาพ “เส้น” อย่างต่อเนื่องและสร้างภาพที่สมบูรณ์ขึ้นเมื่อวัตถุเคลื่อนที่

[4]

กลไกที่จัดเรียงตัวกรอง R G และ B ในรูปแบบตารางหมากรุก ข้อมูลสีที่ขาดหายไปในแต่ละองค์ประกอบของอาร์เรย์จะถูกเติมเต็มจากองค์ประกอบโดยรอบเพื่อสร้างภาพสี

[5]

วงจรสำหรับสร้างสัญญาณที่จำเป็นในการขับเคลื่อนเซนเซอร์รับภาพเชิงเส้น

[6]

วงจรขยายสัญญาณขับเคลื่อนของเซนเซอร์ภาพรับภาพเชิงเส้น

* ดูการเปิดตัวนี้และรูปภาพได้ที่เว็บไซต์ของ Toshiba

Toshiba เปิดตัวเซนเซอร์รับภาพเชิงเส้นแบบ CCD ชนิดลดเลนส์สำหรับการอ่านข้อมูลความเร็วสูงโดยอุปกรณ์ตรวจสอบภาพ

การใช้งาน

  •  เครื่องคัดแยกสี
    • เครื่องคัดแยกอาหารสำหรับเมล็ดพืชและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ
    • เครื่องคัดแยกผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับเม็ดพลาสติกและวัสดุที่คล้ายกัน
  • อุปกรณ์ตรวจสอบ
    • การตรวจสอบเว็บ (สำหรับวัสดุแผ่น เช่น ม้วน กระดาษ ผ้า และฟิล์ม)
    • การตรวจสอบวัสดุสิ่งพิมพ์

คุณสมบัติ

  • อัตราความเร็วสูงในการอ่านข้อมูลจากแถว : 22.7kHz (สูงสุด)
  • จำนวนองค์ประกอบรับภาพ: 4096 องค์ประกอบ (สามแถวอิสระสำหรับ RGB) นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในอุปกรณ์ตรวจสอบ
  • อาร์เรย์องค์ประกอบประกอบด้วยแถวองค์ประกอบอิสระสามแถว (4096 องค์ประกอบ × 3 แถว) โดยแต่ละแถวใช้สำหรับ RGB ทำให้สามารถรับภาพความละเอียดสูงได้โดยไม่มีความล่าช้าที่เกิดจากการประมวลผลการแทรกค่าสี
  • วงจรสร้างสัญญาณเวลาและวงจรขับ CCD ในตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการพัฒนาระบบและลดการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI)

ข้อมูลจำเพาะหลัก

หมายเลขชิ้นส่วน

 TCD2400DG

 แรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ
 (ช่วงการทำงาน) (V)

 VAVDD , VDVDD , VCKDVDD : 3.1 ถึง 3.5

 VVDD10 : 9.5 ถึง 10.5

 ขนาดขององค์ประกอบตรวจจับภาพ
 (μm)

7×7 (ระยะพิทช์ 7μm)

 จำนวนองค์ประกอบ
 ตรวจจับภาพ

4096 องค์ประกอบ × 3 แถว (RGB ต่อแถว)

อัตราการส่งข้อมูล

สูงสุด

100MHz (50MHz×2 ช่อง)

อัตราความเร็วในการอ่านข้อมูลจากแถว

สูงสุด

22.7kHz

แพ็กเกจ

WDIP32

คุณสมบัติอื่นๆ/เพิ่มเติม

วงจรสร้างสัญญาณเวลา, วงจรขับ CCD

ติดตามลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TCD2400DG

ติดตามลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซนเซอร์รับภาพเชิงเส้นของ Toshiba
เซนเซอร์รับภาพเชิงเส้น

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้นๆ
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลติดต่อ เป็นข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ประกาศ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation เป็นซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชั่นเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง มีประสบการณ์และนวัตกรรมมากกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนำเสนอเซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ

พนักงานทั่วโลกจำนวน 17,000 คน มีปณิธานที่จะเพิ่มคุณค่าสูงสุดให้กับทุกผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนการทำงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างคุณค่าและตลาดใหม่ร่วมกัน บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างและมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนทั่วโลก

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/20251217615732/en

Contacts

การสอบถามข้อมูลจากลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์แอนะล็อก
โทร.: +81-44-548-2219
ติดต่อเรา
 
การสอบถามข้อมูลจากสื่อ:
C. Nagasawa
ฝ่ายสื่อสารและข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Modon Holding ร่วมทุนกับ Related Companies และ Panepinto Properties เพื่อพัฒนาโครงการ Harborside 4 อาคารที่พักอาศัยหรูริมน้ำใจกลางเมืองเจอร์ซีย์ซิตี

Logo

  • Modon เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ใน Harborside 4 โครงการพัฒนาอาคารสูง 54 ชั้นใจกลางเมืองเจอร์ซีย์ซิตี ซึ่งจะส่งมอบอพาร์ตเมนต์และคอนโดมิเนียมหรูให้เช่า 800 ยูนิตในไตรมาสที่ 1 ปี 2029
  • การร่วมทุนกับ Related และ Panepinto สนับสนุนกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องของ Modon ในการกระจายพอร์ตการลงทุนทั่วโลกผ่านการลงทุนที่มีคุณภาพสูงและความร่วมมือระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ –(BUSINESS WIRE)–22 ธันวาคม 2025

Modon Holding PSC (“Modon”) ประกาศในวันนี้ถึงการร่วมทุนใหม่เพื่อพัฒนาโครงการ Harborside 4 ซึ่งเป็นอาคารที่พักอาศัยสูง 54 ชั้น บนที่ดินริมน้ำทำเลทองแห่งสุดท้ายในใจกลางเมืองเจอร์ซีซิตี รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา โดย Modon จะถือหุ้นส่วนใหญ่ร่วมกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของสหรัฐฯ อย่าง Related Companies และ Panepinto Properties ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงมายาวนานในเจอร์ซีซิตี (“การร่วมทุน”) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งในกลยุทธ์ของกลุ่มบริษัทในการขยายพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายไปทั่วโลก

Harborside 4 render (Photo: AETOSWire)

ภาพจำลองโครงการ Harborside 4 (ภาพ: AETOSWire)

โครงการ Harborside 4 ได้รับการออกแบบโดย Handel Architects ที่จะนำเสนออพาร์ตเมนต์และคอนโดมิเนียมหรูให้เช่าจำนวน 800 ยูนิต ในใจกลางเมืองเจอร์ซีซิตี้ โดยอาคารจะมอบทัศนียภาพอันงดงามของเส้นขอบฟ้าแมนฮัตตัน และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์และการบริการระดับพรีเมียม รวมถึงฟิตเนสคลับชั้นนำและบริการคอนเซียร์จ ที่ตั้งอยู่ห่างจากแมนฮัตตันเพียงไม่กี่นาทีโดยรถไฟ PATH ข้ามแม่น้ำฮัดสัน และเรือเฟอร์รี่ พร้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกชุมชนอยู่ใกล้เคียง รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ต Whole Foods ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน โครงการนี้จะจัดสรรอพาร์ตเมนต์สำหรับอยู่อาศัยประมาณ 75% เพื่อสร้างรายได้ประจำที่มั่นคง ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 25% จะทำการตลาดเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อขาย โดยการก่อสร้างมีกำหนดเริ่มในไตรมาสที่ 1 ปี 2026 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1 ปี 2029

การร่วมทุนนี้จะร่วมกันดูแลการพัฒนาโครงการ โดย Related จะเป็นผู้นำด้านการพัฒนาและการบริหารจัดการก่อสร้าง การให้เช่า และการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งทาง Related นั้นมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาและการบริหารจัดการแบบบูรณาการมากว่า 50 ปี โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการมูลค่า 70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการก่อสร้างมูลค่ากว่า 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่วน Panepinto Properties ที่ได้พัฒนาพื้นที่กว่า 17 ล้านตารางฟุตในเมืองเจอร์ซีซิตี้ตั้งแต่ปี 1977 ได้นำมาซึ่งความรู้ในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งและความมุ่งมั่นที่มีมายาวนานต่อชุมชนในเมืองเจอร์ซีซิตี้ รวมถึงกลุ่มธนาคารที่นำโดย J.P. Morgan จะให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับการก่อสร้างโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นี้

H.E. Jassem Mohamed Bu Ataba Al Zaabi ประธานกรรมการของ Modon Holding กล่าวว่า “โครงการ Harborside 4 เป็นความก้าวหน้าตามธรรมชาติในการขยายธุรกิจระดับโลกของ Modon ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูงซึ่งสร้างมูลค่าในระยะยาว การร่วมมือกับ Related และ Panepinto ได้นำสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญและความทะเยอทะยานมารวมกันเพื่อช่วยสร้างชุมชนที่มีชีวิตชีวาและพร้อมสำหรับอนาคต และช่วยเสริมสร้างตำแหน่งของ Modon ในฐานะพันธมิตรด้านการลงทุนระหว่างประเทศที่น่าเชื่อถือ โครงการนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอระหว่างประเทศของเรา สนับสนุนกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง และเน้นย้ำวิสัยทัศน์ของ Modon ในการพัฒนาจุดหมายปลายทางในเมืองคุณภาพสูงในตลาดสำคัญทั่วโลก”

Bill O’Regan ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Modon Holding กล่าวว่า “โครงการ Harborside 4 สอดคล้องอย่างยิ่งกับกลยุทธ์การเติบโตในระดับสากลของเรา โดยเป็นการผสมผสานโอกาสในการพัฒนาโครงการชั้นเยี่ยมเข้ากับแผนการดำเนินงานที่เป็นระบบ และพันธมิตรที่มีศักยภาพสูง รวมถึงเป้าหมายของ Modon ในการเพิ่มรายได้ประจำในระยะยาว โดยความแข็งแกร่งด้านการดำเนินงานของ Related และความรู้ในท้องถิ่นของ Panepinto นั้นช่วยสร้างแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อความเป็นเลิศด้านการออกแบบและการดำเนินงานอย่างมีระเบียบวินัย เราจะทำงานร่วมกับ Related และ Panepinto อย่างใกล้ชิดเพื่อกำกับดูแลทุกขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาโครงการ ซึ่งจะช่วยให้ Harborside กลายเป็นชุมชนที่มีการบริหารจัดการที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงในระยะยาว ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ได้ช่วยตอกย้ำให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเราในการสร้างและเสริมสร้างความยืดหยุ่นของพอร์ตโฟลิโอระดับโลกที่หลากหลายของเรา”

Bruce A. Beal Jr. ประธานบริษัท Related Companies กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับทีมงานของ Modon Holding ในการทำให้โครงการที่น่าตื่นเต้นนี้เกิดขึ้นจริง ด้วยทำเลที่ตั้งที่ไม่มีใครเทียบได้ ห่างจากแมนฮัตตันเพียงไม่กี่นาทีในเมืองเจอร์ซีซิตี้ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว Harborside 4 จึงเป็นโอกาสอันดีเยี่ยมในการพัฒนาบ้านริมน้ำที่สวยงามสำหรับผู้อยู่อาศัยที่พิถีพิถัน ร่วมกับพันธมิตรและนักลงทุนที่แบ่งปันวิสัยทัศน์ของเราในการสร้างสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยในเมืองที่มีชีวิตชีวา”

Joseph Panepinto, Sr. ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Panepinto Properties กล่าวว่า “การเข้าซื้อ Harborside 4 ช่วยเสริมบทบาทของเราในการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำของเมืองเจอร์ซีย์ซิตีและพื้นที่โดยรอบอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ที่เคยเป็นเขตอุตสาหกรรมกำลังค่อยๆ พัฒนาเป็นย่านที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ที่ทันสมัยและโดดเด่น สร้างงานและรายได้ให้กับผู้อยู่อาศัยทุกคนในเมือง โครงการนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่กว้างขึ้นนั้น เรายังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเมืองในเขตต่างๆ”

Modon มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อาบูดาบี และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อาบูดาบี (ADX) ดำเนินธุรกิจหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม การบริหารสินทรัพย์ การลงทุน การจัดงาน และการท่องเที่ยว โดยพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศของ Modon ประกอบด้วย การร่วมทุน 50% ในการพัฒนาอาคารสำนักงาน 2 Finsbury Avenue ในลอนดอน โดยร่วมมือกับ British Land และ GIC; การเข้าซื้อกิจการ La Zagaleta ในสเปน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่อยู่อาศัยและสนามกอล์ฟที่หรูหราที่สุดในยุโรป; และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในสถานที่จัดการแข่งขันขี่ม้า Wellington International ในปาล์มบีชเคาน์ตี้ รัฐฟลอริดา ส่วนสินทรัพย์อื่นๆ ได้แก่ โรงแรมและรีสอร์ตในห้าประเทศทั่วสามทวีป สถานที่เล่นกีฬาและสันทนาการ และสถานที่จัดงานและนิทรรศการระดับโลกที่สำคัญ เช่น ศูนย์ ADNEC ในอาบูดาบี และ ExCel London

เกี่ยวกับ Modon:

Modon เป็นบริษัทโฮลดิ้งระดับนานาชาติ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อาบูดาบี (ADX) เราเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเมือง สร้างสรรค์งานออกแบบและประสบการณ์ที่โดดเด่นเหนือความคาดหมายอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจหลักของเราประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจบริการ การจัดการสินทรัพย์ การลงทุน กิจกรรม และการท่องเที่ยว เป้าหมายของเราคือการส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาว เพื่อสร้างรากฐานสำหรับการใช้ชีวิตอัจฉริยะและเชื่อมต่อถึงกัน

เกี่ยวกับ Related Companies

Related Companies เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์และไลฟ์สไตล์ระดับโลกที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรม และเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว โดย Related เป็นหนึ่งในเจ้าของและผู้อนุรักษ์ที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลายและครบวงจร โดยมีประสบการณ์ในทุกด้านของการพัฒนา การซื้อกิจการ การจัดการ การเงิน การตลาด และการขาย โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครนิวยอร์ก และ Related มีสำนักงานและโครงการพัฒนาขนาดใหญ่อยู่ทั้งในบอสตัน ชิคาโก ลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก เท็กซัส วอชิงตัน ดี.ซี. และลอนดอน รวมถึงมีทีมงานมืออาชีพประมาณ 4,000 คน และมีสินทรัพย์ที่ถือครองหรืออยู่ระหว่างการพัฒนามากกว่า 70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงย่าน Hudson Yards ขนาด 28 เอเคอร์ทางฝั่งตะวันตกของแมนฮัตตัน ศูนย์ Deutsche Bank Center ที่ Columbus Circle และ The 78 ในชิคาโก โดย Related นั้นได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อ 50 บริษัทที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในโลกจากนิตยสาร Fast Company ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Related ได้ที่ www.related.com

เกี่ยวกับ Panepinto

Panepinto Properties เป็นผู้นำตลาดและผู้ริเริ่มนวัตกรรมด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองเจอร์ซีย์ซิตีมาตั้งแต่ปี 1977 โดยดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ล้ำสมัยทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยมุ่งเน้นที่การออกแบบและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ระยะยาว และบริการด้านศิลปะร่วมสมัยสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย สำนักงาน และโรงแรม ในฐานะบริษัทที่ดำเนินงานโดยอิสระ Panepinto Properties ทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการเงิน หน่วยงานของเมืองและรัฐ วิศวกร สถาปนิก นักออกแบบ และศิลปิน เพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละโครงการมีความเป็นเอกลักษณ์และประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงและสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับย่านต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าให้กับชุมชนท้องถิ่น

*ที่มา: AETOSWire

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:
https://www.businesswire.com/news/home/20251222455854/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
Salma El Baghdadi
press@modon.com
ir@modon.com
www.modon.com
LinkedIn
X
Instagram
Facebook
YouTube

ที่มา: Modon Holding PSC

SSD ของ KIOXIA สามารถใช้งานร่วมกับตัวเร่งความเร็วในการจัดเก็บข้อมูล Adaptec® SmartRAID 4300 Series RAID ของ Microchip ได้แล้ว

Logo

SSD ซีรีส์ PCIe® /NVMe™ ได้ผ่านการทดสอบความเข้ากันได้และการทำงานร่วมกันในรูปแบบ 2.5 นิ้ว

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–18 ธันวาคม 2025

Kioxia Corporation ในวันนี้บริษัทได้ประกาศว่า SSD ของ KIOXIA CM7 Series Enterprise PCIe ® 5.0 NVMe™ 2.0, KIOXIA CD8P Series Data Center PCIe 5.0 NVMe 2.0 และ KIOXIA CD8 Series Data Center PCIe 4.0 NVMe 1.4 ขนาด 2.5 นิ้ว ผ่านการทดสอบความเข้ากันได้และการทำงานร่วมกับการ์ดตัวเร่งความเร็วในการจัดเก็บข้อมูล Adaptec® SmartRAID 4300 Series RAID จาก Microchip Technology Inc. เรียบร้อยแล้ว

KIOXIA CD8P Series Data Center SSD, KIOXIA CM7 Series Enterprise SSD, and KIOXIA CD8 Series Data Center SSD

KIOXIA CD8P Series Data Center SSD, KIOXIA CM7 Series Enterprise SSD และ KIOXIA CD8 Series Data Center SSD

ตัวเร่งความเร็ว Adaptec SmartRAID 4300 รองรับ SSD ของ NVMe ได้มากถึง 32 ตัว โดยแต่ละไดรฟ์เชื่อมต่อโดยตรงกับ CPU ผ่านช่องสัญญาณเฉพาะของตนเอง การออกแบบนี้จะช่วยขจัดปัญหาคอขวดของ PCIe ที่มักเกิดขึ้นกับอินเทอร์เฟซโฮสต์ x16 แบบดั้งเดิม ทำให้ SSD แต่ละตัวทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยสถาปัตยกรรมที่เป็นนวัตกรรมนี้จะให้ปริมาณงานและ IOPS ที่ยอดเยี่ยม ทำให้เป็นโซลูชันที่เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันระดับองค์กรที่ใช้ข้อมูลจำนวนมาก ความสำเร็จของโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันและความสามารถในการทำงานร่วมกันของระบบนิเวศ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงการบูรณาการที่ราบรื่นของเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคต

  • ชื่อ Microchip และ Adaptec เป็นเครื่องหมายการค้าของ Microchip Technology Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ
  • NVMe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนของบริษัท NVM Express, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ
  • PCIe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ PCI-SIG
  • ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia คือผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ โดยมุ่งมั่นในการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายหน่วยความจำแฟลชและไดรฟ์โซลิดสเตท (SSD) โดยในเดือนเมษายน 2017 บริษัท Toshiba Memory ซึ่งเป็นบริษัทก่อนหน้า ได้แยกตัวออกมาจาก Toshiba Corporation ที่เป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 1987 โดย Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจำ” โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและสร้างคุณค่าด้านหน่วยความจำให้กับสังคม ซึ่งเทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3 มิติที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของ Kioxia อย่าง BiCS FLASH™ กำลังกำหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี ระบบยานยนต์ ศูนย์ข้อมูล และระบบ AI เชิงสร้างสรรค์

*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและรายละเอียดสินค้า เนื้อหาของบริการ และข้อมูลติดต่อ เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251217461087/en

Contacts

การสอบถามสำหรับสื่อ:
Kioxia Corporation
แผนกการจัดการโปรโมชั่น
Satoshi Shindo
โทร.: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

Textron Aviation Defense ได้รับสัญญาฉบับแรกในการส่งมอบระบบฝึกอบรมแบบบูรณาการ Beechcraft T-6 Texan II ให้แก่ประเทศญี่ปุ่น

Logo

วิชิตา รัฐแคนซัส–(BUSINESS WIRE)–22 ธันวาคม 2025

Textron Aviation Defense LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Textron Inc. (NYSE:TXT) บริษัทได้ทำสัญญาฉบับแรกเพื่อส่งมอบระบบฝึกอบรมแบบบูรณาการ Beechcraft T-6JP Texan IIให้แก่กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น (JASDF) เรียบร้อยแล้ว โดยประสานงานกับ Kanematsu Corporation โดยสัญญาฉบับแรกนี้รวมถึงเครื่องบิน Beechcraft T-6JP Texan II จำนวน 2 ลำ และวัสดุฝึกอบรมสำหรับนักบินผู้สอนและช่างซ่อมบำรุงเครื่องบิน การส่งมอบเครื่องบินสองลำแรกมีกำหนดในปี 2029 และคาดว่าจะมีการทำสัญญาเพิ่มเติมในอนาคต

เครื่องบิน Beechcraft T-6 Texan II ได้รับการออกแบบและผลิตโดย Textron Aviation Defense LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Textron Aviation Inc.

“สัญญาฉบับนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพการฝึกนักบินรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น” กล่าวโดย Travis Tyler ประธานและซีอีโอของ Textron Aviation Defense “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่นด้วยระบบฝึกอบรมที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว สามารถใช้งานร่วมกันได้ และเป็นที่ไว้วางใจของกองทัพอากาศทั่วโลก อีกทั้งยังได้รับการออกแบบให้ตรงกับความต้องการภารกิจของญี่ปุ่นในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า”

ด้วยจำนวนเครื่องบินกว่า 1,000 ลำที่ใช้งานอยู่ และชั่วโมงบินสะสมกว่า 5 ล้านชั่วโมง เครื่องบิน T-6 Texan II จึงเป็นระบบฝึกอบรมแบบบูรณาการที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในโลก ในปัจจุบันรวมถึงประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยสนับสนุนการฝึกอบรมนักบินใน 15 ประเทศ นักบินจาก 40 ประเทศในโรงเรียนการบินของนาโต้ 2 แห่ง และหน่วยงานทางทหารต่างๆ ของสหรัฐฯ

การที่กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่นเลือกใช้เครื่องบิน Beechcraft T-6 Texan II สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในระบบฝึกอบรมทางทหารของ Textron Aviation Defense

เกี่ยวกับ Beechcraft T-6 Texan II

Beechcraft T-6 Texan II คือเครื่องบินฝึกบินทางทหารชั้นนำของโลก ด้วยประสบการณ์กว่า 95 ปี ในการส่งมอบเครื่องบินกว่า 255,000 ลำทั่วโลก ต้นทุนการจัดซื้อ การดำเนินงาน และการบำรุงรักษาที่ต่ำของ Texan II จะช่วยให้กองทัพอากาศทั่วโลกสามารถเร่งการผลิตนักบินได้อย่างรวดเร็ว ด้วยฐานการติดตั้งที่มากกว่าคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดถึงสี่เท่า เครื่องบินตระกูล Beechcraft T-6 Texan II จึงเป็นระบบฝึกอบรมแบบบูรณาการ (ITS) อันดับหนึ่งของโลกมานานกว่า 20 ปี โดย Texan II ใช้ประโยชน์จากสายการผลิตที่ใช้งานอยู่ โดยมีระดับความพร้อมในการผลิต (MRL) ที่ระดับ 10 ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม รวมถึงห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

เกี่ยวกับ Textron Aviation Defense LLC

ด้วยมรดกแห่งระบบฝึกอบรมแบบบูรณาการ Beechcraft และ Cessna ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วนับพันลำ ซึ่งผลิตและใช้งานในใจกลางอเมริกามาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ลูกค้าทางทหารจึงหันมาพึ่งพา Textron Aviation Defense เมื่อพวกเขาต้องการโซลูชันทางอากาศสำหรับภารกิจสำคัญของพวกเขา ในฐานะผู้จัดหาเครื่องบินฝึกหัดทางทหารชั้นนำของโลก Textron Aviation Defense จัดหาอุปกรณ์ให้กับกองทัพทั่วโลกและเป็นผู้นำด้านต้นทุนการจัดซื้อ การบำรุงรักษา และการฝึกอบรมที่ต่ำ ฝูงบิน Beechcraft T-6 Texan II มากกว่า 1,000 ลำ ได้บันทึกชั่วโมงบินมากกว่า 5 ล้านชั่วโมงในโรงเรียนการบินทางทหารของ NATO สองแห่งและสิบห้าประเทศตั้งแต่ปี 2001 Textron Aviation Defense เป็นบริษัทในเครือของ Textron Aviation Inc. ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.defense.txtav.com

เกี่ยวกับ Textron

Textron Inc. เป็นบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายทั่วโลกในด้านอากาศยาน การป้องกันประเทศ อุตสาหกรรม และการเงิน เพื่อมอบโซลูชันและบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่แก่ลูกค้า Textron เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง เช่น Bell, Cessna, Beechcraft, Pipistrel, Jacobsen, Kautex, Lycoming, E-Z-GO และ Textron Systems ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.textron.com

ข้อความบางส่วนในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อาจคาดการณ์รายได้ หรืออธิบายถึงกลยุทธ์ เป้าหมาย แนวโน้ม หรือเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ข้อมูลในอดีต ข้อความคาดการณ์เหล่านี้มีผลใช้ได้เฉพาะ ณ วันที่จัดทำขึ้นเท่านั้น และเราไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ข้อความเหล่านี้อยู่ภายใต้ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่นๆ ที่ทราบและไม่ทราบ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงของเราแตกต่างอย่างมากจากที่แสดงหรือโดยนัยในข้อความคาดการณ์ดังกล่าว รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ประสิทธิภาพของการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือค่าใช้จ่ายหรือความล่าช้าที่ไม่คาดคิดที่เกี่ยวข้องกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือโครงการใหม่ที่สำคัญ และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสัญญาของรัฐบาลสหรัฐฯ ตามที่อธิบายไว้ในเอกสารที่เรายื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/20251221925354/en

Contacts

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Doug Scott
+1.316.347.0116
dscott2@txtav.com
txtav.com

ที่มา: Textron Inc.


EIG เข้าถือหุ้น 49.87% ใน Transportadora de Gas del Perú (TgP)

Logo

WASHINGTON–(BUSINESS WIRE)–20 ธันวาคม 2025

วันนี้ EIG ได้เข้าซื้อหุ้น 49.87% ใน Transportadora de Gas del Perú S.A. (“TgP”) จากคณะกรรมการการลงทุนกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งแคนาดา (Canada Pension Plan Investment Board) ผ่านทางกองทุนรวมที่บริหารจัดการ

TgP ดำเนินการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและของเหลวก๊าซธรรมชาติหลักของ Peru ภายใต้สัมปทานระยะยาว โดยจัดหาก๊าซและของเหลวก๊าซธรรมชาติประมาณ 40% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ดำเนินการธุรกรรมนี้จนเสร็จสิ้น และเริ่มต้นบทบาทใหม่โดยร่วมมือกับ TgP” Matt Hartman หัวหน้าฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของ EIG กล่าว “สิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การสนับสนุนความเป็นเลิศในการดำเนินงานและความมั่นคงในระยะยาวของ TgP เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่ว Peru”

เกี่ยวกับ EIG

EIG เป็นนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ 24.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 30 กันยายน 2025 EIG เชี่ยวชาญด้านการลงทุนภาคเอกชนในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก ตลอดระยะเวลา 43 ปีที่ผ่านมา EIG ได้ลงทุนในภาคพลังงานไปแล้วกว่า 51.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ผ่านโครงการหรือบริษัท 421 แห่งใน 44 ประเทศ ครอบคลุม 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกันภัย กองทุนบริจาค มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติชั้นนำมากมายในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป EIG มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Washington, D.C. และมีสำนักงานสาขาใน Houston, London, Sydney, Rio de Janeiro, Hong Kong และ Seoul สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

รายชื่อติดต่อสำหรับสื่อ:
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

ที่มา: EIG

Mercer เผยค่าเฉลี่ยเงินเดือนในประเทศไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.2% ในปี 2026

Logo

ข่าวประชาสัมพันธ์

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อมวลชน
Fei Tierney
Marsh McLennan
โทรศัพท์: +65 98009984
อีเมล: fei.tierney@mmc.com

วันที่ 19 ธันวาคม 2025—Mercer ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือ Marsh McLennan (NYSE: MMC) และเป็นผู้นำระดับโลกในการช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านการลงทุน กำหนดทิศทางอนาคตของการทำงาน และยกระดับผลลัพธ์ด้านสุขภาพและการเกษียณอายุของพนักงาน เผยว่าค่าเฉลี่ยเงินเดือนของพนักงานในประเทศไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.2% ในปี 2026 สูงกว่าเล็กน้อยจาก 5% ในปี 2025

การสำรวจค่าตอบแทนรวม (Total Remuneration Survey) ปี 2025 ของ Mercer จัดทำการวิเคราะห์แนวโน้มและนโยบายด้านค่าตอบแทนในตำแหน่งงานมากกว่า 5,400 ตำแหน่ง จากบริษัทกว่า 815 แห่งในประเทศไทยที่ครอบคลุมทุกภาคอุตสาหกรรม ซึ่งผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าแม้อัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนจะชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2025 แต่เกือบทุกบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจ (99.6%) มีแผนจะปรับขึ้นเงินเดือนในปี 2026 ใกล้เคียงกับ 99.7% ในปี 2025

จากการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการปรับขึ้นเงินเดือนในปี 2026 ได้แก่ การแข่งขันเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ โดยเฉพาะในหลายภาคส่วนที่ต้องการทักษะเฉพาะทาง และการให้ความสำคัญกับค่าตอบแทนตามผลงาน (merit-based compensation) อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยองค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับทั้งประสิทธิภาพการทำงานและความคุ้มค่าในด้านต้นทุน ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในมุมอุตสาหกรรมนั้น ภาคพลังงานเป็นผู้นำด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนเฉลี่ยที่คาดไว้ที่ 6.0% รองลงมาคือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ 5.7% และกลุ่มยานยนต์ที่ 5.5%

ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่มีท้าทายอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อโครงสร้างแรงงานในปัจจุบัน ทำให้ในปี 2025 มีจำนวนพนักงานประจำลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งต่ำกว่าระดับในปี 2021 ที่เป็นช่วงการระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น ในภาคพลังงานและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences) ที่มีจำนวนพนักงานประจำเพิ่มขึ้น

เพื่อตอบสนองต่อตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง รวมถึงความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไป รายงานยังชี้ให้เห็นว่า บริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยกำลังวางแผนปรับกลยุทธ์ด้านค่าตอบแทนในปีหน้า โดยปัจจุบัน 95.3% ขององค์กรที่เข้าร่วมการสำรวจมีแผนจูงใจระยะสั้น เช่น โบนัส ขณะที่สัดส่วนของบริษัทที่เสนอแรงจูงใจระยะยาว เช่น หุ้นพนักงาน เพิ่มขึ้นจาก 19.3% ในปี 2024 เป็น 38.2% ในปี 2025

นอกจากนี้ยังมีบริษัทจำนวนเพิ่มมากขึ้น (23.5%) ได้นำเสนอสวัสดิการแบบยืดหยุ่นเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจค่าตอบแทนสำหรับพนักงาน โดยมีทั้งการประกันสุขภาพ (89.5%) สมาชิกสันทนาการ/สปอร์ตคลับ (76.6%) และการตรวจสุขภาพ (64.9%) เป็นองค์ประกอบสิทธิประโยชน์และบริการหลักภายใต้แผนสวัสดิการแบบยืดหยุ่น

คุณธีระ เหล่าลัทธพล ผู้นำด้าน Data Intelligence & Academy Solution ของ Mercer ประเทศไทย กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลเห็นได้ชัดมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการปรับโครงสร้างองค์กรในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อกลยุทธ์องค์กรพัฒนาไปอย่างรวดเร็วควบคู่กับนวัตกรรมด้านทรัพยากรบุคคล ข้อมูลจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้องค์กรยังคงสามารถแข่งขันได้ในตลาดแรงงาน รวมถึงสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของพนักงานที่มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อที่องค์กรจะสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรชั้นนำไว้ได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนมากขึ้น”

เกี่ยวกับ Mercer
Mercer เป็นบริษัทในเครือของ Marsh McLennan (NYSE: MMC) ผู้นำระดับโลกในการสนับสนุนลูกค้าให้บรรลุเป้าหมายด้านการลงทุน กำหนดอนาคตของการทำงาน และยกระดับผลลัพธ์ด้านสุขภาพและการเกษียณอายุของพนักงาน โดย Marsh McLennan เป็นผู้นำระดับโลกด้านการบริหารความเสี่ยง กลยุทธ์ และบุคลากร โดยให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าในกว่า 130 ประเทศทั่วโลก ผ่านธุรกิจหลักทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ Marsh, Guy Carpenter, Mercer และ Oliver Wyman ซึ่ง Marsh McLennan มีความมุ่งมั่นในการช่วยให้องค์กร “มั่นใจในการเติบโตอย่างยั่งยืน” ผ่านมุมมองเชิงลึกและการให้คำปรึกษาที่สร้างผลลัพธ์จริง ซึ่งองค์กรมีรายได้ต่อปีมากกว่า 24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และพนักงานกว่า 90,000 คนทั่วโลก ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ mercer.com หรือติดตามข่าวสารทาง LinkedIn และ X

OAG แต่งตั้ง Filip Filipov อดีตผู้บริหาร Skyscanner เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่

Logo

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–16 ธันวาคม 2025

OAG ประกาศในวันนี้ว่าได้แต่งตั้ง Filip Filipov อดีตผู้บริหารของ Skyscanner เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่

ปัจจุบัน Filip Filipov ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของบริษัท และเข้ารับตำแหน่งต่อจาก Phil Callow ซึ่งเลือกที่จะก้าวลงจากตำแหน่งหลังจากทำงานเป็นผู้นำของ OAG มานานถึงสิบสามปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพื่อไปทำตามความสนใจอื่นๆ อีกมากมายของเขา นับตั้งแต่เข้าร่วมงานในปี 2024 Filipov มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเติบโตในระยะต่อไปของบริษัทและการเร่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาจะนำ OAG เข้าสู่ยุคใหม่ที่กำหนดโดยผลิตภัณฑ์ข้อมูลขั้นสูงและระบบอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยก่อนเข้าร่วม OAG นั้น Filipov ได้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในด้านเทคโนโลยีการท่องเที่ยวและการให้คำปรึกษาด้านบิ๊กดาต้า รวมถึงในทีมผู้บริหารของ Skyscanner ด้วย

Filip Filipov กล่าวว่า: “นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ก้าวเข้ามารับบทบาทนี้และเป็นผู้นำบริษัทที่มีประวัติศาสตร์และชื่อเสียงอันแข็งแกร่งเช่นนี้ ผมตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและมุ่งมั่นที่จะให้บริการลูกค้าของเราด้วยความน่าเชื่อถือ การบริการ และนวัตกรรมที่พวกเขาไว้วางใจ”

Gehan Talwatte ประธาน OAG แสดงความคิดเห็นว่า: “การแต่งตั้ง Filip สะท้อนให้เห็นถึงแผนการสืบทอดตำแหน่งที่แข็งแกร่งของเรา และความมุ่งมั่นของเราต่อความมั่นคง ความต่อเนื่อง และการเติบโตอย่างยั่งยืน ลูกค้า พันธมิตร และอุตสาหกรรมสามารถคาดหวังได้ว่า OAG จะยังคงส่งมอบบริการที่น่าเชื่อถือและนวัตกรรมที่เราเป็นที่รู้จักต่อไป โดย Phil จะยังคงสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านในช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 และหลังจากนั้นจะดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ”

Phil Callow ซีอีโอคนปัจจุบันของ OAG ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง กล่าวว่า: “หลังจากที่ได้นำพา OAG ผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมากมาย และมีส่วนร่วมในการสร้างให้บริษัทเติบโตมาถึงจุดนี้ ผมตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะส่งต่อตำแหน่งนี้ให้กับคนใหม่ ซึ่งนับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้นำของกลุ่มคนที่มีความสามารถโดดเด่น และผมตื่นเต้นอย่างมากกับอนาคตของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำที่ทรงพลังของ Filip”

เกี่ยวกับ OAG

OAG คือแพลตฟอร์มข้อมูลชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยนำเสนอแหล่งข้อมูลเดียวที่ครอบคลุมทั้งด้านอุปทาน ความต้องการ และราคาเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ OAG ได้ที่ www.oag.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

Dominique.Leroux@oag.com

ที่มา: OAG

The Bangkok Reporter